ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 75 เกราะรบเหล็กกล้า
บทที่ 75 เกราะรบเหล็กกล้า
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
หลังจากพักผ่อนได้ 1 คืน กลุ่มพิสุทธิ์ก็เริ่มออกเดินทางกลับ เพราะหลังจากถูกโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อ อีกทั้งพวกเขายังต้องกลับไปรายงานการเสียชีวิตที่สถาบันอีกด้วย
ระหว่างทาง ทุกคนรวมถึงจินหลิงเอ้อร์ต่างเห็นตรงกันว่าให้โยนความผิดทุกอย่างไปให้โคลนยักษ์
แต่ไม่มีใครรู้ว่าคำโกหกนี้จะมีผลเพียงไหน หรือจะยับยั้งได้นานเท่าไร
หลังจากเดินทางมา 1 วัน ในที่สุดก็กลับถึงสถาบันมังกรซ่อนเร้น จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายไป
ยามที่มุ่งหน้าไปยังหอพลังต้นกำเนิด อวิ๋นเป้าก็ถามซูเฉินขึ้นมา “เจ้าจะบอกเรื่องนี้กับลุงฮวงหรือไม่ ?”
อวิ๋นเป้าไม่ใช่ศิษย์ฉือไคฮวง ดังนั้นจึงเรียกเขาว่า ‘ลุง’ แทน
ซูเฉินตอบ “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น อาจารย์ทำเพียงสั่งสอน แต่ไม่ใช่ผู้ปกครอง หากเราจัดการเรื่องราววุ่นวายที่อาจมาถึงเองได้ย่อมดีกว่า”
หากหวังโต้วซานอยู่ด้วย ก็คงพูดราว “ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่อาจรับมือได้” แต่อวิ๋นเป้าทำเพียงพยักหน้าส่งเสียงเห็นด้วยเท่านั้น
สำหรับเขาแล้ว ความคิดเช่นว่าไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ได้ไม่เคยมีอยู่ในหัวเขา
ที่ข้างถนนมีเพียงหมัดเท่านั้นที่เชื่อถือได้
ข่าวการตายของคนในกลุ่มจางเซิ่งอันยังไม่แพร่งพรายออกไป ในเวลาเดียวกันนั้นเด็กหนุ่มก็ได้พบกับความสงบสุขที่หาได้ยากนัก
หลังจากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม เขาก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับการทดลองอีกครา
เขาศึกษาตำราเปิดพลังไคฮวงจนสำเร็จ ทว่ายังมีการศึกษาอีกมากมายที่รอเขาอยู่
หากเขายังมีลมหายใจ อย่างไรก็ยังมีเรื่องให้ทดลองศึกษาอีกมากมาย
กังเหยียนเองเมื่อกลับมาก็เริ่มทำการบ่มเพาะพลังต่อ
ซูเฉินเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยว่า “กังเหยียน ฝึกวิชาสะท้านภูผาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“นายท่าน ฝึกสำเร็จไปได้ไกลนัก !” กังเหยียนเอ่ย ตบอกตนด้วยความภาคภูมิใจ
วิชาสะท้านภูผาเป็นวิชาการหลอมกายาชนิดหนึ่ง วิชานี้ไม่เหมือนกับวิชากายาเวหาเวียนที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในวงกว้าง หากแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายจนถึงขีดสุดแทน
คนที่ฝึกวิชานี้จำต้องมีกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงนับเป็นวิชาที่เหมาะกับเผ่าหินผาเป็นอย่างมาก
ซูเฉินเรียนวิชาผสมปนเปกันไป หากแต่กังเหยียนนั้นเลือกเดินไปยังทางที่ถูกกำหนดไว้อย่างดีแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ได้สอนทักษะต้นกำเนิดให้เขามากมาย แต่ฝึกให้กังเหยียนทำการบ่มเพาะพลังในแต่ละวิชาให้ได้คราวละมากแทน
ทำให้ในตอนนี้กังเหยียนมีทักษะต้นกำเนิด 3 วิชา วิชากายาเวหาเวียน เกราะภูผาเหล็กแ ละตอนนี้ก็มีวิชาสะท้านภูผาเพิ่มขึ้นมา ซึ่งทุกวิชาก็ล้วนบรรลุถึงความสำเร็จขั้นสูง
หากต้องทำการต่อสู้ ถึงแม้กังเหยียนอาจยังไม่สามารถเทียบเท่ากับศิษย์ส่วนมากในสถาบันมังกรซ่อนเร้น
หากแต่ใครต้องการสังหารเขาย่อมต้องใช้กำลังมากนัก !
กล่าวได้ว่าซูเฉินฝึกฝนให้กังเหยียนกลายเป็นเกราะมีชีวิตไปแล้ว
เมื่อได้ยินกังเหยียนตอบ ซูเฉินก็เผยรอยยิ้มพอใจ “ดีมาก ข้าคิดว่าถึงเวลาจะสอนทักษะต้นกำเนิดวิชาที่ 4 ให้เจ้าแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าจะได้เรียนทักษะต้นกำเนิดใหม่ กังเหยียนก็รีบถามขึ้น “เป็นวิชาใดหรือนายท่าน ?”
ซูเฉินไม่ตอบ แต่กลับโยนขาขวดหนึ่งให้กังเหยียน “ดื่มเสีย”
กังเหยียนดื่มมันลงไปไม่ลังเล
กังเหยียนดื่มยาลงไป จากนั้นรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ไปทั่วร่าง มันไหลเวียนไปทั่วทุกเส้นเลือดในร่างของเขา คลื่นพลังพลุ่งพล่านทำให้กังเหยียนรู้สึกราวกับตัวจะระเบิด
“อ๊ากกก !” กังเหยียนส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“อย่าขยับ เดินพลังต้นกำเนิดไปยังจุดประตูย่างสวรรค์ จากนั้นไปที่เรือนด้านล่าง……” ซูเฉินพูดไปก็กระแทกฝ่ามือลงบนหัวใจกังเหยียน จากนั้นที่กลางหว่างคิ้ว จมูก คอ และสันหลัง และยังคงสับฝ่ามือใส่จุดต่าง ๆ ตามร่างกังเหยียนต่อไป แต่ละฝ่ามืออัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล
หากเป็นคนอื่นก็คงจะหลบเลี่ยง กังขา หรือชะงักจนร่างแข็งค้างไปโดยพลัน
แต่กังเหยียนไม่ทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็เชื่อใจนายตนเต็มเปี่ยม
ซึ่งเป็นสิ่งที่ซูเฉินต้องการ เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอ่ยคำใดเพราะต้องการให้ได้ผลเช่นนี้ หากกังเหยียนไม่อาจทนรับได้…… เช่นนั้นเขาก็ไม่เป็นประโยชน์กับซูเฉิน
ฝ่ามือที่ส่งออกไปต่อเนื่องกระตุ้นพลังต้นกำเนิดในร่างกังเหยียนให้ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง พลังภายในและภายนอกปะทะกันอย่างไม่หยุดหย่อน ทำการเปลี่ยนแปลงและหล่อหลอมมัน สุดท้ายคลื่นพลังมหาศาลก็แผ่ปกคลุมร่างของเขา
แสงสีทองเรืองออกมาจากร่างกังเหยียน
แสงทองส่องระยับไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้กังเหยียนดูแล้วราวกับรูปหล่อทองคำ
แสงสีทองยิ่งส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ยามฝ่ามือของซูเฉินสับลงตามจุดบนร่างกังเหยียนเพื่อโคจรพลังต้นกำเนิด
เป็นตอนที่ซูเฉินเก็บมือกลับมา พลังปะทะในร่างจึงเริ่มจางลง แสงสีทองเองก็ส่องแผ่วลงด้วย
หากแต่กังเหยียนสัมผัสได้ว่าทั่วทั้งร่ายของตนนั้นเปลี่ยนแปลงไป ทั้งภายในและภายนอก มันไม่เหมือนเดิม
เขายกมือตนขึ้นมองด้วยความตกตะลึง แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ จากนั้นจึงหันมองซูเฉิน แต่ร่างของเด็กหนุ่มกลับล้มคว่ำไป จนเกือบจะล้มลงกับพื้น ดังนั้นกังเหยียนจึงรีบเข้าไปช่วยพยุง ร้องเรียกเขาด้วยความกังวล “นายท่าน !”
“ข้าไม่เป็นไร เพียงใช้แรงเยอะไปหน่อยเท่านั้น” ซูเฉินหัวเราะ
เขาพยุงซูเฉินไปนั่งก่อนเอ่ยถาม “นายท่านมอบสิ่งใดให้ข้า ?”
“ยาใหม่ที่ข้าคิดค้นขึ้น ข้าเรียดมันว่า…… ยาเหล็กกล้า”
“ยาเหล็กกล้า ?” กังเหยียนย้อนถาม จากนั้นจึงนึกบางอย่างออก “วานรยักษ์เหล็กกล้า ?”
“ถูกต้อง !” ซูเฉินหัวเราะ “นี่คือวานรยักษ์เหล็กกล้า เจ้าว่าอย่างไร ? มีเกราะรบเหล็กกล้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ?”
เขาสังหารมันด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นวานรยักษ์เหล็กกล้าจึงตกเป็นของซูเฉินทั้งตัว
หลังจากลากร่างมันกลับมาหอพลังต้นกำเนิด ซูเฉินก็เริ่มทำการศึกษาสายเลือดวานรยักษ์เหล็กกล้า
เดิมทีการศึกษาสายเลือดต่าง ๆ นับเป็นเพียงงานอดิเรกยามว่างของเขา ไม่คาดหวังว่าจะมีผลลัพธ์สูงส่งใดออกมา
หากแต่การศึกษาค้นคว้าต่างมาพร้อมกับความไม่แน่นอน บางครั้งต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษา แต่กลับไร้ผล แต่บางครั้งกลับเห็นผลในพริบตา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางรู้ว่าตนจะต้องพบกับผลลัพธ์อย่างไร
นี่คือเกราะรบเหล็กกล้าของแท้
การค้นคว้าเขาทำเป็นเพียงงานอดิเรก แต่กลับรุดหน้าขึ้นถึงเพียงนี้
อีกทั้งความรุดหน้านี้ยังมี 2 ด้าน เพราะมันทำให้ซูเฉินค้นพบสสารต้นกำเนิดของวานรยักษ์เหล็กกล้า ทั้งยังสามารถไขปริศนาการเดินพลังต้นกำเนิดในร่างของมันได้อีกด้วย
หรือก็คือตอนนี้เขามีทั้งวัตถุดิบและวิชาบ่มเพาะพลังของมันแล้ว
ซูเฉินไม่เพียงปรุงยาเหล็กกล้าที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายออกมา แต่ยังพัฒนาวิชาบ่มเพาะขึ้นมาวิชาหนึ่งด้วย
“นายท่านจะบอกว่าข้ารู้วิชาเกราะรบเหล็กกล้าของวานรยักษ์เหล็กกล้าแล้วหรือ ?” กังเหยียนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
แม้จะไม่ค่อยได้สู้กับวานรยักษ์เหล็กกล้ามากนัก แต่เท่าที่ซูเฉินอธิบายความแกร่งของมันให้ฟัง เกราะรบเหล็กกล้านั้นนับเป็นทักษะต้นกำเนิดป้องกันที่ทรงพลังนัก !
แล้วเขาก็สามารถใช้มันได้เช่นนี้เลยหรือ ?
“ถูกต้อง เจ้าเรียนรู้มันสำเร็จแล้ว ลองใช้มันตามที่ข้าสั่งไปเมื่อครู่ดู” ซูเฉินเอ่ย
เมื่อกังเหยียนลองเปิดใช้วิชา แสงสีทองก็เริ่มแผ่ออกจากร่าง
แสงสีทองนั้นส่องแสงระยิบระยับ แผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดา
“น่าประทับใจไม่น้อย แต่อย่างไรก็ต้องลองใช้ก่อนถึงจะรู้ว่ามันแข็งแกร่งสักเท่าไหน” ซูเฉินหัวเราะ
พริบตาต่อมาเขาก็ลงมือ
ระเบิดเพลิงปักษาพุ่งออกจากฝ่ามือ ปะทะเข้ากับอกกังเหยียน
กังเหยียนร่างกระเด็นลอยไปไกล มองดูราวกับก้อนทองขนาดใหญ่กระเด็นไป หากแต่เมื่อร่วงลงพื้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก็เผยให้เห็นบนอกที่มีแผลเปิดขนาดใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น
กังเหยียนชะงักไป ก้มลงมองอกตนเองแล้วก็ตะโกนร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ข้าป้องกันมันได้ ! นายท่าน ! ข้าป้องกันระเบิดเพลิงปักษาได้ !”
เขาใช้ร่างเปล่ารับระเบิดเพลิงปักษาโดยไม่ใช่สิ่งอื่นใดช่วย และสำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีขั้นพลังเทียบเท่ากัน มันก็มีไม่มากนักที่จะมีพลังป้องกันสูงเท่านี้ แม้แต่ดาบระมาดเจิ้นขวงก็ยังไม่อาจเทียบได้
“ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่มากพอ” ซูเฉินตอบ
วานรยักษ์เหล็กกล้านั้นทรงพลังมาก กระทั่งต้านระเบิดเพลิงปักษาฉบับปรับปรุงของเขาได้
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด จงใช้ยาเหล็กกล้าและฝึกฝนต่อไป เจ้าน่าจะฝึกมันไปได้อีก…… ไม่แน่อาจเหนือกว่าวานรยักษ์เหล็กกล้าได้” ซูเฉิน หัวเราะเห็นฟัน ตรงหน้าเขาราวกับเป็นมนุษย์หุ้มเหล็กคนหนึ่ง ที่เขาสร้างขึ้น
อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงหนึ่ง !
ที่การค้นคว้านั้นน่าหลงใหลเช่นนี้ เป็นเพราะความสำเร็จเพียงหนึ่งครั้งสามารถผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้นั่นเอง !