ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 83 ไม่โอนเอน
บทที่ 83 ไม่โอนเอน
“ทางองค์กรให้เวลาเจ้ามามาก ได้เวลารับยากลับไปแล้ว” หม่าเหรินเจ๋อพูดเสียงเรียบ
“ไม่คุยหน่อยหรือ ?” ซูเฉินถาม
“ข้ามาเพียงแจ้งคำสั่ง ไม่ใช่เพื่อพูดคุย” หม่าเหรินเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น
ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าต้องการคุยกับซางเจิน”
“ไม่จำเป็น”
“คืนนี้ ที่เดิมเหมือนเคย”
“ข้าบอกว่าไม่จำเป็น !” หม่าเหรินเจ๋อเอ่ยเสียงกรรโชก
ซูเฉินใช้สายตาเย็นชามองอีกฝ่าย “ท่านคิดว่าวิธีของซางเจินนั้นอ่อนไปหรือ ? คิดว่าที่เขาถูกข้าชักจูงเป็นเพราะเขาไม่เด็ดขาดมากพอหรือ ? ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าทำลายทุกสิ่งลงอย่างนั้นหรือ ? คิดหรือว่าท่านสำแดงอำนาจเช่นนี้จะทำให้ข้ากลัวได้ ?”
“หากคำตอบคือใช่เล่า ?” หม่าเหรินเจ๋อหัวเราะเย็นชา
อย่างที่ซูเฉินว่า หม่าเหรินเจ๋อเลือกนัดพบในสถาบันมังกรซ่อนเร้นเพื่อต้องการให้ซูเฉินรู้ว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่อาจปกป้องเขาได้
หากหม่าเหรินเจ๋อต้องการ เขาย่อมกำจัดซูเฉินตอนไหนเมื่อไรก็ได้
ระเบิดเพลิงปักษาพลันปรากฏขึ้นในมือซูเฉิน
หม่าเหรินเจ๋อเห็นสถานการณ์ผกผันก็ชะงักไป “คิดจะโจมตีข้าหรือ ?”
ผู้ฝึกยุทธ์ด่านก่อเกิดลมปราณกล้าโจมตีเขางั้นหรือ ?
หม่าเหรินเจ๋อแทบไม่อยากเชื่อสายตาตน
คิดจะฆ่าตัวตายหรือไร ?
ซูเฉินเพียงเอ่ยเสียงเย็น “ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าต้องการพบซางเจินภายในคืนนี้ ! อย่าลืมไปบอกเขา”
พูดจบเหยี่ยวเพลิงในมือก็พุ่งออกไป
หม่าเหรินเจ๋อไม่ใส่ใจมัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้เกราะเพื่อป้องกันการโจมตีจากเหยี่ยวเพลิงด้วยซ้ำ หากแต่พริบตาต่อมาเหยี่ยวเพลิงกลับเปลี่ยนทิศทาง
เสียงตูมดังขึ้น การโจมตีครั้งนี้ถูกส่งไประเบิดบนพื้น
“แย่แล้ว !” หม่าเหรินเจ๋อหน้าเปลี่ยนทันที
สถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นกางค่ายกลขขนาดใหญ่ไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้อาจารย์ทั้งหลายสามารถควบคุมดูแลเรื่องภายในสถาบันได้
หม่าเหรินเจ๋อเลือกจุดนี้เป็นเพราะเขากางค่ายกลพลังต้นกำเนิดทับจุดของค่ายกลเดิมไว้แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตรวจจับได้
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงของซูเฉินนั้นหวังโจมตีค่ายกลพลังต้นกำเนิดใต้เท้าเขาต่างหาก
เสียงตูมดังสนั่น ค่ายกลนั่นถูกทำลาย แตกกระจายในพลัน
ผนึกถูกทำลาย พริบตาต่อมา จิตรุนแรงทั้งหลายต่างก็พุ่งเข้ามายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าต่างจับสัมผัสความผันผวนของพลังต้นกำเนิดได้ว่ามาจากที่นี่
“บัดซบ !” หม่าเหรินเจ๋อสบถออกมาด้วยความโกรธ
ซูเฉินยกมือขึ้น ระเบิดเหยี่ยวเพลิงอีกลูกพุ่งเข้าใส่ หากแต่ครั้งนี้เล็งที่หม่าเหรินเจ๋อ
หม่าเหรินเจ๋อโกรธเกรี้ยวมากจนอยากหัวเราะ เจ้านี่กล้าอยู่พอตัว
เขาส่งหมัดออกไปคราหนึ่ง ระเบิดเหยี่ยวเพลิงปะทะกับพลังหมัดนั้น ส่งผลให้เกิดประกายไฟกระจายไปทั่วท้องฟ้า
หากต้องการเขาก็อาจใช้แรงจากหมัดนี้แยกร่างซูเฉินออกเป็นสองส่วนได้
แต่เขากลับทำไม่ได้ !
อารามนิรันดร์รอมาเนิ่นนาน หากสังหารซูเฉินไป เช่นนั้นที่รอมาไม่สูญเปล่าหรือ ?
เป็นตอนนั้นที่หม่าเหรินเจ๋อเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดซูเฉินจึงกล้ากระทำการบ้าคลั่งเช่นนี้
เพราะมันติดหนี้ !
ติดหนี้มากกระทั่งมันอยากทำอะไรย่อมทำได้ !
ไอ้เด็กบัดซบนี่ !
หม่าเหรินเจ๋อโกรธจนราวกับคันไปทั่วร่าง
หากแต่พริบตาต่อมาหม่าเหรินเจ๋อก็ถูกกดดันจนขีดสุด
“อ๊ากกก !” ร่างเหอซือหงร่วงลงพื้นพร้อมเสียงร้องน่ารันทด ศีรษะแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยน้ำมือซูเฉิน
เหยี่ยวเพลิงที่พุ่งไปทางหม่าเหรินเจ๋อนั้นทำเพื่อเบี่ยงความสนใจ เป้าหมายที่แท้จริงคือเหอซือหงต่างหาก
เหอซือหงไม่คิดว่าตนจะถูกซูเฉินโจมตี ดังนั้นการโจมตีนั้นจึงโดนเขาอย่างจัง
เมื่อโจมตีสำเร็จ ซูเฉินก็โก่งคอตะโกน “ใครก็ได้รีบมาเร็วเข้า ! มีสายลับคิดจะลอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น !”
หม่าเหรินเจ๋อทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ
ซูเฉินยอมเสี่ยงทุกอย่างจริง ๆ
หากมันถูกจับได้ ความสัมพันธ์ระหว่างมันกับอารามนิรันดร์ก็จะถูกเปิดโปง หากแต่ซูเฉินกลับไม่ใส่ใจ
เขาคิดใช้การกระทำพิสูจน์ว่าเขาไม่เพียงกล้าทำลายสิ้นทุกสิ่งอย่าง
เขาไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย !
หากแต่หม่าเหรินเจ๋อไม่อาจไม่เกรงกลัว
หม่าเหรินเจ๋อตวัดสายตาคมมองซูเฉินแล้วพูดเสียงลอดไรฟัน “กล้าดีเหมือนกันนี่ !”
ตอนนั้นเอง อาจารย์ผู้ดูแลคนหนึ่งได้ยินเสียงตะโกนของซูเฉิน ฝ่ามือยักษ์พลันถูกส่งลงมาจากฟ้า หนักหน่วงราวกับขุนเขาร่วงลงสู่ผืนดิน
แม้อาจารย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะมีพลังสูงส่ง หม่าเหรินเจ๋อก็ไม่คิดเกรงกลัว
ปัญหาคือเขายังอยู่ในรั้วสถาบัน เป็นสถานที่ที่สามารถพบเจอผู้ฝึกยุทธ์ด่านสู่พิสดารได้มากมาย เขาอาจเอาชนะคนหนึ่งได้ แต่ไม่อาจเอาชนะคนหลายคนได้เป็นแน่
หม่าเหรินเจ๋อรู้ดีว่าหากทำการสู้ต่อไปย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดี ในตอนที่ฝ่ามือยักษ์กำลังพุ่งลงมา ท้องฟ้าประกายดาวยามค่ำคืนพลันปรากฏใต้ฝ่ามือหม่าเหรินเจ๋อ จากนั้นเขาก็ส่งฝ่ามือนั้นปะทะกับฝ่ามือยักษ์ที่พุ่งลงมา
แสงสว่างวาบขึ้น จากนั้นร่างเขาก็หายไป
ฝ่ามือยักษ์กระแทกลงบนพื้น ทิ้งรอยขนาดใหญ่ไว้
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นกลางอากาศ เจ้าของเสียงเก็บฝ่ามือยักษ์กลับไป “สายลับผู้นั้นหนีไปไวนัก นี่เจ้าหนู เหตุใดจึงเป็นเจ้าอีกแล้วเล่า ? รู้ไหมว่ามันเป็นใคร ?”
ท่านนี้คืออาจารย์ส่วนตัวของจีหานเยี่ยน
ซูเฉินตอบเสียงดัง “ตอบท่าน เป็นคนจากอารามนิรันดร์”
“อารามนิรันดร์ !”
เสียงคำรามดังลั่นไปทั่วทุกทิศ
เมื่อได้ยินเสียงคำรามดังลั่น หม่าเหรินเจ๋อก็เกือบกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาแล้วเผยร่างออกจากวิชาซ่อนตัว
เขารู้ดีว่าซูเฉินคงพูดบางอย่างเป็นแน่ อีกฝ่ายจึงรู้ว่าเขามาจากอารามนิรันดร์รวดเร็วเช่นนี้
หม่าเหรินเจ๋อไม่คิดฝันว่าซูเฉินจะเด็ดขาดหนักแน่นเช่นนี้
ใจหม่าเหรินเจ๋อเต้นรัวโดยไม่รู้ตัวเมื่อคิดถึงความใจกล้าของเด็กหนุ่ม
ในเวลาเดียวกันนั้น หลังจากได้ยินเสียงคำรามเดือดดาล คนผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ เหินลงมาจากฟ้า
เป็นชายชราที่มีร่างกำยำนัก
แม้จะมีอายุมากแล้ว ผมบนหัวต่างเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา หากแต่รูปร่างยังคงกำยำล่ำสัน กล้ามมัดบนร่างเผยให้เห็นน่าประทับใจ วันเวลาไม่อาจลบล้างกำลังวังชา แม้ร่างกายจะเริ่มเสื่อม หากแต่ก็ยังปล่อยกลิ่นอายดุดันออกมา
ชายชราท่าทางดุดันเดินเข้ามา “เจ้าหนู เจ้าบอกว่ามันมาจากอารามนิรันดร์หรือ ? เกิดอะไรขึ้น ? แล้วนั่นศพใคร ?”
“เขามีนามว่าเหอซือหง เป็นศิษย์สถาบันมังกรซ่อนเร้นเช่นกัน หากแต่เขาช่วยงานให้อารามนิรันดร์ เป็นคนพาข้ามาที่นี่ขอรับ” ซูเฉินตอบ
“บัดซบ !” เมื่อได้ยินว่าเป็นศิษย์สถาบันที่หลงผิด ชายชราก็สบถเสียงดังออกมาก่อนถามขึ้น “เหตุใดอารามนิรันดร์จึงตามหาเจ้า ?”
“พวกมันต้องการรับข้าเข้าไปทำงานให้มัน” ซูเฉินตอบโดยตรง
“เหตุใดมันจึงสนใจเจ้า ?”
“อาจเพราะข้ามีความสามารถ” ซูเฉินตอบ
คำตอบนี้ไม่ถ่อมตนนัก หากแต่เมื่อชายชราได้ยินก็หัวเราะเสียงดังออกมา “น่าสนใจ แต่ก็ฟังมีเหตุผล ! ศิษย์ของฉือไคฮวงแท้ ๆ แต่กลับเป็นอารามนิรันดร์ที่เห็นความสามารถก่อนเรา ฮ่า ๆ น่าสนใจยิ่ง !”
“ซึ่งก็หมายความว่าพวกเจ้าต่างก็ตาบอดกันทั้งนั้น” ฉือไคฮวงเผยร่างออกจากป่า มือทั้งสองไพล่หลัง “สถาบันมังกรซ่อนเร้นถูกหนูจากอารามนิรันดร์ลอบเข้ามาคิดทำร้ายศิษย์ข้าเช่นนี้ แต่เจ้า ฟ่านหงหลี ยังจะหัวเราะได้อีกหรือ ?”
“มันก็ไม่เป็นไรมิใช่หรือ ?” ชายชรานามฟ่านหงหลีเกาหัวแล้วหัวเราะอาย ๆ ออกมา ส่งสายตามองไปรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้น “อืม มันใช้ค่ายกลปิดฟ้า ไม่แปลกที่มันหลบสายตาเราได้ ไม่เลวนี่ไอ้หนู ! สามารถจับจุดอ่อนของค่ายกลได้แล้วทำลายในการโจมตีเดียว”
“เป็นเพราะคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ทั้งสิ้น” ซูเฉินตอบอย่างนอบน้อม
อย่างไรเขาก็เป็นศิษย์เรียนเก่งคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะแห่งสถาบัน ในด้านการต่อสู้อาจมีคนที่เก่งกาจกว่าเขามาก หากแต่เรื่องสายตากว้างไกลนั้นไม่อาจมีใครเทียบได้
“แต่ยังมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ดูแปลกนัก” ฟ่านหงหลีพลันเอ่ยขึ้น
“อะไรหรือ ?” ฉือไคฮวงถาม
ฟ่านหงหลีกล่าว “ข้าใช้เวลาสามลมหายใจเคลื่อนตัวมาที่นี่หลังจากซูเฉินทำลายค่ายกลปิดฟ้า แม้เวลาสามลมหายใจจะไม่สั้นไม่ยาว แต่เจ้านั่นไม่เพียงหนีไปและไม่ได้สังหารซูเฉิน มันยังปล่อยให้ซูเฉินสังหารคนบัดซบสกุลเหอนั่นได้อีก ไม่มีเหตุผลเท่าไหร่ หากข้าดูไม่ผิด คนที่หนีไปมีขั้นพลังด่านสู่พิสดาร”
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว แค่รอดพ้นจากคู่ต่อสู้ด่านสู่พิสดารมาได้นานถึงสามลมหายใจโดยไร้รอยขีดข่วนก็นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว ทั้งยังมีโอกาสสังหารคนอีกคน
ฉือไคฮวงอดมองศิษย์ตนเองไม่ได้
ซูเฉินเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่เปลี่ยน “เขาอาจไม่คิดโจมตีข้าเพราะลังเลก็เป็นได้”
“ลังเล ?” ฟ่านหงหลีเอ่ยด้วยความตกตะลึง
ซูเฉินตอบ “ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใดลงไป อย่างไรข้าก็เป็นผู้คิดค้นตาข่ายลมพิสุทธิ์ เพลิงอัสนี เกราะรบเหล็กกล้า และเป็นผู้ที่สามารถค้นคว้าตำราเปิดพลังไคฮวงจนสำเร็จ อารามนิรันดร์คงให้ค่าข้าไว้สูงพอตัว”
ฟ่านหงหลีถึงกับพูดไม่ออก
เขาคิดอยากถามซูเฉินต่อ แต่ฉือไคฮวงกล่าวขึ้น “พอแล้วเหล่าฟ่าน ศิษย์ข้าไม่ใช่ผู้ร้าย เขาไม่เพียงพบตัวสายลับอารามนิรันดร์ แต่ยังจับศิษย์สถาบันที่ถูกติดสินบนได้ด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเพียงอยากถามเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้ก็ช่างเถอะ” ฟ่านหงหลีหัวเราะ ก่อนจะเหินขึ้นฟ้าแล้วหายไปในพริบตา
เมื่อเหล่าฟ่านจากไปแล้วจึงเหลือเพียงซูเฉินและฉือไคฮวง
ฉือไคฮวงเหลือบมองศิษย์ตนเองจากนั้นเอ่ยถาม “เจ้ายังมีเรื่องที่อยากพูดอีกหรือไม่ ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าพูดเรื่องที่ควรพูดออกไปจนหมดแล้ว”
ฉือไคฮวงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปได้”
“ขอรับ !” ซูเฉินโค้งตัวแล้วเดินจากไป
ฉือไคฮวงยืนนิ่ง มองตามศิษย์ที่เดินจากไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นชั่วอึดใจ เสียงถอนหายใจหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลังฉือไคฮวง
ร่างเนื้อเจ้าของเสียงถอนหายใจนั้นไม่อาจมองหาพบ คล้ายกับจู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นเสียอย่างนั้น
ฉือไคฮวงหันหลับไปก่อนจะโค้งคำนับกับความว่างเปล่า “อาจารย์ใหญ่”
น้ำเสียงหนึ่งดังมาทางเขา “ศิษย์เจ้าน่าสนใจยิ่ง”
ฉือไคฮวงตอบ “ข้ารู้ว่าที่ซูเฉินพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ข้าเชื่อว่าซูเฉินไม่ได้คิดก่อหายนะแน่ การกระทำของเขาชี้ชัดว่าแม้จะมีส่วนเกี่ยวพันกับอารามนิรันดร์ แต่ก็ไม่ใช่ขี้ข้าพวกมันเป็นแน่”
“อย่างไรก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด”
“ไม่จำเป็น ซูเฉินเป็นเด็กมั่นคง รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดอยู่ หากยังเดินไปตามเส้นทางดังเดิมก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
“เกี่ยวพันกับอารามนิรันดร์นับเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ ?”
ฉือไคฮวงตอบตามตรง “เทียบกับการทะลวงผ่านขีดจำกัดทางสายเลือดแล้ว เรื่องนี้นับว่าเล็กน้อยนัก !”