ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 90 จูบ
บทที่ 90 จูบ
เมื่อพระอาทิตย์ร่วงหล่นจากขอบฟ้าไป ซูเฉินก็เตรียมปิดแผนลวงที่วางแผนมาอย่างรอบคอบของตนลง
ในที่สุดก็ถึงเวลาซูเฉินพบกับจูเฉินและคนอื่น ๆ อีกครา
พวกเขาเปลี่ยนจุดนัดพบเป็นทางที่ทอดวนธารน้ำ
บางคนกล่าวว่าการเลือกสถานที่นัดพบนั้นเผยให้เห็นจิตใจของอีกฝ่าย ตระกูลจูเลือกจุดนัดพบในครั้งนี้อาจหมายความว่าเริ่มหมดความอดทน หมายจะจบเรื่องโดยเร็วและไม่อยากถูกรบกวน
จูเฉินพูดระหว่างเดินไปตามทางเดิน “3 วันผ่านไปแล้ว คุณชายซูได้เก็บกลับไปคิดเพิ่มเติมหรือไม่ ?”
ซูเฉินมองซ้ายขวาราวกับไม่ได้ยินคำถาม จากนั้นกลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดท่านจึงมาเพียงคนเดียว ?”
จูเฉินตอบ “คุณชายซูพูดถึงเซียนเหยากับเยี่ยนเหนียงหรือ ? พวกนางต่างอยากพบคุณชายซู แต่เกรงว่าคุณชายจะเข้าใจผิด……”
ครั้งก่อนลงมือไม่สำเร็จ เกือบทำการต่อรองล้มเหลว ดังนั้นครั้งนี้อย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายจึงไม่เผยตัวจูเซียนเหยาให้เห็นเพราะอาจล่วงเกินซูเฉินเข้า
ซูเฉินหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลไป นางเป็นหมากตัวสำคัญที่สุดในการต่อรองนี้ นางไม่มาไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ”
จูเฉินนัยน์ตาเป็นประกาย “คุณชายซูหมายความว่า……”
“จูเซียนเหยาคนนี้ไม่เลว ข้าจะรับนางไว้ แต่ข้าไม่ขอเข้าตระกูลจูของท่าน ให้นางติดตามข้าแทน ส่วนข้าจะใช้นางอย่างไรก็แล้วแต่ใจข้า”
“เรื่องนี้……” จูเฉินดูลังเล
เป็นไปอย่างที่ฉือไคฮวงว่าไว้ สตรีในตระกูลจูได้รับความเคารพสูงนัก
จูเซียนเหยาไม่ใช่เพียงคนไม่สำคัญในตระกูล นางเป็นผู้สืบทอดคนโตสุดของตระกูลจู เป็นผู้นำตระกูลในอนาคต มีหน้าตางดงามความสามารถสูงส่ง ที่อีกฝ่ายนำนางมาด้วยมีหลายเหตุผลด้วยกัน
หนึ่งคือเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดใจ
สองคือเพื่อแสดงความจริงใจ
สามคือให้โอกาสนางได้ทำภารกิจเพื่อตระกูลและฝึกฝนตนเอง
จูเฉินไม่มีอำนาจทั้งยังไม่มีความกล้าจะส่งจูเซียนเหยาให้ใครคล้ายกับนางเป็นของสิ่งหนึ่ง
“ในเมื่อคุณชายซูพึงปรารถนา เซียนเหยาจะเมินเฉยได้อย่างไร ?”
เคราะห์ดีที่จูเฉินไม่จำเป็นต้องตัดสินใจ จูเซียนเหยากลับเดินออกมาเอง
นางโค้งคำนับให้ซูเฉินอย่างงดงามชดช้อย ศิษย์ที่เดินผ่านไปมาพากันมึนงงว่าเหตุใดจึงมีสาวงามเดินทางมายังสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้
ไม่เพียงเท่านั้น หากแต่คนงามยังเดินไปด้านหลังซูเฉินแล้วยกมือขึ้นนวดไหล่เขาอีกด้วย
สตรีตระกูลจูอาจได้รับการสั่งสอนเรื่องการดูแลบุรุษมาก่อน มือน้อยของจูเซียนเหยานั้นช่ำชองนัก นิ้วแต่ละนิ้วกดไปยังกล้ามเนื้อไหล่ ทำให้เขาผ่อนคลายยิ่ง ซูเฉินเผยรอยยิ้มสบายอารมณ์ “มือเจ้าชำนาญกดแรงได้มั่นคงนัก ไม่คิดเลยว่าแม่นางเซียนเหยาจะมีมือวิเศษเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกราวกับวิญญาณจะปลิดปลิวออกจากร่าง !”
มืองามดั่งหยกของจูเซียนเหยากดลงบนหลังซูเฉิน ส่งแรงกดไปยังเส้นพลังบนร่าง นางหัวเราะเสียงแผ่ว “คุณชายซูปากหวานนัก ใช้คำอย่าง ‘รู้สึกราวกับวิญญาณจะปลิดปลิวออกจากร่าง’ ออกมาเช่นนี้ หากคุณชายซูชอบก็ให้เซียนเหยาลงแรงอีกสักหน่อย”
มีร่องรอยของพลังต้นกำเนิดกำลังแผ่เข้าร่างซูเฉินผ่านนิ้วมือนาง
ซูเฉินปล่อยให้พลังนั่นไหลเข้าร่างเขาไปราวกับไม่มีอันใด จากนั้นก็หัวเราะ “นวดเสร็จหรือยัง ? หากเสร็จแล้วก็หยุดเถอะ ทางเดินสายนี้มีคนมาก ผู้อื่นอาจมองว่าไม่เหมาะสมได้”
จูเซียนเหยาหัวเราะน้ำเสียงสะท้าน “โอ้ คุณชายซูกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ? คนมากมายที่นี่ต่างอิจฉาริษยาคุณชาย ดูสีหน้าพวกนั้นเข้าสิ ไม่ใช่ว่าบุรุษทั้งหลายต่างก็ชอบสายตาเช่นนี้หรือ ?”
นางกล่าวไม่ผิด
มีศิษย์หลายคนเดินผ่านไปมา ต่างคนต่างมองมาทางเขาด้วยความตกตะลึง พากันหยุดเดินแล้วจ้องซูเฉิน ถกเถียงกันในกลุ่ม “ใครกัน เหตุใดจึงดูสนิทสนมกับสาวงามเช่นนั้น ?”
“ซูเฉินไม่ใช่หรือ ? ขยะอันเลื่องชื่อแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้นอย่างไรเล่า” บางคนจำซูเฉินได้
“เป็นมัน ? เหตุใดฟ้าจึงลำเอียงเช่นนี้ ? ขยะอย่างมันยังมีคู่เป็นคนงามปานนั้นได้ !”
“นางยังนวดไหล่มันต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้อีกหรือ ?”
“กระทำเรื่องน่าบัดสีกลางวันแสก ๆ เลย ? ไร้อารยธรรมสิ้นดี !” ศิษย์ที่หัวเก่าหน่อยไม่อาจทนมองภาพนั้นได้
“โห ๆ เกินไปหน่อยกระมัง ก็แค่นวดไหล่เองไม่ใช่หรือ ? เหตุใดจึงกลายเป็นไร้อารยธรรมได้ ?”
“หากอยากให้นางนวดก็ควรกลับที่พักแล้วค่อยไปนวดกันให้สมใจ เหตุใดต้องออกมาทำข้างนอก นี่ไม่ใช่เพื่อยุแหย่คนไร้คู่หรือ ? ข้าล่ะเกลียดพวกชอบโอ้อวดความรักให้คนอื่นเห็นนัก”
“ถูก ๆ! ถูกต้อง !”
ศิษย์หลายคนต่างมองภาพนั้นด้วยใจริษยา
ซูเฉินทำได้เพียงส่ายหัวช้า ๆ “ข้ายังไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องใช้สตรีชูฐานะตนเองหรอก”
“แต่ไม่ใช่ว่าบุรุษส่วนมากมองสตรีเป็นเพียงเครื่องแสดงฐานะหรอกหรือ ?” จูเซียนเหยาโน้มกายลงกระซิบข้างหูซูเฉินเสียงแผ่ว
กลิ่นหอมดอกไม้จากกายนางล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
ซูเฉินใจเต้นแรงเมื่อถูกนางหยอกเอิน แต่ไม่นานก็สงบลง “แม่นางจู หากเจ้ายังทำเช่นนี้ข้าอาจคุมตนไม่อยู่ เจ้าอยากถูกศิษย์ทั้งหมดที่นี่จ้องมองด้วยนัยน์ตาริษยาหรือ ? หากเจ้าต้องการข้าย่อมสนองให้ได้”
จูเซียนเหยาเลิกคิ้วสูง “งั้นหรือ ? คุณชายกล้าหรือ ?”
ซูเฉินพลันรู้สึกว่าในใจตนมีแววความโกรธถูกจุดขึ้น “เจ้าลองดูก็จะรู้ว่าข้ากล้าหรือไม่”
เขาพลันหันไปทางนั้น รั้งจูเซียนเหยาเข้าอ้อมกอดแล้วก้มลงจูบนางในพลัน
เขาลงมือรวดเร็ว ส่งผลให้จูเซียนเหยาไม่ทันระวังตน ในหัวนางมีแต่ความว่างเปล่า
นางตกตะลึงไป
ตกตะลึงไปในพลัน
แท้จริงแล้วคนรอบข้างก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน
ไม่พูดบอกกล่าวอันใดแล้วจูบกันเลยเช่นนี้มีที่ไหน ?
แม้คนในทวีปต้นกำเนิดจะมีจิตใจเปิดกว้าง แต่ก็มีไม่มากที่กล้าจูบกันต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้
จูบนั้นไม่นานนัก หากแต่ก็ฝังลึกลงในภาพจำของคนรอบข้าง
ในที่สุดจูเซียนเหยาก็หลุดออกจากภวังค์ความมึนงงแล้วผลักซูเฉินออก “เจ้า……!”
นางไม่คิดว่าซูเฉินจะกล้าทำอย่างที่พูดจริง ๆ
เดิมทีพวกเขาเพียงหยอกกันเล่นเท่านั้น หากแต่เรื่องล้อเล่นกลับกลายเป็นจริงเสียได้ จูเซียนเหยาจิตใจสับสนอลม่าน
ซูเฉินคลี่ยิ้ม “ข้าเตือนแล้วเจ้าไม่ฟังเอง”
จูเซียนเหยารู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งสูงขึ้น หากแต่หูกลับได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องอยู่รอบกาย
นางหันไปมอง พบว่ามีศิษย์กลุ่มใหญ่ยืมล้อมนางอยู่ มีอยู่หลายคนที่ตะโกนเสียงดังขึ้น “เอาอีก ! จูบอีก !”
จูบอีกบิดาเจ้าสิ ! ไปตายเสียให้หมด ! จูเซียนเหยาเกือบโพล่งออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางหันมามองซูเฉิน “เจ้าชนะ เราล้อเล่นกันมากพอแล้ว ได้เวลาคุยธุระเสียที”
“แล้วแต่เจ้า” ซูเฉินหัวเราะ “แต่ที่นี่คงไม่สะดวกแล้วกระมัง ไปที่หอพลังต้นกำเนิดเถอะ ค่อยคุยกันระหว่างทางก็ได้”
“อืม”
ซูเฉินหมุนตัวกลับไป รู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย
ในตอนที่คนทั้งคู่กำลังจะเดินออกไปนั่นเอง ร่างของซูเฉินพลันชะงักค้าง
นัยน์ตาคู่หนึ่งจดจ้องเขาจากในฝูงชน
คือกู่ชิงลั่ว