ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 10 ความต้องการใหม่
บทที่ 10 ความต้องการใหม่
หลังจากส่งตัวผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดให้กรมพลังต้นกำเนิด เขาก็เดินทางกลับเรือนตน
เพิ่งจะเดินทางมาถึง หลี่ชู่ก็ออกมาต้อนรับพอดี “พบศพเด็กแล้วขอรับ”
“โอ๋ ?” ซูเฉินพบันสนใจ “ไปดูกันเถอะ”
ไม่นาน ซูเฉินก็มายืนอยู่หน้าหลุมดิน เป็นสถานที่รกร้างนอกเมืองเมืองธารน้ำใส
ภายในหลุมมีศพร่างเล็กอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีศพผู้ใหญ่อยู่ 2 ศพ น่าจะเป็นแม่เด็กกระมัง
อาจเพราะยังเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน เนื้อหนังจึงยังไม่สลายหายไป หนอนทั้งหลายพากันชอนไชเนื้อเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลบ เห็นแล้วอยากอาเจียน
ซูเฉินเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สา หยิบกระดูกหนึ่งขึ้นมาจากทารกแรกเดินด้วยมือเปล่าที่ห่อผ้าไว้ จากนั้นเริ่มตรวจสอบมัน
คนอื่น ๆ อาจเห็นว่าชายหนุ่มจ้องกระดูกค้างไป แต่แท้จริงแล้วนัยน์ตาพลังต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นกำลังวิเคราะห์องค์ประกอบของกระดูกชิ้นนั้นอยู่ ทำให้เขาเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
แม้มองผ่าน ๆ จะเหมือนกระดูกมนุษย์ปกติ แต่ซูเฉินกลับพบว่าเมื่อสังเกตดี ๆ จะมีบางอย่างที่แปลกไป
ยิ่งมองก็ยิ่งตกใจ
“นายน้อย กระดูกนี่……” หลี่ชู่เอียงตัวเข้ามาถาม
หากแต่ซูเฉินไม่ตอบ พูดเพียง “ทำลายซากพวกนี้ให้หมด อย่าให้เหลือซาก แยกทารกกับผู้ใหญ่ออกจากกันด้วย”
“ขอรับ”
“ส่วนแม่ที่ยังไม่ตาย นำตัวกลับมาที่คฤหาสน์ ค้นหาแล้วนำตัวกลับมายังคฤหาสน์ซู ใช่แล้ว เหตุการณ์ ‘ปีศาจส่งเด็ก’ เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเกือบครึ่งปีที่แล้วใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นแสดงว่ายังมีสตรีที่ยังตั้งครรภ์อยู่กระมัง ?”
“เรื่องนี้…… อาจจะมี แต่ข้าไม่มั่นใจรายละเอียดนักขอรับ”
“รองหัวหน้าเฉิง !” ซูเฉินเรียกเสียงดัง
“ข้าน้อยอยู่นี่” หัวหน้าค่ายโจรกระดองเต่าลำดับที่สอง รองหัวหน้าเฉิงปรากฏตัวขึ้น
“ไปตระกูลหลี่ ตามหาสตรีที่ใกล้คลอด หากเป็นไปได้ก็นำตัวพวกนางกลับมาที่นี่ หากหาเบาะแสอย่างอื่นได้ก็หาข้อมูลกลับมาด้วย”
รองหัวหน้าเฉิงลังเลอยู่ชั่วครู่ “เบาะแสประเภทไหนหรือ ?”
“เช่นมีทารกคนไหนที่รอดชีวิตบ้าง !”
“รับทราบ ! ข้าน้อยเข้าใจแล้ว !”
หลังจัดการเรื่องราวแล้ว ซูเฉินก็กลับคฤหาสน์
เพิ่งจะเดินเข้าไปยังห้องทำงานได้ไม่นาน เขาก็ขมวดคิ้วแน่นก่อนเอ่ย “ออกมา”
“ฮี่ ๆ เจ้าหาตัวข้าเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะเนี่ย” เยี่ยเม่ยหัวเราะดังออกมาจากเงามืด นางกระโดดออกมาจากที่ซ่อน บนใบหน้ามีหน้ากากหน้าตาน่ากลัว ดูท่าจะคิดทำให้ซูเฉินตกใจ แต่โชคร้ายที่ไม่สำเร็จ
ซูเฉินเอ่ยเสียงห้วน “เจ้านี่นิ่มนวลขึ้นทุกวัน ดูเข้าสิ เจ้ายังเหมือนมือสังหารอยู่หรือไม่ ?”
“เจ้าพูดออกมาไม่อายปากบ้างหรือ ? ตั้งแต่เจอเจ้า ข้าก็เปลี่ยนจากมือสังหารไปเป็นเด็กส่งข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว น่าสงสารความฝันที่คิดอยากเป็นราชามือสังหารเสียจริง !” เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเศร้า “คิดว่าเจ้าจบจากสถาบันไปแล้วข้าจะเป็นอิสระสักที แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะเรียกข้ามาเมืองธารน้ำใสเช่นนี้ด้วย ? นี่ คิดว่าข้าเป็นเด็กส่งข้อความส่วนตัวของเจ้าหรืออย่างไรกัน ? เจ้าไปไหนก็เรียกเอาข้าไปด้วยแบบนี้น่ะ ?”
“หลายคนตีกันแทบตายอยากได้งานนี้ แต่เจ้ากลับไม่ต้องการ มุ่งมั่นจะเป็นนักฆ่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอมตะหรือไร ?”
“หึ !” เยี่ยเม่ยสะบัดหน้าไปทางอื่น
“เอาล่ะ บอกมาว่าต้องการอะไร” ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
“ไม่มีอะไรหรอก เบื้องบนอยากให้ข้ามาคุยเรื่องโอสถปลุกวิญญาณ”
“มาเร่งให้ข้าทำเร็วขึ้น ?” ซูเฉินถาม
ซูเฉินและอารามนิรันดร์ตกลงกันไว้ว่าจะส่งมอบยา 200 ขวดต่อปี จนถึงตอนนี้เขามอบให้ไป 1,200 ขวดแล้ว
จริง ๆ แล้วฝีมือการปรุงโอสถปลุกวิญญาณของเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าเกือบไม่มีผิดพลาด หากต้องการ เขาก็สามารถรีบปรุงยาอีก 1,800 ขวดได้ ใช้หนี้จนหมดสิ้น
หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าติดค้างไว้เช่นนี้ยังมีประโยชน์ ตราบเท่าที่เขาติดค้างอารามนิรันดร์ พวกเขาก็จะไม่คิดกดดันเขาโดยใช่เหตุ อีกทั้งยังให้ความเคารพต่อกันมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่คิดรีบชดใช้หนี้
เยี่ยเม่ย “ไม่ใช่เรื่องนั้น เจ้าก็รู้ว่า 6 ปีที่ผ่านมาเจ้าปรุงโอสถปลุกวิญญาณมา 1,200 ขวดแล้ว 1,200 ขวดเชียวนะ ! พวกมันเป็นยาหากยาก อารามนิรันดร์มีมันมากมายเช่นนี้ก็ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไรเช่นกัน”
“ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไรก็ขายเสียสิ”
“เจ้าพูดเช่นนั้น แต่ไม่คิดบ้างหรือว่าใช้วัตถุดิบยาระดับตำนานใช้ทำยาหายากมันดูสิ้นเปลืองไปหน่อย ? แน่นอนว่าจะปรุงยาได้จำนวนมากกว่าเดิม ดังนั้นกำไรจึงไม่ลดลงมาก แต่บางอย่างมีราคากลับไม่อาจหามาได้”
ซูเฉินเข้าใจที่นางจะสื่อ เขาหัวเราะ “ดูท่าเบื้องบนของเจ้าจะมีความคิดใหม่กระมัง ตอนนี้มีโอสถปลุกวิญญาณมากเกินไป แล้วอย่างไร พวกเจ้าดื่มกันจนเบื่อแล้วหรือ ?”
“ก็ไม่แปลก” เยี่ยเม่ยวางหน้าลงบนโต๊ะซูเฉิน “หากให้เจ้าปรุง 200 ขวดต่อปีต่อไป ก็จะมียาระดับหายากให้ทุกคนในองค์กรเลยทีเดียว เจ้าน่าจะสังเกตเห็นว่าหลายปีมานี้อารามนิรันดร์ไม่คิดทรมานมนุษย์ไปนานแล้ว ทุกคนก็แค่อยากมีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”
“อืม” ซูเฉินพึมพำ ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ขัดนาง
หลังจากเรื่องหม่าเหรินเจ๋อ ก็ทำให้เขาเห็นว่าอารามนิรันดร์ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียว มีทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตดี ๆ และคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตไร้เมตตาอยู่รวมกัน
“เพราะงั้นเบื้องบนจึงอยากทำข้อแลกเปลี่ยน ให้เจ้าปรุงยาอื่นมาให้แทน พวกข้าไม่ขอให้เจ้าปรุงยาที่สามารถใช้โจมตีขนานใหญ่ได้หรอก แต่อยากได้ยาที่ส่วนผสมหายากคล้ายกับดอกซากวิญญาณ”
“มีแต่นักปรุงยาระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่ปรุงได้”
“นักปรุงยาระดับชำนาญที่เก่งหน่อยก็ทำได้เช่นกัน จากการสืบเสาะของทางเรา เจ้าก็น่าจะถึงขั้นนั้นแล้วไม่ใช่หรือ ? แค่ยังไม่ได้ไปทดสอบอย่างเป็นทางการก็เท่านั้น” เยี่ยเม่ยพูดยิ้ม ๆ
ซูเฉินเอ่ยเสียงต่ำ “สืบเสาะอะไรกัน เจ้าเจอยาบ้าคลั่งระดับสูง 2 ขวดที่ข้าเพิ่งขายไปต่างหาก”
ยาบ้าคลั่งระดับสูงมีแต่นักปรุงยาระดับชำนาญเท่านั้นที่ปรุงได้ อีกทั้งยังแตกต่างจากโอสถปลุกวิญญาณโดยสิ้นเชิง และหากชายหนุ่มปรุงมันได้ เช่นนั้นก็แปลว่าเขาเป็นนักปรุงยาระดับชำนาญแล้ว ไม่ว่าอารามนิรันดร์จะตาบอดหรืออย่างไรก็ต้องมองออก
เยี่ยเม่ยหัวเราะคิก “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่คิดปิดเป็นความลับสินะ ไม่แน่ว่าที่ข้าปรากฏตัววันนี้เจ้าก็คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน”
“โอ้ ? ฉลาดขึ้นอีกแล้วนี่” ซูเฉินทำท่าตกตะลึง
เยี่ยเม่ยพลันหุบยิ้ม “เงียบน่า ! พวกเราเป็นพี่น้องกัน บอกมาเลยว่าจะทำหรือไม่ทำ”
“เจ้าต้องการอะไร ?”
“ยาสะบั้นสายเลือดระดับสูง ยาวิญญาณโกลาหล และยาวิญญาณกระจ่าง”
ซูเฉินขมวดคิ้ว “ยาสะบั้นสายเลือดเป็นยาพิษนะ”
“แต่ก็ไม่อาจใช้ทำอันตรายหรือก่อเรื่องใหญ่ได้” เยี่ยเม่ยดูจะเตรียมตัวมาดี “เจ้าจะให้อารามนิรันดร์เป็นฝ่ายดีตลอดไม่ได้หรอก อย่างไรก็มีที่ต้องใช้กำลังบ้าง ยาสะบั้นสายเลือดระดับสูงสามารถจำกัดพลังจากสายเลือดได้ แต่ไม่อาจสังหารคน ยาสะบั้นสายเลือดที่ทำจากดอกซากวิญญาณจะแรงกว่าปกติ ดังนั้นจึงนำไปใช้กับเป้าหมายที่มีพลังสูงส่งได้”
“แต่สำหรับพวกเจ้า คนที่ถูกกดสายเลือดก็คือคนที่ตายไปแล้ว”
“การใช้โอสถปลุกวิญญาณเพื่อเสริมความแกร่งก็ใช้เพื่อสังหารศัตรูเช่นกัน” เยี่ยเม่ยรีบตอบ
“ดูท่าเจ้าจะเตรียมการมาดี ตอบคำถามข้าได้ทุกเรื่องเชียวนะ”
เยี่ยเม่ยหัวเราะ “เพราะครั้งนี้ข้าได้หัวหน้าฉลาดกว่าเดิมมาอย่างไรเล่า !”
คำพูดนี้เปิดโปงความจริงออกมาทันใด
“แล้วยาวิญญาณโกลาหล ? เจ้าใช้มันคุมจิตใจอีกฝ่ายได้ จะเอาไปทำอะไร ? เจ้าหมายหัวศัตรูระดับสูงเป็นคนจากทางการหรือ หาโอกาสก่อกบฏหรือไร ?”
“เรามีเป้าหมายที่ต้องจัดการก็เท่านั้น แต่ไม่ทำให้เผ่ามนุษย์วุ่นวายหรอก เราทำเพื่อจะได้ผลประโยชน์ ก็เหมือนเมื่อก่อน หากเจ้าไม่เชื่อใจ จะมาร่วมมือด้วยกันก็ได้นะ” เยี่ยเม่ยตอบ
ซูเฉินได้ยินแล้วก็ชะงักไป
ดูท่าครั้งนี้อารามนิรันดร์จะหาคนมีสมองมานำทัพเข้าจริง ๆ