ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 101 ล่า (6)
บทที่ 101 ล่า (6)
ค่ายกลมายา !
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกตนก็เข้าใจ
ถ้ำมืดสลัวอะไรกัน ? ผลึกแก้ววงกตอะไรกัน ? ล้วนเป็นภาพมายาทั้งสิ้น
เผ่าวิญญาณเจ้าเล่ห์ผู้นี้หลอกพวกเขามาตั้งแต่ต้นต่างหาก
เขาสร้างค่ายกลมายาขนาดใหญ่ไว้ที่นี่ และเมื่อพวกเขาเดินทางเข้าเขตภูเขามาก็เข้ามาอยู่ในค่ายกลมายาทันที ซึ่งทุกสิ่งอย่างก็ถูกควบคุมโดยค่ายกลนี้
ไม่แปลกที่อันซื่อหยวนที่อยู่ด่านสู่พิสดารจะไม่อาจโค่นเผ่าวิญญาณผู้นี้ได้ เมื่ออยู่ภายใต้ค่ายกลมายา พวกเขาไม่ได้สู้อยู่กับสิ่งของจับต้องได้ แต่เป็นพลังจิตที่ภาพที่ถูกสร้างขึ้นต่างหาก
“ล้วนเป็นวิชามายานี่เอง !” อันซื่อหยวนเข้าใจทันที
กรงเล็บภูตผีอะไร ? ฝ่ามือสูญงั้นหรือ ? พวกมันเป็นสิ่งที่ค่ายกลมายาสร้างขึ้นมาเอาชนะพวกเขาทั้งสิ้น
วิชามายาเป็นทักษะต้นกำเนิดประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องคำนึงถึงพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง หากสร้างภาพออกมาได้น่าเชื่อตาก็หลอกคนได้ไม่ยาก
แต่กลอุบายก็ยังคงเป็นเพียงกลอุบาย คิดใช้วิชามายาสังหารศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เปลี่ยนภาพมายาให้กลายเป็นความจริงนั้นเป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ภาพมายามาโดยตลอด แต่ละคนก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป
ซูเฉินเคยใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาหลอกคนด่านทะลวงลมปราณสองคนให้ฆ่ากันเองมาแล้ว แต่เผ่าวิญญาณตรงหน้าเขาคนนี้กลับเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าเขา
อย่างแรกอีกฝ่ายใช้ค่ายกลมายาเพื่อขยายขอบเขตวิชามายาตนเอง พาทุกคนเข้าสู่แดนภาพมายา ก่อนจะค่อย ๆ สังหารคนไปทีละนิด ๆ
แต่ก่อนตายคนผู้นั้นก็จะหลุดออกจากโลกมายาได้ ดังนั้นส่วนที่ยากที่สุดคือการหาวิธีสังหารโดยไม่ทำให้หลุดออกจากภาพมายาที่สร้างไว้
ดูท่าม่อจะใช้ค่ายกลมายาเพื่อสร้างบรรยากาศที่มีเสียงดังโหวกเหวกและมีแสงไฟสว่างจ้าเพื่อซุกซ่อนโลกแห่งความจริงเอาไว้ จากนั้นก็ใช้วิชาลับสังหารคนไปทีละคน
ไม่รู้ว่าเป็นวิชาอะไรกันแน่ แต่การที่ต้องจัดการคนอ่อนแอก่อนคงมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่
เรื่องนี้ทำให้ซูเฉินมองออก ม่อใช้ภาพมายาต่อสู้กับพวกเขา แต่ไม่อาจลงมือกับชายหนุ่มในโลกจริงได้เพราะยังไม่ได้ไล่เป้าหมายมาจนถึงตัวซูเฉินนั่นเอง
แต่สิ่งสำคัญคือแม้ม่อในโลกมายาจะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ได้ไร้เทียมทาน
การแสดงพลังที่สูงส่งรุนแรงเกินไปเป็นเรื่องท้าทายในโลกมายายิ่ง เพราะจะทำให้หลุดออกจากโลกมายาได้ง่าย และเมื่อม่อยิ่งสำแดงกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกมายาของตน ก็นับเป็นการเปิดช่องให้คู่ต่อสู้มองภาพมายาออก แม้จะไม่อาจรู้ความจริงว่าถูกลวงด้วยโลกมายา แต่ก็ต้องจับสังเกตบางอย่างได้บาง
ซูเฉินใช้วิธีนี้ในการมองออกว่าตนอยู่ในโลกมายา ประการแรกเขาใช้วิชาที่เขาคุ้นเคยก่อนว่าโลกมายาจะสามารถเลียนแบบออกมาได้เนื่องจากใช้การอ่านจากความทรงจำของเขา จากนั้นก็ใช้วิชาที่เขายังสร้างไม่เสร็จดู
ด้วยเพราะโลกมายาเลียนแบบวิชาได้โดยการอ่านจากความทรงจำ ซูเฉินรู้ดีว่าวิชาที่เขาสร้างยังไม่เสร็จจะมีผลออกมาเช่นไร ดังนั้นจึงสามารถใช้มันออกมาได้แม้จะยังเพิ่งเป็นโครงร่างเท่านั้น ทำให้เขาค้นพบความจริงเจอข่องว่างเข้า
และเมื่อรู้ตัวแล้วเขาก็จำเป็นต้องทำลายมันลง
การโจมตีศัตรูที่ภาพมายาสร้างขึ้นนั้นไร้ประโยชน์ หนทางที่จะหลุดออกจากโลกมายาที่ดีที่สุดคือการทำลายเขตแดนของมัน นั่นก็คือวิธีที่กังเหยียนใช้ทำลายวิชาสรรพสิ่งลวงตาเมื่อก่อนหน้านี้ ดังนั้นซูเฉินจึงซัดพลังใส่เพดานหินและทลายมันได้ในกระบวนท่าเดียว
แม้จะไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจน แต่ทุกคนก็เคยผ่านศึกมีประสบการณ์มาแล้ว ดังนั้นไม่นานก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
และเมื่อรู้กลลวงทั้งหมดแล้ว คนทั้งหลายก็เริ่มหัวเราะเสียงเหี้ยมขึ้น “ครานี้เจ้าจะโอหังไปได้อีกสักเท่าไหร่ !”
ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !
การโจมตีทั้งหลายพุ่งเข้าไปยังม่อทันที
ม่อคำราม “คิดหรือว่าเผ่าวิญญาณชั้นสูงจะรู้จักใช้แต่วิชามายา ? จงออกมา !”
พวกเขาร้องตะโกนแล้ว ผืนดินในหุบเขาก็เริ่มสั่นสะเทือนและแยกออก งูขนาดใหญ่เลื้อยขึ้นมาจากรอยแตก หากแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ภาพมายาอีกต่อไป
เจ้างูปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็แยกเขี้ยวขู่ใส่คนทั้งหลาย ลมกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากปากของมัน ส่งผลให้ทุกคนถอยไปเล็กน้อย
อันซื่อหยวนคำรามต่ำ “ความจริงเปิดเผยแล้ว เจ้าคิดว่าจะเอาชนะได้อยู่อีกหรือ ? หมัดอหังการ !”
เชาใช้วิชาหมัดวิชาเดิม หากแต่ครั้งนี้ พลังที่แท้จริงของด่านสู่พิสดารได้มีโอกาสสำแดงเสียที
หมัดนั้นกระแทกเข้ากับหัวของเจ้างู ส่งผลให้เลือดพุ่งกระฉูดออกมา
ความแตกต่างระหว่างโลกจริงและโลกมายานั่นคือตอนนี้คนโลกจริงสามารถโจมตีอีกฝ่ายจนบาดเจ็บได้แล้ว
“ฝ่อ !” งูยักษ์ร้องเสียงเจ็บปวด ความดุร้ายของมันยิ่งเพิ่มขึ้นสูง ส่งการโจมตีออกมาดุดันกว่าเก่า
ภาพสิงห์ขาวปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังอันซื่อหยวนอีกครั้ง แสงสีขาวแผ่ออกมาล้อมกายงูยักษ์ไว้ราวกับถูกผ้าคลุมขาวปิดร่าง
เขาปล่อยหมัดอหังการออกมาอีกครั้งหนึ่ง กระแทกเข้าที่หน้าท้องของเจ้างู ซึ่งหมัดนั่นมันทะลวงหนังงูยักษ์เข้าไป ทิ้งรูใหญ่ไว้รูหนึ่ง
หมัดเหล่านี้เผยพลังของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารไม่หยุด ทุกหมัดทิ้งบาดแผลไว้บนร่างงูยักษ์
“พวกเจ้าไปจับไอ้เผ่าวิญญาณนั่นเสีย !” อันซื่อหยวนนร้องบอกกองทหารลาดตระเวนของเฉินเหวินฮุย
กองลาดตระเวนเหล่านั้นดูลังเล ส่งสายตาหาเฉินเหวินฮุย แม้งูยักษ์ของม่อจะต่อสู้พัวพันอยู่กับอันซื่อหยวน เผ่าวิญญาณก็มีเล่ห์กลมากมาย ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีลูกไม้อะไรอีก หากบุกเข้าไปตอนนี้ก็อาจจะพลาดเอาชีวิตตนไปทิ้งได้
เห็นดังนั้น อันซื่อหยวนก็พลันคำรามเสียงเย็น ชะลอกระบวนท่าลงเล็กน้อย จงใจดึงเอาเจ้างูยักษ์ให้เข้ามาใกล้อีกนิด
ร่างยักษ์ของมันเคลื่อนที่สะเทือนพื้นดิน เลื้อยเข้ามาพร้อมกับอ้าปากกว้าง และเมื่อมันพุ่งเข้ามาเช่นนี้แล้ว เจ้าอสรพิษก็ได้กวาดเอากองลาดตระเวน 7-8 คนเข้าปากไปในทันที
“อันซื่อหยวน เจ้า !” เฉินเหวินฮุยทั้งโกรธทั้งตกใจ
แม้เขาจะรู้ว่าอันซื่อหยวนคิดลงมือกับเขา เฉินเหวินฮุยก็อดชะงักไปกับความเหี้ยมโหดของอันซื่อหยวนไม่ได้
อันซื่อหยวนเอ่ยเสียงเข้ม “เฉินเหวินฮุย อย่าคิดว่ามีคนคุ้มกะลาหัวเจ้าแล้วจะต่อต้านข้าได้ ภารกิจเจ้าวันนี้คือการจับกุมตัวคนเผ่าวิญญาณนี่ ตั้งใจให้มากหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้นคนอื่นเขาจะมองออกว่าเจ้าไม่ช่วยลงแรง ถึงตอนนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าไร้มารยาทกับเจ้า !”
เฉินเหวินฮุยรู้ว่าอันซื่อหยวนไม่กล้าสังหารเขาตรง ๆ แต่คิดจะสังหารลูกน้องเขาต่างหาก
ปัญหาคือตอนนี้มีจีหานเยี่ยนอยู่ด้วย หากเขาไม่แสดงให้ดี ระแวงแต่อันซื่อหยวน จีหานเยี่ยนก็อาจกลับไปรายงานเรื่องเขาได้
อันซื่อหยวนเตือนเขาให้รู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อเป็นทหารเดนตาย
หากยอมเป็นแต่โดยดีก็ไม่เป็นไร
แต่หากเป็นข้าที่ต้องบีบให้เจ้าเป็น ข้าจัดการเจ้าแล้ว จีหานเยี่ยนก็จะรายงานเจ้าให้เบื้องบนทราบ
เมื่อเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ เฉินเหวินฮุยได้แต่กัดฟันพูด “พวกเจ้า บุกไป !”
ได้แต่หวังว่าม่อจะไม่มีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่อีกเท่านั้น
กองลาดตระเวนจึงพุ่งเข้าใส่ม่อทันที
เมื่อเห็นคนจำนวนมากพุ่งเข้ามา ม่อก็ขู่ฝ่อ “จงรับบทลงโทษเสีย !”
จากนั้นควันกลุ่มใหญ่ก็พลันพุ่งออกมา
มันเป็นหมอกควันเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้ เสียงเคี้ยวเสียงกัดดังขึ้นมาให้ได้ยินจากในความมืด
ซูเฉินเคยเห็นกลนี้มาสองครั้งแล้วไม่แปลกใจแต่อย่างใด แต่สำหรับกองลาดตระเวนนับว่ายังเป็นกลที่รุนแรงนัก
“อ๊ากกก !”
“ช่วยด้วย !”
“นายท่าน ช่วยข้าด้วย !”
เสียงร้องน่าสมเพชเริ่มดังขึ้น
ถึงตอนนี้ คนที่สามารถช่วยพวกเขาได้คืออันซื่อหยวน ด้วยตอนนี้เจ้างูยักษ์บาดเจ็บสาหัส เห็นได้ชัดว่ายอมแพ้ไม่คิดสู้อีก แต่อันซื่อหยวนเห็นคนจากกรมวินิจฉัยคดีกระเสือกกระสนเช่นนี้ก็หัวเราะเย็นชา หลู่ชิงกวงและคนอื่น ๆ เองก็ชะลอการโจมตีเช่นกัน