ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 103 ล่า (8)
บทที่ 103 ล่า (8)
ทันทีที่ก้อนพลังสีดำปรากฏขึ้น ซูเฉินก็สัมผัสได้ทันทีว่ามันกักเก็บพลังอันน่าเหลือเชื่อไว้ภายใน
หากถูกร่างเข้าก็คงได้ร่างแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแน่
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาหลบหรือใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายอีก ก้อนพลังงานกำลังพุ่งเข้ามาใส่ หากแต่เบื้องหลังเขาพลันมีแสงสีเลือดส่องเรืองขึ้น เงาร่างจาง ๆ อยู่ท่ามกลางแสงสีแดงฉาน แต่มองไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแต่ ดูท่าเงาร่างนั้นกำลังกระโจนออกไปแล้ว
พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มก็พลันเงยหน้ากู่ร้องออกมา
พลังสีขาวพลังพุ่งออกจากปาก ปะทะเข้ากับก้อนพลังสีดำทันที
พลังสีขาวและสีดำเข้าปะทะกัน เกิดเป็นคลื่นพลังสะท้อนออกมาอย่างรุนแรง
พลังต้นกำเนิดที่ถูกบีบอัดไว้พลันระเบิดออก เกิดเป็นคลื่นพลังกระจายออกมารุนแรงกว่าเก่า
มันพุ่งเข้าใส่ซูเฉินราวกับคลื่นยักษ์โหมซัด ส่งร่างเขากระเด็นไป
ม่อเองก็ร้องเสียงหลงเช่นกัน “ไม่ !”
การโจมตีนี้ไม่เพียงทำเขาบาดเจ็บสาหัส แต่ยังสะเทือนจิตด้วย ทำให้พริบตาต่อมา คนที่กำลังสู้กันเองก็พลันตื่น ในที่สุดก็รู้ว่าตนทำอะไรลงไป
“บัดซบ !” อันซื่อหยวนกัดกรามแน่นจนฟันแทบแตก ด้วยถูกม่อหลอกมาถึง 2 ครั้ง
หากนับกันเรื่องพละกำลังกาย อันซื่อหยวนก็ยังนับว่าแกร่งมากในคนด่านสู่พิสดารด้วยกันเอง เขาแกร่งที่สุดในเมืองธารน้ำใส แต่กลับมีพลังจิตอ่อนแอที่สุด คนส่วนมากอาจนำจุดนี้มาใช้ได้ยาก แต่เผ่าวิญญาณที่เชี่ยวชาญด้านคุมจิตกลับทำเอาเขาไม่ทันตั้งตัว
แล้วอันซื่อหยวนจะยอมรับมันได้อย่างไรกัน ?
“ตายเสีย !”
สิ้นเสียงร้องลั่น หมัดดั่งเหล็กของเขาก็พุ่งเข้าใส่ม่อทันที
“ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก !” ม่อเอ่ยเสียงเยียบเย็น
ใต้เท้าเขาพลันมีกลุ่มหมอกพวยพุ่งออกมาอีก ครั้งนี้ร่างเขาหายไปทั้งร่าง
ไปไหนแล้ว ?
อันซื่อหยวนกำลังตกใจ พลันได้ยินเสียงตะโกนของซูเฉิน “อยู่ตรงนั้น !”
เขาจึงกระแทกฝ่ามือออกไป เส้นแสงดุดันพุ่งออกไปทันที
“อ๊าก !” ม่อร่วงลงมาจากฟ้าพร้อมเสียงร้องลั่น เขาไม่ทันระวัง ถูกพลังนั้นเผาไหม้ไปสาหัสไม่น้อย
“รู้ตำแหน่งข้าได้อย่างไรกัน ?” เขาร้องลั่น แต่ก็ยังคงพยายามถอยไปไกล …อีกฝ่ายกำลังคิดจะหนี !
ซูเฉินหัวเราะเย็น “ก็อย่างที่เจ้าว่า ข้าเชี่ยวชาญวิชาโบราณอาร์คาน่า เจ้าอยู่นิ่ง ๆ เสียจะดีกว่า คมหนามคดเคี้ยว !”
สิ้นเสียง หนามขนาดใหญ่หลายสายก็ปรากฏขึ้นด้านหลังม่อแล้วกักขังเขาเอาไว้
คมหนามคดเคี้ยวเป็นวิชาที่ผ้าเท่อลั่วเค่อสอน ใช้ได้ดีกับศัตรูที่คิดหนี คิดจะจับตัวม่อแล้วซูเฉินจึงต้องลงแรงสักหน่อย
ซูเฉินยังใช้คมหนามคดเคี้ยวไม่ถนัดมือนัก ดังนั้นจึงแสดงผลมันออกมาได้ไม่เต็มที่ สุดท้ายจึงสามารถชะลอม่อลงได้เป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
แต่ก็มากพอสำหรับอันซื่อหยวนแล้ว
หมัดอหังการทำลายสิ้นทุกสิ่งอย่างระหว่างทางที่มันรุดหน้าเข้ามา รวมเอาพลังทำลายล้างทั้งหลายพุ่งเข้าใส่ม่อ
เมื่อเห็นว่าหมัดน่าเกรงขามกำลังพุ่งมาทางตน ม่อก็ตะโกนลั่น “ข้าต้องไม่ตาย !”
เมื่อหมัดอหังการกำลังเข้าปะทะร่าง ร่างอีกฝ่ายกลับแยกออกเป็นสิบเงาแล้วกระโจนไปทั่วทิศ
“ร่างแยกริ้วแสง !” ซูเฉินเอ่ยเสียงตะลึง
ร่างแยกริ้วแสง เป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าที่ยากจะชำนาญ สามารถแยกร่างออกนับสิบเพื่อใช้หนี แต่แม้จะช่วยให้มีโอกาสหนีเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงมากเช่นกัน
แต่เผ่าวิญญาณที่มีร่างคล้ายภูตผีแล้ว ผลเสียของวิชานับเป็นเรื่องเล็ก เป็นเพราะร่างกายของพวกเขาเอื้อต่อการถูกแยกออกจากกันเป็นทุนเดิม
“คิดจะหนีหรือ ?” หลู่ชิงกวงก้าวไปข้างหน้า
ระลอกพลังกระจายตัวออกอีกครั้ง เกิดเป็นแรงกระเพื่อมในอากาศ ระลอกพลังแผ่ออกรอบทิศ
ระลอกพลังใช้โจมตีเป้าหมายเป็นกลุ่มก้อนได้ดีนัก พริบตาที่ร่างแยกริ้วแสงถูกซัดด้วยระลอกพลังเข้า ก็ละลายหายไปราวกับเกล็ดน้ำแข็งถูกแสงอาทิตย์
“อ๊าก !”
“อ๊าก !”
“อ๊าก !”
ร่างแยกของม่อร้องลั่นออกมาติดต่อกัน
ตอนนั้นเอง เจ้างูยักษ์ก็ส่งเสียงขู่แล้วเลื้อยมาทางหลู่ชิงกวง
หลู่ชิงกวงไม่ทันระวัง ถูกเจ้างูซัดร่างกระเด็นไป
“ช่วยด้วย !” ร่างเขกระเด็นผ่านเฉินเหวินฮุยไป
เฉินเหวินฮุยทำเป็นไม่เห็น ใช้บัววิมลฟ้าล้อมร่างแยกที่เหลือของศัตรูไว้แทน
ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่าน ปล่อยการโจมตีทั้งหลายใส่ม่อไม่หยุด ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
ร่างแยกของม่อร่างแล้วร่างเล่าถูกส่งกระเด็นไป ก่อนมันจะสลายไปจนสิ้น ทุกร่างร้องลั่นน้ำเสียงไม่ยินยอม สุดท้ายร่างแยกทั้งหมดก็กลับมารวมเป็นร่างของเผ่าวิญญาณดังเดิม
และเมื่อร่างแยกสุดท้ายสลายลง หุบเขาก็กลับคืนสู่ความสงบ
ตอนนี้ฝั่งมนุษย์มีจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย ผู้ฝึกยุทธ์กว่าสิบสิ้นใจ ทั้งยังรวมผู้เชี่ยวชาญพลังอีกหลายคน
พวกเขาพาคนมาตั้งมากเพื่อรับมือกับเผ่าวิญญาณระดับต่ำเพียงหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเสียหายไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ารับมือกับเผ่าวิญญาณเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
กระทั่งอันซื่อหยวนยังต้องถอนใจออกมา “จัดการเจ้านี่ได้สักที บัดซบเอ๊ย ผีพวกนี้รับมือยากจริง รองเจ้ากรมจี กลับไปเจ้าอย่าลืมรายงานว่าเมืองธารน้ำใสของข้าลงแรงเพื่อจัดการเผ่าวิญญาณผู้นี้ไปมากมาย !”
จีหานเยี่ยนเอ่ยพลางยิ้มบาง “เจ้าเมืองอันอุตส่าห์มารับมือกับเผ่าวิญญาณผู้นี้ด้วยตนเอง ข้าจะจดจำเอาไว้ให้ดี อีกทั้งยังขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาช่วยเหลือ”
“ฮ่า ๆ ๆ!” เมื่ออันซื่อหยวนได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มยินดี ผิดกับเฉินเหวินฮุยที่กลับมีสีหน้าทะมึน
แม้จะมีคนตายมาก แต่คนส่วนมากเป็นคนจากกรมวินิจฉัยคดีของเขา
อันซื่อหยวนยืมมีดฆ่าคนสำเร็จ ไม่เช่นนั้นคนของเขาคงไม่สูญเสียมากมายเช่นนี้เป็นแน่
เจ้าเมืองบัดซบนั่น !
เฉินเหวินฮุยสบถด่าในใจ ทว่าก็ได้แต่ยืนนิ่งหน้าทะมึนไปเช่นนั้น
เมื่อจัดการกับคนเผ่าวิญญาณได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาแบ่งสมบัติของเผ่าวิญญาณกันแล้ว
โชคไม่ดีที่เผ่าวิญญาณกินลมกินน้ำค้าง ไม่กินอาหารเช่นมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้เงิน มุ่งมั่นแต่เรื่องค้นคว้าอย่างเดียว ดังนั้นในหุบเขาจึงไร้สมบัติ มีเพียงห้องทดลองที่มีขวดมีกล่องและส่วนผสมอยู่มากมาย ทำให้ซูเฉินได้ประโยชน์ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าไม่มีของอะไรให้แบ่งมากมาย คนอื่น ๆ จึงถอนใจแล้วตั้งท่าจะกลับ
พวกเขากำลังจะกลับ แต่ซูเฉินและจีหานเยี่ยนยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าศพคน
มันคือร่างที่มอบชีวิตตนเพื่อปกป้องม่อ แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่คงกระพัน เขาถูกสังหารระหว่างการปะทะกันของพลังสีขาวและสีดำเมื่อก่อนหน้า
ซูเฉินเห็นจีหานเยี่ยนสีหน้าแปลกไปจึงเดินเข้ามาถาม “มีอะไรหรือ ?”
จีหานเยี่ยนตอบ “คนนี้คือเว่ยเสี่ยวเฟิง”
“……”
“……”
เว่ยเสี่ยวเฟิงตามรอยเท้าบิดาตนไปแล้ว
ซูเฉินถอนหายใจ “คงเป็นชะตากรรมของบิดากับบุตรคู่นี้กระมัง”
“ไม่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเผ่าวิญญาณ !” จีหานเยี่ยนเอ่ยเสียงเหี้ยม “เผ่าวิญญาณเอามนุษย์มาเป็นทาสทำให้เกิดภัยมากมาย ไม่ช้าไม่นานข้าจะต้องจัดการมันให้สิ้นไปให้ได้ !”