ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 104 กลืนกิน
บทที่ 104 กลืนกิน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กลับสู่ความสงบ ทุกคนก็เริ่มจากไป
เหลือเพียงซูเฉินที่กำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องหมูภายในห้องทดลองคนเดียว เขาบอกว่าเครื่องมือเหล่านี้ต้องเก็บให้ดีเพื่อรักษาประโยชน์ดั้งเดิม ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียของโดยใช่เหตุ ดังนั้นเขาจึงนั่งไล่รายชื่อสมุนไพรทั้งหลาย ที่เมื่อใครได้ยินเป็นต้องปวดหัว
ก่อนจากไป จีหานเยี่ยนถามขึ้นเสียงเบา “ก่อนหน้านี้เจ้าใช้วิชาอะไร ?”
“วิชาอะไร ?” ซูเฉินหน้าตาสับสน
“ยังมาเสแสร้งอีก ?” จีหานเยี่ยนเหลือบมองเขาสายตาดูถูก “ก็พลังสีขาวนั่นไง ? ข้าไม่เคยเห็นเจ้าใช้มันมาก่อน”
ซูเฉินหัวเราะ “คนเราก็ต้องมีความลับบ้าง เจ้าจำเป็นต้องรู้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?”
จีหานเยี่ยนต่อยเขาหมัดหนึ่ง “ข้าไม่ได้เห็นคนเดียว เจ้าควรระวังหน่อย”
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร” ซูเฉินเอ่ยพลางยิ้ม
จีหานเยี่ยนกลับไปแล้ว
เมื่อเขามองดูทุกคนจากไปแล้ว ซูเฉินก็พลันเปลี่ยนสีหน้าทันที
เขารู้ว่าการโจมตีเมื่อก่อนหน้าของม่อบีบให้เขาต้องใช้ไพ่ตายอีกใบหนึ่ง แต่ในเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ชายหนุ่มจึงไม่อาจทำอะไรได้
แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องห่วง ซูเฉินสะบัดมือคราหนึ่งก็กวาดเอาของทั้งหมดบนโต๊ะเก็บลงไปในแหวนต้นกำเนิดจนหมด
ที่นี่มีหลุมศพที่เพิ่งขุดไว้อยู่หลุมหนึ่ง ที่ป้ายหินที่ปักอยู่มีคำว่า ‘หลุมศพเว่ยเสี่ยวเฟิง’ สลักเอาไว้
มันคือหลุมศพที่ซูเฉินและจีหานเยี่ยนช่วยกันขุดขึ้นมา
“เอาล่ะ ทุกคนไปแล้ว เจ้าออกมาเถอะ” ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา
แต่ไร้เสียงตอบรับ
ซูเฉินคำราม “หากต้องให้ข้าเอ่ยคำอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าใครแล้วนะ”
ฟุ่บ !
พลันมีแขนข้างหนึ่งทะลวงผืนดินขึ้นมา
จากนั้นแขนอีกข้างหนึ่งก็ผุดตามขึ้นมาติด ๆ
เว่ยเสี่ยวเฟิงที่ ‘ตาย’ ไปแล้วค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากดิน บนอกยังมีบาดแผลที่ซูเฉินทำไว้อยู่ แต่เลือดแห้งหมดแล้ว และเขายังสามารถขยับร่างได้อยู่
นัยน์ตาขุ่นของเขาจ้องจตรงมายังซูเฉิน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ ?”
“ถามตนเองก่อนเถอะว่าทำไมถึงคิดว่าจะหลอกข้าได้” ซูเฉินตอบ “อย่าลืมว่าข้ามองแผนเจ้าออกถึง 2 ครั้งแล้ว”
พูดจบเงาดำก็วาบออกมาจากร่างเว่ยเสี่ยวเฟิงก่อนจะเปลี่ยนรูปร่าง มันคือม่อนั่นเอง
หากแต่ม่อผู้นี้ดูตัวเล็กกว่ามาก เหมือนกับเป็นร่างหนุ่มของตัวเขาเอง
ม่อพูดพลางลอยอยู่ในอากาศ “ข้ายอมรับว่าข้าพลาดไป คิดว่าคนด่านสู่พิสดารจะน่ากลัวที่สุด แต่กลับเป็นเจ้าต่างหาก เจ้าทำลายโลกมายาของข้า ไม่สนใจวิชาจิตโกลาหล ทั้งยังมีพลังจิตเข้มแข็งกว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง วิชาลวงจิตของข้าใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าเลย แต่ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้ามองวิชาฝังจิตของข้าออกได้อย่างไร มันไม่ใช่วิชาที่ใช้พลังจิตสัมผัสได้ด้วยซ้ำ”
“จะบอกว่าตาข้าคมมากก็เป็นได้” ซูเฉินตอบ “แต่ข้าก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ข้าทำมันวิเศษอะไรนัก อย่างน้อย ๆ วิชาจิตโกลาหลของเจ้าก็ไม่ได้ไร้ผลแต่กับข้า”
“ไม่หรอก !” ม่อส่ายหน้า “มีหลายคนที่ไม่ถูกวิชาก็จริง แต่ไม่ใช่เพราะต้านวิชาได้ ทว่าเป็นเพราะวิชาจิตโกลาหลได้ทิ้งร่องรอยไว้ภายในจิตใจแล้วต่างหาก ช่วยขยายจิตที่ซุกซ่อน เปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นลงมือทำ แต่บางคนไม่มีความคิดเช่นนั้น ดังนั้นขยายจิตไปก็ไร้ผล แต่กับเจ้านั้นแตกต่าง ข้าเห็นว่าในใจเจ้ามีคนที่เจ้าไม่ชอบและคิดกำจัด แต่เจ้ากลับไม่ลงมือ เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าวิชาข้าไร้ผล แต่เจ้าฝืนต้านมันได้ต่างหาก !”
เป็นเช่นนี้นี่เอง !
ก็ไม่แปลกที่มันไม่ได้ผลกับจีหานเยี่ยนและลูกน้องของนาง พวกเขาเพิ่งมาถึง ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับใคร ดังนั้นจึงไม่มีจิตร้ายซุกซ่อน ไร้ความแค้นให้สะสาง จึงไม่มีความคิดใดถูกขยายจนทำให้เป็นจริง
เช่นนั้นแล้วหลู่ชิงกวง……
ซูเฉินคิดแล้วก็หัวเราะ “ความคิดเจ้าเหี้ยมโหดไม่น้อย ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเสี้ยมให้ข้ากับมิตรแตกคอกัน”
“ข้าคิดเสี้ยมจริงหรือไม่เจ้ารู้ดีที่สุด” ม่อตอบ
“เอาเถอะ ข้าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว” ซูเฉินมอบม่อแล้วยิ้ม “ที่ข้ารั้งอยู่ไม่ใช่เพื่อฟังเจ้าพล่ามไร้สาระ”
ม่อหัวเราะเสียงทะมึน “เจ้าหนุ่ม ความผิดพลาดข้อใหญ่ของเจ้าคือเรื่องนี้ เจ้าน่ะโลภเกินไป หากไม่ได้คนอื่น ๆ ช่วย เจ้าคิดหรือว่าจะต่อกรกับข้าได้ ?”
“หากเป็นเจ้าตอนมีกำลังสูงสุดก็คงไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้น่ะหรือ ? มันก็พูดยาก”
ซูเฉินยืดแขนออก เพลิงเงายักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเปล่งเสียงร้อง ปลดปล่อยพลังไร้ขอบเขตออกมา
เพลิงเงายักษ์ปรากฏขึ้นก็พุ่งเข้าโจมตีทันที
แผ่นแสงสว่างจ้าหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าม่อ
นี่ต่างหากคือเกราะผลึกแก้วที่แท้จริง
ม่อหัวเราะเสียงพอใจยามใช้เกราะผลึกแก้วสกัดเพลิงเงายักษ์ไว้ได้ “เจ้าหนุ่ม เจ้ายังไร้เดียงสานัก ข้ายอมรับว่ากำลังข้ามีไม่มากเท่าก่อนหน้า แต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าจะโค่นข้าได้ ? ถึงแม้ข้าจะเหลือพลังเพียง 1 ใน 3 ส่วนก็ยังจัดการเจ้าได้ง่ายดาย !”
ทันใดนั้นกรงเล็บจากลำแสงดำก็ตวัดเข้าใส่ชายหนุ่ม
ซูเฉินหลบได้ไม่ยาก “1 ใน 3 ? มีร่างแยกริ้วแสงเป็นสิบไม่ใช่สาม หากเจ้าบอกว่าเหลือ 1 ใน 30 ข้าก็อาจเชื่อ แต่ 1 ใน 3 หรือ ? คิดว่าข้านับเลขไม่เป็นหรือไร ?”
ว่าแล้วฝูงเหยี่ยวเพลิงก็พุ่งขึ้นฟ้า จากนั้นก็ทิ้งดิ่งลงมาทางม่อ
ม่อร้องเสียงประหลาดแล้วกระเด็นไป เกราะผลึกแก้วไม่อาจทานพลังระเบิดรุนแรงได้ แตกกระจายทันที ทำให้เพลิงเงายักษ์พุ่งเข้าเกือบถึงตัวม่อจนได้
ร่างของม่อพลันกลายเป็นเส้นแสงด้วยพยายามหลบหนี “ข้ายอมให้ทุกอย่างแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ !”
ครั้งนี้เขาเลิกเสแสร้งแล้วจริง ๆ
หลังจากใช้ร่างแยกริ้วแสงไปแล้ว พลังเขาก็ลดลงมาก พลังจิตซูเฉินแกร่งมากพอจะต้านการโจมตีจิตของเขาได้แล้ว ซึ่งก็ทำให้ม่อตกที่นั่งลำบาก ด้วยไม่อาจเอาชนะศึกครั้งนี้ได้เลย
ได้ยินดังนั้นซูเฉินพลันยิ้มบาง “ข้าต้องการอะไร ? ย่อมต้องเป็นความรู้ที่เจ้ามี”
“หากเจ้าหยุดมือข้าจะบอก !” ม่อกรีดร้อง “ข้าให้ความรู้ทุกอย่างที่ข้ามีเลย”
ซูเฉินหยุดการเคลื่อนที่ของเพลิงเงายักษ์เอาไว้
ในที่สุดม่อก็หยุดหนี อาจเพราะถูกเพลิงเงายักษ์โจมตีจนเจ็บหนัก เขาคุกเข่าลงหอบเอาอากาศหายใจ “ข้าถ่ายโอนความรู้ทั้งหมดที่มีให้เจ้าได้ การถ่ายความทรงจำนั้นง่ายมากไม่ยุ่งยาก หากเจ้ายอมให้ข้าใช้มือสัมผัสที่ศีรษะเจ้า……”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือออกมาประทับบนหน้าผากซูเฉิน
แต่ยังไม่ทันได้แตะโดนตัว ฟ้าก็ผ่าลงมาเสียก่อน
เปรี้ยง !
มันผ่าเข้าใส่แขนของม่อ จากนั้นรอบตัวเขาก็มีเพลิงโหมลุกขึ้นมาทันที
ม่อถอยหลังไปแล้วร้องขึ้น จ้องซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า……”
“คิดหรือว่าข้าจะนึกว่าเจ้าจะยอมโดยง่าย ? และกล้าให้เจ้าแตะหน้าผากข้า ๆ?” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าดูถูกกันเกินไปแล้ว ข้าจะเอาของที่ต้องการด้วยตนเองนี่ล่ะ !”
ซูเฉินพูดจบก็หยิบแผ่นหินกักวิญญาณออกมา ทำให้ภาพของผ้าเท่อลั่วเค่อปรากฏขึ้นเหนือแผ่นหินนั้น
“นี่มัน……” ม่อโพล่งออกมา “วิญญาณหรือ ?”
“วิญญาณของจริง” ซูเฉินตอบ “สิ่งมีชีวิตเช่นเจ้า สำหรับเขาแล้วน่าศึกษานัก”
“ไม่นะ !” ม่อเริ่มกรีดร้อง เหมือนจะรู้ว่าตนกำลังจะประสบกับอะไร ตอนนี้จึงลนลานพยายามหาทางหนีสุดชีวิต
แต่มีหรือที่เขาจะปล่อยไป ?
ผ้าเท่อลั่วเค่อที่ไม่อาจโจมตีร่างกายมนุษย์ได้ดูไร้พิษภัยก็จริง แต่เขากลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเผ่าวิญญาณ ด้วยสามารถโจมตีเผ่านี้ได้
พริบตานั้น ผ้าเท่อลั่วเค่อก็หัวเราะเสียงดังขึ้นก่อนจะลอยขึ้นไปในอากาศ ร่างคล้ายผีของเขาเปลี่ยน กลายเป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมา มันอ้าปากกว้างแล้วกลืนม่อลงไปทั้งตัว
เขากลืนลงไปแล้วก็ได้ยินเสียงร้องอู้อี้น่าอนาถดังขึ้นมาจากภายในร่าง
หลังจากเรอด้วยความสุขใจอยู่สองสามรอบ ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ตบท้องตนด้วยความพอใจ “ผ่านมา 3 หมื่น 6 พันกว่าปี ข้าได้กินจนอิ่มท้องก็วันนี้”
“ข้ากลับสงสัยมากกว่าว่าท่านได้อะไรมาบ้าง”
“ความทรงจำชั่วร้ายกับความรู้อีกเป็นกองไงเล่า !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ