ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 112 คางคกหินสองหน้า
บทที่ 112 คางคกหินสองหน้า
ซูเฉินลงมือทำการทดลองมานับครั้งไม่ถ้วน
15 ปีที่ผ่านมา เขาจำไม่ได้แล้วว่าตนเองทำการทดลองไปกี่หน
การทดลองส่วนมากผลออกมาคือล้มเหลว
แต่แม้จะล้มเหลว มันก็ยังมีคุณค่า
ที่เขาใช้กับเหอโฮ่วซานไปเมื่อครู่ก็เป็นการทดลองหนึ่งที่ล้มเหลว ชื่อว่าหุ่นเชิดปีศาจ
ชายหนุ่มได้ความคิดหุ่นเชิดปีศาจมาจากสายเลือดของศิษย์สถาบันคนหนึ่ง โดยสายเลือดของเขาไม่สามารถคุมสิ่งมีชีวิตได้เช่นจินหลิงเอ้อร์และโจวจวินเจีย ทว่าสามารถคุมร่างสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว ฟื้นคืนชีวิตให้มันได้
แน่นอนว่าไม่ได้ฟื้นกลับจากความตายขึ้นมาจริง ๆ แต่เป็นเพียงวิชาหุ่นเชิดร่างชนิดหนึ่งเท่านั้น
หลังจากซูเฉินได้สายเลือดของศิษย์คนนั้นมาแล้ว เขาก็เริ่มทำการทดลองว่าจะสามารถพัฒนาวิชาที่เหมือนกันออกมาได้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
หุ่นเชิดปีศาจที่ซูเฉินสร้างขึ้นไม่อาจแยกมิตรหรือศัตรู เห็นอะไรเข้าโจมตีไปเสียหมด และการที่มันไม่มีแก่นพลังชีวิต ก็กลับทำให้ทรงพลังกว่าตอนมีชีวิตอยู่เล็กน้อย
เมื่อซูเฉินหนีมาจนพบต้นปีศาจดูดเลือด เขาก็รู้ว่าสามารถใช้แก่นของมันสร้างหุ่นเชิดปีศาจขึ้นมาได้ จึงทิ้งกับดักเล็ก ๆ เอาไว้ด้วย
หุ่นเชิดเหอโฮ่วซานเริ่มล่าสังหารทุกสิ่งที่มันเห็น ซูเฉินเผยรอยยิ้มเหี้ยมเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องน่าพรั่นพรึง
เขาพึมพำกับตนเอง “นี่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น”
จากนั้นก็มุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่าต่อไป
แม้หุบเขาทางใต้จะไม่ได้กว้างขวางนัก แต่ก็เป็นที่อยู่อาศัยของอสูรกายหลายตัวด้วยกัน
ตอนนี้ซูเฉินอยู่ในป่าลึก คอยสอดส่องรอบข้างระหว่างวิ่งเข้าไปด้วย ไม่นานก็พบเข้ากับเป้าหมายที่เหมาะสมตัวหนึ่ง
เป้าหมายนั้นคือคางคกยักษ์ ขนาดเท่าเนินเขาขนาดเล็ก มันเป็นอสูรกายระดับกลาง ซูเฉินรู้ว่ามันมีชื่อว่าคางคกหินสองหน้า เพราะลายพรางบนหลังมันนั้นมีรูปร่างคล้ายใบหน้าขนาดใหญ่ มันเป็นอสูรกายประเภทดิน มีความเกี่ยวพันกับพลังต้นกำเนิดประเภทดินเป็นแน่ และมันดูดซับพลังจากผืนดิน ดังนั้นจะเรียกมันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทดินก็คงไม่ผิดนัก บางครั้งมันยังกินอสูรกายประเภทดินที่เป็นแมลงอยู่บ้าง แต่มันไม่ชอบกินมนุษย์ หากมันเห็นคนสักคนมันก็จะไม่สนใจ เว้นเสียแต่จะถูกทำให้ตกใจ
เมื่อเห็นคางคกหินสองหน้า ซูเฉินก็ตาเป็นประกาย ในหัวเริ่มวางแผนการใหม่เสียเดี๋ยวนั้น
เขาเป็นผู้สืบทอดวิชาโบราณอาร์คาน่าของอูเอ่อร์หลี่ เหมยอิงปู้ลู่เค่อ และผ้าเท่อลั่วเค่อ สุดท้ายจึงมีความรู้อยู่บ้าง แม้จะไม่อาจเรียนรู้ทุกอย่าง แต่ก็มีหลายอย่างที่เรียนรู้มาแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันก็ได้เวลานำออกมาใช้แล้ว
เขาเดินย่างกรายไปทางคางคกหิน ซึ่งมันก็ไม่ชายตามองเขาด้วยซ้ำ ยังนอนหลับต่อไป
ซูเฉินเหินร่างขึ้นหลังคางคกหินไป ด้วยมันมีแก่นพลังดินเป็นส่วนประกอบร่างอยู่มาก ผิวหนังบนหลังมันจึงเป็นหินตะปุ่มตะป่ำ ทำให้แม้ชายหนุ่มจะเอาดาบแทงมันก็ไม่รู้สึกรู้สา ดังนั้นแค่กระโดดขึ้นไปเช่นนี้มันก็ยิ่งไม่รู้สึกอะไร
หนวดอากาศแผ่ออกจากร่างซูเฉิน เขายืนอยู่บนร่างมัน ใช้หนวดพันกิ่งก้านสาขาของต้นไม้รอบ ๆ แล้วใช้มันปิดบังร่างคางคกหินไว้ คางคกหินไม่สังเกตเห็นอะไร ยังนอนหลับต่อไป มีเพียงใบหน้าบนแผ่นหลังที่ดูชั่วร้ายเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ามันคืออสูรกาย และเมื่อถูกต้นไม้บังเข้า ใบหน้านั้นก็หายไป จนไม่รู้อีกว่าเป็นคางคกหินสองหน้า ทำให้คนเห็นก็คงคิดว่าเป็นศิลาก้อนยักษ์เท่านั้น
ซูเฉินขุดหลุมบนหลังคางคกหิน พยายามขุดเอาแต่หนังส่วนที่เป็นหิน ไม่ให้โดนเนื้อด้านล่าง จากนั้นหยิบยาขวดหนึ่งเทลงไปในหลุมนั้น ก่อนหลุมใหญ่จะขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เผยเป็นอุโมงค์หนึ่งขึ้นมา
ครู่ต่อมา ซูเฉินก็กระโดดเข้าอุโมงค์นั้นแล้วหายไป ช่างเป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดหาคำมาอธิบายไม่ได้นัก
กลุ่มที่ทำการไล่ล่าทั้งสองกลุ่มที่มี 1 คนด่านทะลวงลมปราณ ด่านกลั่นโลหิต 2 คน และคนด่านก่อเกิดลมปราณ 4 คน มาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกล่าเนื้อหางสั้นเห่าราวกับเป็นบ้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันมั่นใจว่าซูเฉินอยู่แถวนี้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
คนด่านทะลวงลมปราณที่นำกลุ่มมาโบกมือ คนด้านหลังก็หายตัวไปสำรวจพื้นที่โดยรอบทันที
คนเหล่านี้ระมัดระวังมาก แม้จะแยกกันตามหา แต่ก็ไม่ทิ้งระยะห่างกันไกล ยังอยู่ในระยะสายตากันตลอด หากมีใครถูกโจมตีจะได้ตอบสนองทันท่วงที เช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ซูเฉินใช้แผนเดิมได้อีก
แต่แน่นอนว่าเรื่องราวมันไม่ง่ายเช่นนั้น
คนด่านก่อเกิดลมปราณเดินวนไปมารอบเนินเขา ตรวจดูพื้นที่ซ้ายขวา ทว่าไม่เห็นว่ามีแขนคู่หนึ่งเอื้อมมาจากหินด้านหลัง คว้าคอเขาไว้ ก่อนจะหักมันในพริบตา จากนั้นดึงครั้งเดียวร่างก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
ผู้เชี่ยวชาญพลังอีกคนเพิ่งจะมาถึงบนยอดเนิน กำลังเหลือบมองไปรอบกาย แขนสองข้างก็พลันเข้าคว้าข้อเท้าเขาไว้แล้วดึงลงมา จนร่างนั่นถูกดึงหายลงไปทันที แต่คนผู้นี้ตอบสนองเร็วกว่าเล็กน้อย อย่างน้อยก็ทิ้งเสียงร้องไว้ ทุกคนที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งมาตรวจดู หากทว่าก็พบแต่ความว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของผู้เชี่ยวชาญพลังคนนั้น
สีหน้าคนด่านทะลวงลมปราณทะมึนลง “หลี่เจ๋อหายไปแล้ว เฉาหยางก็ด้วย”
“เราจะเสียคนไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?”
“ต้องเป็นซูเฉินแน่ ! มันคงทำอะไรบางอย่าง !”
“มันทำได้อย่างไรกัน ?”
คนทั้งหลายถกเถียงกัน ในใจเกิดความตื่นตระหนก ซูเฉินผู้นี้เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปไร้ร่องรอย ที่นี่แทบไม่มีจุดให้ซ่อนตัว ทว่าอีกฝ่ายก็ยังแอบซ่อนแล้วลอบโจมตีพวกเขาได้ บางคนเริ่มแตกตื่น เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อมันอยู่ไม่ไกล เราก็ปล่อยศรสัญญาณโดยเร็ว เรียกคนอื่น ๆ มาล้อมที่นี่ไว้ดีกว่า !”
หลายคนเห็นด้วย ทว่าคนด่านทะลวงลมปราณกลับเอ่ย “เจ้าจะกลัวอะไร ? หากมันไม่โจมตีซึ่งหน้า ก็หมายความว่ามันไม่ได้แกร่งพอจะสังหารเราได้อย่างเปิดเผย ดังนั้นจึงต้องซ่อนตัวลอบโจมตี หากเรียกคนอื่น ๆ มาก็โยนโอกาสทิ้งให้คนอื่นหมดสิ ? อย่าลืมเรื่องรางวัลหินพลังต้นกำเนิดแสนก้อนเล่า !”
ได้ยินแล้วทุกคนก็ชะงักไป
ใช่แล้ว หินพลังต้นกำเนิด 1 แสนก้อน
ถ้าเรียกคนอื่น ๆ มาแล้วยังจะเหลือรางวัลอีกหรือ ?
ความโลภเป็นแรงนำพาที่รุนแรงนัก แต่ก็ผลักลงเหวได้เช่นกัน
ความโลภนี้กำลังจะนำพวกเขาไปสู่ความตาย
ฟ้าว !
พลังเพลิงสายหนึ่งพลันถูกปล่อยออกมา กลายเป็นเพลิงเงายักษ์ เพลิงเงายักษ์อ้าแขนโอบร่างผู้เชี่ยวชาญพลังคนหนึ่งไว้จนเขาร้องเสียงหลง
“มันอยู่ใต้พื้น !” คนหนึ่งร้องขึ้น
ทุกคนเริ่มโจมตีพื้นด้านล่างทันที
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
คลื่นพลังต้นกำเนิดกระแทกลงพื้นหินด้านล่างอย่างดุดัน ระเบิดออกมาเผยให้เห็นสิ่งประหลาดด้านล่าง
“แสดงว่ามันขุดอุโมงค์เอาไว้ !” คนด่านทะลวงลมปราณหัวเราะเสียงดังแล้วกระโดดนำลงไปก่อน
เมื่อเข้าอุโมงค์มาแล้ว คนด่านทะลวงลมปราณก็เห็นเงาร่างหนึ่งแวบผ่านหน้าไป เขาคิดทันทีว่าคือซูเฉิน รีบวิ่งตามไป แต่ไม่นานก็พบว่าทางอุโมงค์แห่งนี้ประหลาดนัก พื้นด้านล่างไม่เรียบเท่ากัน บ้างแคบบ้างกว้าง อีกทั้งที่พื้นยังรู้สึกแปลก ๆ ราวกับเหยียบลงบนบางอย่างที่มีชีวิต ตอนแรกเขาไม่ใส่ใจมาก แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก
คนด่านทะลวงลมปราณหยุดฝีเท้าแล้วมองรอบกายให้ดี จากนั้นใช้นิ้วทะลวงลงพื้น กลับพบว่ามีของเหลวสีเขียวข้นพุ่งขึ้นมา เมื่อลองใช้นิ้วป้ายดูก็พบว่าเนื้อหนังเริ่มเปื่อยเน่า
เป็นพิษ !
นี่มัน……
คนด่านทะลวงลมปราณเบิกตากว้าง
ผู้เชี่ยวชาญพลังที่เดินตามหลังมาเริ่มทนไม่ไหวเพราะสภาพคดเคี้ยวของทางภายใน เมื่อฝูงค้างคาวโลหิตพลันโฉบเข้าใส่ ผู้เชี่ยวชาญพลังสองสามคนก็ยกมือขึ้น ปล่อยพลังเพลิงใส่พวกมัน
“อย่า !” คนด่านทะลวงลมปราณที่อยู่ด้านหน้าร้องขึ้น
แต่ก็สายไปเสียแล้ว
“กรรร !” เสียงร้องเจ็บปวดเคล้าโกรธเกรี้ยวดังลั่นทั่วป่าทันที