ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 113 ทะเลพิษ
บทที่ 113 ทะเลพิษ
ทันทีที่เสียงคำรามลั่นออกมา ของเหลวมีพิษสีเขียวเข้มก็พุ่งขึ้นมาจากที่พื้น
ไม่ ! มันไม่ใช่ของเหลวธรรมดา !! แต่มันคือบ่อพิษของคางคกหินสองหน้าต่างหาก !!!
หรือก็คือพวกเขากำลังย่ำอยู่บนบ่อพิษของคางคกหินสองหน้ามาตั้งแต่ต้น
หลุมเหล่านี้คือเนื้อนูนบนหลังคางคกหิน แต่เพราะมันดูดซับเอาแก่นพลังดินไปมาก ด้านนอกหลุมจึงเกิดเป็นหินชั้นหนาขึ้นมา หนากระทั่งทำให้รู้สึกราวกับอยู่ในถ้ำหนึ่ง และเมื่อพวกเขาเดินเข้าไป ก็นับว่าเดินเข้าเขตพิษของมันไปแล้ว !
แม้ปกติแล้วคางคกหินสองหน้าจะค่อนข้างใจเย็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่อาจดุดันได้ ด้วยมาตอนนี้มันกำลังโจมตีกลุ่มคนด้านบนที่ขึ้นหลัง และเข้าทำลายเกราะชั้นนอกของมันตามสัญชาตญาณ !!!
พิษจำนวนมากถูกพ่นออกมาทันที
“เร็วเข้า รีบออกไปจากที่นี่กัน !”
ทุกคนตะโกนเสียงดังแล้วล่าถอยไป
ทว่าน้ำพิษนั้นท่วม ‘อุโมงค์’ เร็วมาก มีหรือที่จะหนีได้ทันการณ์ ?
พวกที่ตอบสนองเร็วก็สร้างเกราะขึ้น ป้องกันพิษปะทะร่างได้ชั่วระยะหนึ่ง
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้ทักษะต้นกำเนิดนั้นก็มีแต่พบกับความตาย น้ำพิษค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนพัดพาร่างพวกเขาไปราวกับคลื่นน้ำ พริบตาเดียวร่างก็หายไป
คนที่ไม่ทันตั้งตัวกลืนน้ำนั่นไปหลายอึก อวัยวะภายในตั้งแต่หลอดอาหารไปจนถึงลำไส้เน่าเปื่อยในทันที “ช่วยด้วย……” คนหนึ่งร้องขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจ พวกเขามัววุ่นวายกับการเอาชีวิตรอด เคราะห์ดีที่ไม่ทรมานนานนัก พิษสีเขียวก็ท่วมร่างจนหายไป ละลายร่างกลายเป็นของเหลว เหลือเพียงกระดูกไม่กี่ชิ้น
พิษคางคกหินนั้นไม่ใช่พิษที่รุนแรงมากมาย ด้วยพิษที่ร้ายแรงที่สุด หากถูกตัวก็สามารถสลายทั้งร่างเป็นเถ้าได้ภายในพริบตา แต่เมื่อพวกเขาถูกน้ำพิษท่วมร่างเช่นนี้ มันก็ไม่อาจนับว่าพิษถูกตัวเพียงชั่วขณะ จึงทำให้พิษคางคกหินสองหน้าดูน่ากลัวไปโดยปริยาย
คนต่อไปคือผู้เชี่ยวชาญพลังด่านก่อเกิดลมปราณ
แม้จะมีเกราะ แต่แรงกร่อนของพิษก็เข้าปะทะเกราะจนมันสลายไปในที่สุด
ไม่นาน เกราะระดับต่ำก็ไม่อาจต้านได้อีก สุดท้ายพวกคนที่สร้างเกราะทันก็ถูกน้ำพิษพาไปเช่นกัน
ต่อมาคือคนด่านกลั่นโลหิต
น้ำพิษอันน่ากลัวนี้ก็เป็นอันตรายต่อพวกเขาไม่น้อยเช่นกัน แม้พวกเขาจะรวมพลังต้นกำเนิดทั้งหมดเพื่อยันเกราะไว้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ พวกเขายังมีขีดจำกัด เมื่อถึงขีดจำกัดเหล่านั้นเกราะก็จะหายไป และเมื่อถูกน้ำพิษสาดซัดเข้าใส่เช่นนี้ เกราะส่วนมากไม่อาจต้านทานได้ตลอดไป ทำได้เพียงสร้างเกราะเสริมเข้าไปเมื่อเกราะเดิมพังเท่านั้น แม้น้ำพิษบางส่วนจะสัมผัสถูกผิวเข้า แต่มีเพียงหนังชั้นนอกเท่านั้นที่เปื่อยเน่า พวกเขายังมีโอกาสรั้งไหวและหนีออกไปได้
แต่สำหรับคนอื่น ๆ ส่วนมากกลับไร้โอกาสให้ทำเช่นนั้นได้
คนด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งเกราะแตกไป 2 ครั้ง และแม้เขาจะรีบสร้างเกราะที่ 3 ขึ้นมาให้เร็วที่สุด แต่น้ำพิษจำนวนมากก็ยังไหลเข้ามาถูกร่าง ผิวหนังเขาเริ่มเน่าเปื่อย กระทั่งหน้าอกยังได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งจุดนั้นเป็นแหล่งส่งพลังต้นกำเนิดมั่วร่าง เมื่อมันได้รับบาดเจ็บ พลังต้นกำเนิดจึงลดลงมาก เขาจึงไม่อาจรั้งเกราะให้ต้านพิษไว้ได้ ครั้งนี้เขาหนีต่อไปไม่ได้อีก เพราะขาทั้งสองข้างได้เน่าเปื่อยไปแล้ว ด้วยน้ำพิษนั้นเร่งระดับขึ้นเร็วนัก จนขาทั้งสองกลายเป็นอวัยวะแรกที่เน่าเปื่อยไป
คนด่านกลั่นโลหิตอีกคนค่อนข้างโชคดี รีบพุ่งตัวออกไปสุดท้ายก็เจอทางออก แต่จังหวะที่เกราะที่ 3 ของเขากำลังจะแตกออกนั่นเอง พลังเขากลับหดหาย ฝีเท้าเขาล่าช้าเพียงนิด ได้ยินเสียงดังลั่นระเบิดมาจากด้านหลัง “ไสหัวออกไป !”
ตู้ม !
คลื่นพลังขนาดใหญ่ปะทะเข้ากับแผ่นหลังเขา ทำเขาเซล้มไปด้านข้าง พร้อมกันนั้นเกราะของเขาก็ใกล้จะแตกเต็มทน เหมือนจะรั้งไว้ไม่ไหวแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญพลังจ้องคนที่วิ่งผ่านเขาไปอย่างไม่เชื่อสายตา “ใต้เท้าเฮ่อ……”
เฮ่อเหลียนเวยไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกฝ่าย ยังคงมุ่งหน้าออกไปจากถ้ำต่อไป
ในที่สุดเขาก็ออกมาได้แล้ว !
เฮ่อเหลียนเวยถอนหายใจยาวโล่งอก
เทียบกับพวกผู้เชี่ยวชาญพลังอ่อนแอพวกนั้นแล้ว พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของคนด่านทะลวงลมปราณช่วยเขาไว้ได้มาก เขาหนีออกมาได้โดยได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และแม้จะมีร่างกายบางส่วนที่เริ่มเน่าเปื่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่ารักษาไม่ได้ เมื่อรักษาแผลแล้ว เขาก็จะ……
เขายังไม่ทันคิดจบ ลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านร่างไป ส่งพลังซัดรุนแรงมุ่งตรงมายังทิศทางเขา
เฮ่อเหลียนเวยชะงักไป ก่อนจะรีบยกหมัดขึ้นตั้งรับ จนกระทั่งพลังนั้นซัดเข้าถึงตัวจึงรู้สึกว่าประหลาดนัก เพราะพลังนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง แต่มันกลับเต็มไปด้วย…… พลังผลักต่างหาก !
“ไม่ !” เฮ่อเหลียนเวยร้องลั่นเมื่อเข้าใจบางอย่าง
พลังผลักนี้ส่งร่างเขากระเด็นกลับไปยังรูที่เขาเพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ ส่งร่างเขากระแทกกับคนด่านทะลวงลมปราณที่ถูกผลักเข้าไปก่อนหน้า น้ำพิษรุดหน้าขึ้นมาทันใด ซัดร่างคนทั้งคู่จมลงไปจนหมด
พริบตาจากนั้น น้ำพิษสีเขียวหนืดก็พุ่งออกจากหลังคางคกหินสองหน้า
ในที่สุดคางคกหินก็เงยหน้า สะบัดหัวเอาต้นไม้ที่บังหัวมันออก ก่อนจะส่งเสียงร้องสองสามครั้ง แล้วจึงก้มหน้าลงกลับไปนอนต่อ
เฮ่อเหลียนเวย ร่างกระเด็นลอยไปในอากาศ
ร่างทั้งร่างของเขา เห็นได้ชัดว่าเน่าไปหมดแล้ว เหลือเพียงแขนไว้ข้างหนึ่งเท่านั้น ลูกตาข้างหนึ่งกระเด็นหลุดออกมา กะโหลกศีรษะโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง ทำให้เขาราวกับเป็นเหยื่อที่ถูกย่อยไปแล้วและถูกสำรอกออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น
ถึงกระนั้น เฮ่อเหลียนเวย ก็ยังไม่ตาย พลังชีวิตอันทรงพลังของคนด่านทะลวงลมปราณยังยื้อชีวิตเขาไว้ได้ เขายังใจแข็งพยายามยืนขึ้นและหนีไป แต่กลับเห็นเงาร่างรางเลือนกำลังพุ่งเข้าใส่
เขาสะบัดหน้า พยายามมองให้ชัดเจนมากขึ้น แต่กลับสะบัดแล้วทำให้ลูกตาอีกข้างกระเด็นหลุดออกไปแทน
เขาตาบอดทั้งสองข้างแล้ว
เฮ่อเหลียนเวย ยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ ทว่ากลับถูก เหยี่ยวเพลิงซัดเข้าใส่อย่างไร้เมตตา ล้มคว่ำลงกับพื้นในที่สุด
“ซู…… เฉิน……” เขาพยายามเค้นคำออกมา “ตระกูลหวัง……. จะต้อง…… ล้างแค้นให้ข้า”
“ท่านชื่อเฮ่อเหลียนเวย ใช่หรือไม่ ? ข้าเคยพบท่านมาก่อน ท่านกล่าวผิดแล้ว ตระกูลหวังไม่มีทางแก้แค้นให้ท่าน” ซูเฉินว่าพลางกระทืบหัวเฮ่อเหลียนเวยจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นหันไปหาคนอีกคน
คนด่านทะลวงลมปราณอีกคนนั้นดีกว่าเฮ่อเหลียนเวยนัก หลังจากที่ถูกเฮ่อเหลียนเวยผลักลงทะเลพิษไป เกราะของเขายังคงใช้ได้ ทว่าก็ยังถูกน้ำพิษกร่อนร่าง บาดแผลไม่เบา นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครรอดชีวิตอีก
แต่ที่สำคัญที่สุด เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูเฉิน แม้จะยังมีพลังเต็มเปี่ยมก็ยังเทียบไม่ติด แล้วตอนนี้มีหรือจะลงมือทำอะไรได้ ?
เขามองดูซูเฉินแล้ว บนใบหน้าก็มีแต่ความสิ้นหวังปรากฏ
เขาทรุดลงคุกเข่า “โปรดเมตตาด้วย !”
ซูเฉินส่ายหน้า “ขอโทษด้วย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องความแค้นส่วนตัว”
ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้น เพลิงเงายักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คนด่านทะลวงลมปราณกรีดร้องสิ้นหวังออกมา
เสียงกรีดร้องนั้นสะเทือนลั่นทั่วผืนป่า กรีดลงไปในใจคนที่ได้ยิน ส่งผลให้ขนลุกซู่ทั่วร่าง