ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 115 พลังที่แท้จริง (2)
บทที่ 115 พลังที่แท้จริง (2)
เขาคว้าคอยกร่างไหลอวิ๋นเฟิงขึ้นมาราวกับคว้าคอไก่ตัวหนึ่ง
ซูเฉินลดสายตาลงมองไหลอวิ๋นเฟิงที่อยู่ในสภาพวะยอมจำนน บนใบหน้ามีแต่รอยหยามเหยียด “พลังเท่านี้เองหรือ ?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” ไหลอวิ๋นเฟิงตะโกนลั่นเสียงตะลึง เขาไม่เชื่อว่าตนจะไม่อาจรับมือกับการคว้าคอเพียงครั้งเดียวจากซูเฉินได้
ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ลงมือฉับไว ไหลอวิ๋นเฟิงไม่ทันตอบสนองก็ถูกคว้าคอยกตัวแล้ว
“ไม่ !” เขาร้องเสียงโหย พยายามเปิดใช้พลังต้นกำเนิดในร่างถึงขีดสุดจนมันระเบิดออกมา ก่อนภาพงูธาตุขาวปรากฏขึ้นเบื้องหลัง กระโจนใส่ซูเฉินราวกับมีร่างจริง
ยิ่งคนเราเปิดใช้สายเลือดบ่อยครั้ง ภาพจากสายเลือดก็ยิ่งปรากฏคล้ายของจริงมากขึ้น ทั้งยังมีพลังเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
กระนั้นซูเฉินก็ไม่ไยดีนัก
เขาเพียงเหลือบตามองงูธาตุขาวนิ่งแล้วส่ายหน้า “แมลงไร้ขาทำตัวดุดันเช่นนี้ ไม่เหมาะเลยจริง ๆ”
พูดแล้วก็ยื่นแขนออกไปบีบร่างงูธาตุขาวไว้ บีบมือคราเดียวภาพงูธาตุขาวก็แตกสลายหายไป ไหลอวิ๋นเฟิงเพิ่งจะรวมพลังได้ ทว่าศัตรูบีบมือครั้งเดียวทำให้ความพยายามเขาสูญสิ้น พลังที่อยู่จุดสูงสุดจุดลดลงเหลือต่ำสุดทั้งอย่างนั้น
ไหลอวิ๋นเฟิงตกใจเกือบตาย ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ได้แต่ตะโกนลั่น “เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ถึงเจ้าจะอยู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่ก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้ได้ !”
ซูเฉินส่ายหน้าช้า ๆ “เป็นไปไม่ได้อะไรของเจ้า ? นี่ล่ะคือพลังที่แท้จริงของสายเลือดมนุษย์เรา !”
ว่าแล้วคลื่นพลังก็พุ่งออกมาจากร่างเขา
ไหลอวิ๋นเฟิงมองซูเฉินตาค้างราวกับมองผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งดูดุดันและมีอำนาจเหนือใครเป็นยิ่งนัก
ภาพมายาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังซูเฉิน ทว่ามันกลับไม่ใช่ภาพของสัตว์อสูรตนใด กลับเป็นภาพของมนุษย์อีกคนหนึ่งแทน
สายเลือดมนุษย์ !
“นี่มัน……” ไหลอวิ๋นเฟิงเสียงตะกุกตะกัก
“ภาพจากสายเลือดของข้าเอง แต่ข้าอยากเรียกมันว่าภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดมากกว่า” ซูเฉินกล่าว
เป็นตอนนั้นเองที่ไหลอวิ๋นเฟิงพบว่าคนที่คว้าคอเขาอยู่ แท้จริงแล้วคือภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนี่ต่างหาก
เงาร่างขนาดยักษ์ดูน่าเกรงขามยืนอยู่เบื้องหลังซูเฉิน แขนยาวข้างหนึ่งของมันโอบล้อมแขนของชายหนุ่ม กำลังกำรอบคอไหลอวิ๋นเฟิงอยู่นั่นเอง
ซูเฉินคลายมือลง หากแต่มือของภาพจุติกลับยังกำรอบลำคอไหลอวิ๋นเฟิงไว้แล้วยกร่างเขาลอยขึ้นในอากาศ
จนร่างเขาลอยห้อยอยู่กลางอากาศ
ซูเฉินว่า “ลาก่อน”
“ไม่ !” ไหลอวิ๋นเฟิงร้องโหยหวน
ตึง !
มือขนาดยักษ์บีบแน่นจนร่างไหลอวิ๋นเฟิงแบนราวกับแป้งถูกบด
แล้วภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็หายไป
ใช่แล้ว นี่คือพลังที่ซูเฉินได้มาจากการใช้ยาต้นกำเนิดสายเลือด
มันเป็นการเลียนแบบสายเลือด ซูเฉินสร้างภาพจากสายเลือดนี้ขึ้นมาโดยใช้มนุษย์เป็นหลักพื้นฐาน ทำให้ชายหนุ่มเรียกวิธีสร้างภาพจากสายเลือดนี้ว่า ‘การตื่นขึ้นของสายเลือดต้นกำเนิด’ ด้วยนี่ก็คือการปลุกเอาพลังที่เร้นอยู่ในสายเลือดมนุษย์ให้ตื่นขึ้นนั่นเอง
ไม่เหมือนกับคนที่มีสายเลือดของสัตว์อสูรทั้งหลายที่จะได้รับวิชาทักษะจากมันมามากมาย การตื่นขึ้นของสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นไม่ได้มอบวิชาประหลาดใดให้กับเขา ในขั้นเริ่มแรก มันจะเพิ่มเพียงความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้นั้นไร้ที่สิ้นสุด ด้วยเป็นสายเลือดที่สามารถปรับตัวไปทางใดก็ได้โดยง่าย !
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเป็นตัวตนบริสุทธิ์ราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
เมื่อราว 5 ปีก่อนนั้น ซูเฉินให้ความสามารถเดียวแก่ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด นั่นคือการเพิ่มความแข็งแกร่งระดับสูง
และหากเป็นไปได้ ชายหนุ่มก็อยากจะปรับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดให้กลายเป็นตัวกลางที่สามารุดูดซับทักษะและวิชาต่าง ๆ ทั้งหลายเข้ามาได้ด้วย
ทว่าซูเฉินไม่อาจทำเช่นนั้น ด้วยเพราะมันจะทับซ้อนกับผลของโทเทมโลหิตสลาย !
ต้องอย่าลืมว่าโทเทมโลหิตสลายเป็นตัวกลางที่สามารถใส่ทักษะหรือวิชาทั้งหลายลงไปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดให้เป็นเช่นนั้นอีก ทักษะต้นกำเนิดใส่ลงโทเทมโลหิตสลายได้แล้ว ส่วนภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็อาจใช้เป็นกลไกที่ใช้ขับเคลื่อนโทเทมโลหิตสลายอีกที
การพัฒนาภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนั้นเรียบง่ายนัก หน้าที่มันคือการกักเก็บพลังต้นกำเนิดตลอดเวลา เพิ่มความแกร่งและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้นได้
5 ปีที่ผ่านมา เขาฝึกตนสร้างภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขึ้นมาเพียงหนึ่งเท่านั้น แต่มันกลับครองพลังอันน่าเหลือเชื่อ พลังบริสุทธิ์นี้สามารถรับกระทั่งหนึ่งฝ่ามือจากหวังซานหยูได้ ทว่าหวังซานหยูเองก็สามารถปล่อยหลายฝ่ามือออกมาได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็คงไม่อาจรั้งไว้ได้ แล้วซูเฉินก็คงได้แต่หนีเอาตัวรอด
ถึงเขาหนีคนด่านสู่พิสดาร แต่กับคนอื่นเขาไม่จำเป็นต้องหนี ที่เขาเผยความอ่อนแอเพียงเพราะต้องการหาจังหวะเหมาะต่างหาก
ไหลอวิ๋นเฟิงถูกสังหารในพริบตา ทว่าอีก 2 กลุ่มที่พุ่งเข้ามาจากทั้งสองด้านก็เข้ามารับช่วงต่อแทบจะทันที
เมื่อเห็นเป้าหมาย ทั้ง 2 กลุ่มก็พลันร้องยินดี “ซูเฉินอยู่ตรงนั้น !”
พวกเขาพุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมกัน
“รนหาที่ตาย !” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น ร่างเขาพลันเลือนหายไปในทันทีเมื่อเคลื่อนกายด้วยความเร็วน่าพรั่นพรึง
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนั้นช่วยเพิ่มความแกร่งพื้นฐานของร่างกายซูเฉิน เขาไม่เพียงแกร่งขึ้น แต่ยังรวดเร็วขึ้นด้วย
เขากระโจนผ่านกลุ่มทาฝั่งซ้ายพร้อมกับหมอกควัน เอื้อมแขนแตะร่างคนทั้งหลายไปด้วยไม่หยุด เป็นตอนนั้นเองที่เพลิงสีดำลุกโชนขึ้นมาจากมือ
กรงเล็บเพลิงเงา !
นับเป็นความสามารถที่ 3 ที่ซูเฉินได้รับหลังจากยกระดับถุงมือเพลิงเงาขึ้นอีก ทั้งยังเป็นผลจากการพัฒนาเพลิงเงายักษ์ และถึงแม้พลังทำลายล้างอาจจะลดน้อยลง แต่พลังเบื้องหลังนั้นมีมากกว่า เช่นเดียวกับสสารเงาที่ใช้น้อยกว่าเดิมหลายเท่านัก !
กรงเล็บนี้ส่งผลให้คนด่านทะลวงลมปราณทั้งหลายมีเปลวเพลิงลุกขึ้นจากร่าง ทำให้เกราะกำบังที่คนทั้งหลายใช้ถูกหลอมละลายภายใต้กรงเล็บเพลิงเงา และไม่อาจป้องกันได้แม้ชั่วพริบตาหนึ่ง !
คนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ชะงักไป ร้องเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึง
ซูเฉินหัวเราะคิก ร่างเขาพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วยามก้าวย่างหมอกอสรพิษขั้นสุด หากคนหลงซีตระกูลกู่มาเห็นเขาตอนนี้ วิญญาณคงแทบหลุดจากร่าง เพราะตอนนี้ชายหนุ่มสำเร็จวิชาก้าวย่างหมอกอสรพิษไปมากกว่าขั้นที่คนไร้สายเลือดควรจะทำได้แล้ว กระทั่งคนที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาถึงสองครั้งสองครายังไม่อาจเทียบเขาติด !
เขาก้าวย่างบนอากาศได้แล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนทิศกลางอากาศได้รวดเร็วคล่องแคล่วราวกับนกนักล่า ซูเฉินสำแดงวิชาออกมาอย่างงดงาม ราวกับนกนางแอ่นบินทะยานฝ่ามรสุมกลางทะเล หลบเลี่ยงการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญพลังที่โหมเข้าใส่ จ้วงกรงเล็บใส่เกราะของอีกฝ่ายไม่หยุดยั้ง
พริบตาต่อมา เสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน เกราะของคนด่านทะลวงลมปราณผู้นั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ซูเฉินเงื้อกรงเล็บทะลวงร่างอีกฝ่ายราวกับเขาเป็นเต้าหู้นิ่ม เปลวเพลิงที่นิ้วยังโหมไหม้ ทะลุทะลวงสู่อวัยวะภายในของอีกฝ่าย
“อ๊าก !” ผู้เชี่ยวชาญพลังร้องเสียงหวน และเพราะการโจมตีดุดันเหลือหลายนี่เอง พวกเขาจึงไม่มีเวลาพอจะเปิดใช้สายเลือด จนถูกซูเฉินย่างสด กลายเป็นซากธุลีปลิวหายไปในอากาศในพริบตา
ซูเฉินยังไม่หยุดมือ กระโจนเข้าไปหากลุ่มคนต่อไป และเมื่อกระโจนใส่คนสุดท้าย คนทั้งหมดก็มีเปลวเพลิงระเบิดตูมออกมาพร้อม ๆ กัน กลายเป็นผุยผงในชั่วอึดใจเดียว
อีกกลุ่มหนึ่งถูกเขาสังหารเรียบ
การสังหารหมู่นี้แสดงให้เห็นต่อหน้าต่อตาคนอีกหลุ่มหนึ่ง ความคล่องแคล่วและเด็ดขาดของซูเฉินทำให้คนอีกกลุ่มที่ไล่ตามมาชะงักค้างไป
“ปีศาจ ! มันเป็นปีศาจ !” คนหนึ่งร้องเสียงหลงขึ้น
คนอื่น ๆ เองก็พากันส่ายหน้าแล้วรีบวิ่งหนีออกจากที่นั่นทันที