ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 117 ล่าสังหาร (1)
บทที่ 117 ล่าสังหาร (1)
“ยังมีอีกสาม !”
หลังสังหารศัตรูแล้ว ซูเฉินก็เลียริมฝีปาก หันไปเผชิญหน้ากับคนด่านทะลวงลมปราณอีก 2 คนที่ยังไม่ต้องวิชา
ทั้ง 2 คนตื่นตระหนกเป็นยิ่งนัก ถอยร่นไปเรื่อย ๆ ในใจคิดหนีไปเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็พลันหัวเราะแดกดัน “อย่าหนีจะดีกว่า !”
ร่างเขาเลือนหายทันทีที่ลงมือ ก่อนเกิดภาพจุติที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงเงาปรากฏขึ้นเบื้องหลังอีกครั้ง
คนด่านทะลวงลมปราณทั้งสองจึงแยกกัน คนหนึ่งปล่อยคลื่นพลังซัดเข้าใส่ซูเฉิน ซุกซ่อนอยู่ในคลื่นพลังที่ปรากฏเป็นตัวแมงป่องน้ำแข็งที่เตรียมใช้ส่วนหางขนาดยักษ์ต่อย
อีกคนหนึ่งก็ซัดฝ่ามือใส่คนด่านทะลวงลมปราณที่ถูกลวงจิตไปเมื่อก่อนหน้า และหลังจากหายตกใจแล้ว อีกฝ่ายก็พลันเข้าใจว่าตนตกอยู่ภายใต้ภาพมายา !
ซูเฉินไม่สนใจคนที่หลุดจากมายาได้ พุ่งเข้าใส่คนที่มีสายเลือดแมงป่องน้ำแข็งด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนเป็นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงาตวัดหมัดยักษ์ ส่งคลื่นพลังเพลิงพุ่งเข้าปะทะภาพแม่งป่องขนาดมหึมาราวกับกำลังใช้ไฟขัดผลึกแก้ว
แสงจากเปลวไฟกระจัดกระจายออกจากน้ำแข็ง ยามปะทะกับเพลิงดำ พลังเยือกแข็งก็ละลายและระเหยไปในทันที
เจ้าแมงป่องยักษ์ใช้หางต่อยเข้าร่างภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงา พร้อมกันกับที่ภาพจุติส่งหมัดหนักเข้าปะทะร่างใหญ่ของเจ้าแมงป่อง
“กรรร !”
ท่ามกลางเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวและเปลวเพลิงโหมกระหน่ำที่ไม่แผ่วลง แมงป่องน้ำแข็งถูกไฟโหมจนร่างละลายสลายไปจนหมด
คนด่านทะลวงลมปราณส่งเสียงร้องเจ็บปวด เปิดช่องให้ภาพจุติปล่อยหมัดออกมานับครั้งไม่ถ้วน ระเบิดร่างผู้เชี่ยวชาญพลังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทว่าเปลวเพลิงบนร่างภาพจุติมอดลงไปมาก แรงกดดันที่ปล่อยออกมาก็ลดลงเช่นกัน
“มันบาดเจ็บแล้ว !” คนด่านทะลวงลมปราณที่ทำหน้าที่ปลุกคนอื่น ๆ ร้องขึ้น
พลันมีร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาอยู่ข้าง ๆ คือคนด่านทะลวงลมปราณที่ต้องวิชาสรรพสิ่งลวงตาเมื่อก่อนหน้านั่นเอง
คนผู้นี้ถูกซูเฉินสะกดจิตในพริบตา สหายร่วมทัพพยายามกันปลุกเขาให้ตื่นแต่ก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง จนเขาตื่นขึ้นมาแล้วจึงรู้สึกอับอายอย่างหาที่ลงไม่ได้ !
และด้วยเขาไม่ทันเห็นซูเฉินสังหารคนด่านทะลวงลมปราณคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงไร้ความหวาดกลัวต่อศัตรูผู้นี้ ทำให้ทันทีที่หลุดจากภาพมายาจึงพุ่งเข้าใส่ซูเฉินด้วยความแค้น ใช้พลังต้นกำเนิดในร่างจนถึงขีดสุด ภาพเหยี่ยวเงินแสงจันทร์พลันปรากฏ ซัดคลื่นจันทร์เข้าใส่ซูเฉินในพลัน
คลื่นแสงจันทร์อันเฉียบคมพุ่งออกไป ตัดผ่านทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับเงา เมื่อภาพจุติเห็นเข้าก็กรีดเสียงโหยหวน ความมืดมิดพลันล่าถอย เพลิงเงาเลือนหายไป เหลือเพียงเพลิงสีแดงจ้าที่ยังลุกไหม้อยู่
เส้นแสงจันทร์นี้ทำให้สสารเงาไร้ผล
อย่างว่า ไม่มีวิชาใดไร้เทียมทาน
แม้สสารเงาจะทรงพลังนัก แต่ก็เป็นศัตรูกับแสงจันทร์ที่สามารถขจัดความมืดหรือหมอกควันได้ดี
เส้นแสงจันทร์นั้นก็คล้ายกับพระจันทร์จริง ๆ ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า ส่องแสงสว่างเบาบางท่ามกลางความมืดมิด แม้จะไม่สว่างจ้า แต่ก็เป็นแสงส่องทางให้คนหาทางพบ สามารถลบล้างวิชามืดวิชาชั่วร้ายได้ทุกอย่าง
และแค่เส้นพลังจันทร์สายเดียวก็สามารถลบล้างเพลิงเงากว่าครึ่งบนภาพจุติไปได้แล้ว จนเหลือเพียงเพลิงปกติธรรมดาเท่านั้น ซึ่งแม้มันจะทรงพลังอยู่แต่เดิม ทว่ามันเสียพลังธาตุจากเพลิงเงาไปแล้ว ทำให้พลังทำลายล้างลดลง เช่นเดียวกับความดุดันที่หดหายไป
คนด่านทะลวงลมปราณทั้งหลายก็คล้ายกับปราการขนาดย่อม ต่างมีวิชาและทักษะในการป้องกันตนแตกต่างกันออกไป
เมื่อเปลวเพลิงเสียพลังไปแล้ว คนด่านทะลวงลมปราณทั้งหลายก็ได้เวลาสำแดงวิชาป้องกันที่แตกต่างนั้น ทำลายผู้บุกรุกทั้งหลายที่เข้ามา และแม้ตอนนี้ศัตรูจะแกร่งเพียงไหน แต่พวกเขาก็ต้องมุ่งสู้อย่างสุดตัว
ซูเฉินเองก็เช่นกัน แม้พลังของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดจะยังมีอยู่มาก แต่เขาก็ไม่อาจสังหารคนในกระบวนท่าเดียวได้อีกต่อไป
คนเขลาย่อมไร้ความหวาดกลัว คนด่านทะลวงลมปราณที่เพิ่งตื่นไม่รู้ว่าซูเฉินทรงพลังขนาดไหน เผลอทำให้ชายหนุ่มต้องเผยท่าสังหารออกมา
ด่านทะลวงลมปราณอีกคนเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ
แต่ก็ดีใจได้ไม่นานเมื่อซูเฉินพุ่งเข้าใส่ ส่งภาพจุตินั่นตวัดแขนเหวี่ยงหมัดเตรียมโจมตี
“อย่าไปสู้ซึ่งหน้ากับมัน !” คนที่เป็นคนดึงผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณผู้นั้นออกจากโลกมายาตะโกนลั่น
ทว่าเขากลับโจมตีอย่างไร้ความหวาดกลัวใด
คนเขลาย่อมพ่ายแพ้ให้กับความเขลาของตนเอง
เมื่อ ‘ผู้บุกรุก’ ถูกจัดการไปแล้ว จุดอ่อนทั้งหลายถูกขจัดสิ้น เพียงแค่นั่งป้องกันป้อมปราการของตนก็คงเพียงพอแล้ว ทว่าเขานั้นเหมือนกับแม่ทัพผู้เย่อหยิ่ง ที่หมายกรีธาทัพออกจากเมืองเพื่อเข้าโรมรันศัตรู !!
ผลลัพธ์มีเพียงความตายเท่านั้น
ตู้ม !
คลื่นพลังระเบิดส่งออกรอบทิศ เกิดเป็นแสงสว่างจ้าน่าแสบตา
ท่ามกลางแรงระเบิดคือคนด่านทะลวงลมปราณที่เพิ่งจะหลุดจากวิชาจิตมาได้กำลังถูกพลังซัดจนร่นถอย เผยให้เห็นแขนข้างหนึ่งผิดรูปผิดร่าง และที่ยังไม่ถูกระเบิดเป็นชิ้นในพริบตาก็เพราะเขาแข็งแกร่งอยู่บ้างนั่นเอง
ทว่าแรงโจมตีของเขาเองก็ไม่ใช่ว่าไร้ผลเสียทีเดียว ด้วยเมื่อเส้นแสงจันทร์ซัดเข้าร่างภาพจุติ ก็ทำให้ขนาดตัวของมันลดลงไม่น้อย
นี่คือความสามารถของเหยี่ยวเงินแสงจันทร์ สามารถทำให้สิ่งที่เกิดจากพลังต้นกำเนิดสลายหายไปได้ แม้จะไม่อาจทำลายภาพจุติได้ทั้งหมด แต่ตอนนี้มันก็ไม่แกร่งเท่าเดิมแล้ว
แต่นี่นับเป็นความชอบครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว ยามเส้นแสงจันทร์ซัดเข้าร่างภาพจุติ ร่างซูเฉินก็ส่องประกายวาบ เขาเหินร่างขึ้น ตวัดดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ฟันศีรษะคนด่านทะลวงลมปราณผู้นั้นจนกลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้น
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินใช้ดาบนี้ในการต่อสู้ครั้งนี้
เขาไม่ถนัดใช้อาวุธต่อสู้เท่าไรนัก เมื่อหยิบดาบขึ้นมาใช้ย่อมหมายความว่าความแกร่งของเขาได้ลดลงแล้วนั่นเอง
พริบตานั้นเอง หมัดล่องหนก็ซัดเข้าจากด้านหลังซูเฉิน
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องเจ็บปวดแล้วถอยไป ตวัดดาบในมือซัดพลังสีเงินออกจากปลายคมดาบ ตัดศีรษะคนอีก 7-8 คนหลุดกระเด็น
ทว่าคนที่ลอบโจมตีกลับถอยไปอย่างปลอดภัย ด้วยอีกฝ่ายคือผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณคนสุดท้ายนั่นเอง
ที่น่าตกใจคือซูเฉินพลันรู้สึกว่าเมื่อถูกหมัดนั่นแล้ว ขาทั้งสองก็รู้สึกหนักหน่วง ราวกับใครเอาโซตรวจหนักมาล่ามเอาไว้
“โจมตีไปพร้อมกันเลย ! พลังจากสายเลือดมันกำลังจะหมด มันรั้งได้อีกไม่นานหรอก ข้าใช้หมัดสะท้านทรวงกับมันไปแล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวของมันจะถูกจำกัดไว้ !” ด่านทะลวงลมปราณคนสุดท้ายตะโกนลั่น
หมัดสะท้านทรวงไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก ทั้งยังใช้ยากอีกต่างหาก แต่มันมีข้อดีข้อหนึ่ง คือเมื่อเป้าหมายถูกหมัดเจ้าจะทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงจนขีดสุดไม่ว่าจะแกร่งขนาดไหนก็ตามแต่ เพียงแต่ใครที่มีพื้นฐานพลังสูงกว่าก็จะมีผลสั้นกว่าเท่านั้น ส่วนพวกที่พื้นฐานพลังต่ำต้อยก็จะถูกผลยาวกว่า
ซูเฉินมีพลังโจมตีแกร่งมาก แต่ในเมื่อทั้งสองมีพื้นฐานพลังเทียบเท่ากัน ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย จริง ๆ แล้วพื้นฐานพลังเขาสูงกว่าเล็กน้อย ดังนั้นหมัดของอีกฝ่ายจึงสามารถลดความเร็วเขาลงได้เพียงชั่ว 3 พริบตาเท่านั้น
แม้ซูเฉินจะสังหารด่านทะลวงลมปราณไป 4 คนแล้ว แต่ก็ยังเหลือคนด่านกลั่นโลหิตและด่านก่อเกิดลมปราณอยู่อีกมาก
พวกเขาต่างซัดพลังโจมตีที่แกร่งที่สุดเข้าใส่ พลังทั้งหลายพุ่งเข้ามาทั้งรวดเร็วรุนแรง โดยมีเป้าหมายหนึ่งเดียวกันคือซูเฉิน !
ทว่าร่างของซูเฉินพลันหายไปในพริบตา
คนด่านทะลวงลมปราณเคยเห็นซูเฉินใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายมาก่อนจึงรู้ว่ามีวิชานี้อยู่ รีบถอยร่นลงไปด้วยความตกใจ พร้อมกันนั้นก็เปิดใช้เกราะป้องกันร่างตน
ทว่าซูเฉินไม่ได้มาปรากฏกายตรงหน้าเขา แต่เป็นด้านหลังผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตคนหนึ่งต่างหาก แม้จะมีพื้นฐานพลังต่ำกว่า แต่ก็มีทักษะการต่อสู้สูงไม่น้อย ดาบในมือแหลมคม คล้ายกับของจงฉือซื่อ แต่พลังป้องกันกลับน้อยกว่า ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกสังหารเขาก่อน
เขาประทับฝ่ามือลงบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ร่างคนผู้นั้นปลิวไปทันที และโดยยังไม่ทันกระแทกพื้น ร่างนั่นก็พลันระเบิดออกกบางอากาศ ตายทั้งที่ยังไม่ทันเอยแม้สักคำ
ทุกคนรีบถอยไป พร้อมกับปล่อยการโจมตีออกมาไม่หยุดไปพร้อมกัน
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดยื่นแขนออกมาคว้าร่างคนสองคนไว้ใช้เป็นโล่ ผู้พิทักษ์แห่งเม็กเองก็ปรากฏขึ้นบนร่างซูเฉิน ฉวยเอาจังหวะสั้น ๆ นี้เปิดใช้เกราะทั้งหลายมาคุ้มร่าง พร้อมกันนั้นก็เปิดใช้เกราะรบเหล็กกล้าไปด้วย แต่พลังโจมตีโหดเหี้ยมก็ทำลายโล่มนุษย์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ปะทะเข้ากับเกราะจนเกิดเป็นประกายไฟสว่างจ้า ส่งร่างเขากระเด็นถอยไป
เมื่อเกราะสุดท้ายแตกกระจาย ซูเฉินก็เสียเลือดเป็นครั้งแรก
เลือดพุ่งออกมาจากร่างเขาทันใด
เมื่อเห็นเลือดเช่นนี้ คนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นยินดีนัก
“เจ้าไม่รอดแน่ !” คนด่านทะลวงลมปราณคนสุดท้ายคำรามลั่นพร้อมพุ่งตัวเข้าไป ดาบรบในมือตวัดโค้ง ที่ปลายดาบมีไอเย็นหนาแน่นควบรวมอยู่