ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 122 เงินก้อนใหญ่
บทที่ 122 เงินก้อนใหญ่
แทบจะในทันทีที่พวกเขารู้สึกได้ถึงความขื่นขม พวกเขาก็พลันเลือกที่จะไม่นั่งเฉย …เพื่อรอความหายนะมาเยือนตน !
แม้พวกเขาจะไม่ได้สัมผัสผลของวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดได้เอง แต่พวกคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างก็รู้สึกไม่ชอบการพัฒนาที่มาในทิศทางนี้เลย
มันเป็นเหมือนกับของเล่นราคาสูงค่าที่เดิมที่มีแต่พวกเขาและเหล่าสหายสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ครอง
แต่ตอนนี้พวกคนชั้นต่ำทั้งหลายกลับมีของเล่นที่เหมือนกันเสียได้
ในเมื่อพวกชั้นต่ำยังมี มันก็ไม่ใช่ของเล่นที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเห็นค่าอีกต่อไป ศักดิ์ศรีที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีกลับหายไปในพลัน
เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับความแกร่งและฐานะของผู้เชี่ยวชาญพลังเช่นนี้ จึงเกิดเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยากขึ้นมา
พวกเขาไม่อาจพูดโจ่งแจ้งได้ว่าวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดนั้นแย่ หรือไม่อาจห้ามไม่ให้คนอื่น ๆ ลองวิชาได้ ดังนั้นจึงหาทางให้ร้ายมันแทน
ความคิดเห็นในคลื่นแรกมุ่งโจมตีอวิ๋นฝูปาและพากันต่อต้านวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดที่เพิ่งเผยแพร่ออกมา
“วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดอะไรกัน ? ก็งั้น ๆ”
“ใช่ ทั้งยังต้องใช้ยาควบคู่กันไปอีก ! วางแผนจะหาเงินเข้าตัวเองชัด ๆ”
“หากมีใจเมตตาจริงก็ควรจะเผยสูตรยายาสามหยางออกมาด้วยสิ”
“ถูกต้อง ! คนผู้นี้น่ารังเกียจและร้ายกาจอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่คนดีอะไรเลย !”
“วิชาลับที่คนอย่างเขาสร้างขึ้นคงมีข้อเสียซ่อนอยู่ตรงไหนเป็นแน่”
“ใช่ ! ทุกคนอย่าใช้วิชาของเขาเลยดีกว่า เพราะหากเกิดเรื่องขึ้น จะเสียใจก็สายไปแล้ว”
“ได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อนมีคนเสียสติเพราะหมกมุ่นฝึกแต่วิชานี้ด้วย ร่างกายบาดเจ็บหนักทีเดียว”
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน !”
จากนั้นจากโจมตีตัวคนขายไปโจมตีสินค้าที่ขายแทน วิธีเหล่านี้มักใช้ได้ผลอยู่เสมอ
แสดงให้เห็นว่าวิชาด่านทะลวงลมปราณจะไม่ถูกพวกเขามองเมินเช่นวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต มันได้ทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายเริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นมาแล้ว
ด้วยวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ของอวิ๋นฝูปาก็เริ่มแพร่กระจายออกไปทั่วแดนฝันและสถานที่อื่น ๆ
ซึ่งก็น่าขันนัก คนส่วนมากไม่รู้ว่าอวิ๋นฝูปาเป็นใครด้วยซ้ำ แต่กลับมีข่าวลือชั่วร้ายเกี่ยวกับเขาขึ้นมาหลากหลายแห่งได้
ทว่าการลงมือรวดเร็วไปก็ใช่จะเป็นเรื่องดี ปัญหาเรื่องการใช้ข่าวลือเพื่อใส่ร้ายศัตรูนั่นคือการสร้างมูลความจริงนั่นเอง
ผู้เชี่ยวชาญพลังไร้สายเลือดคนแล้วคนเล่าสามารถทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณได้ในที่สุด ผลลัพธ์สุดยอดเหล่านี้ต่างทำให้ข่าวลือซาลง ทั้งยังเปิดโปงจุดมุ่งหมายของการตีข่าวลือให้แพร่สะพัดไปอีกต่างหาก
ข่าวลือที่มีจุดประสงค์ชั่วร้ายถูกผู้สนับสนุนของอวิ๋นฝูปาตีตกไปโดยเร็ว แทนที่ด้วยแรงสนับสนุนอันเร่าร้อนจากคนทั้งหลาย
ซูเฉินไม่จำเป็นต้องลงจัดการข่าวลือที่พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงปล่อยออกมาเองด้วยซ้ำ ด้วยมันถูกความยินดีจากฝูงชนทั้งหลายกดทับไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเกิดเรื่องที่ทำให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้นอย่างทั่วถึงกันเช่นนี้ขึ้น แผนชั่วร้ายกระจอก ๆ เช่นนี้ก็คล้ายกับแมลงพยายามหยุดสายฝน อ่อนแอจนกระทั่งถูกซัดครั้งเดียวเป็นร่วง
คนกลุ่มใหญ่หยุดยั้งได้ยาก แต่กับคนคนเดียวนั้นง่ายกว่า
เมื่อรู้ว่าไม่อาจหาทางหยุดพวกคนไร้สายเลือดให้ทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณได้แล้ว พวกเขาจึงเล็งเป้าไปที่อวิ๋นฝูปาแทน
————————————————
ในขณะที่เผ่ามนุษย์ยังคงยินดีปรีดากับวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือด ซูเฉินก็นั่งนับเงินอยู่อย่างมีความสุขเช่นกัน
จริง ๆ แล้วก็มีข่าวลือหนึ่งที่ว่าไว้ไม่ผิด ซูเฉินคิดหาทางหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองเช่นกัน
เมื่อ 10 วันก่อน วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดขายได้ 3 หมื่น 4 พันชุดแล้ว และเพราะมันเผยแพร่กันปากต่อปาก ยอดขายจึงน้อยกว่าวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตอยู่เล็กน้อย
ทว่าซูเฉินก็ขายมันในราคา 200 ละอองฝัน ดังนั้นจึงได้กำไรมาทั้งหมดหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ 68 ล้านก้อนด้วยกัน ยังไม่นับรวมยอดขายในอนาคตอีก
ซึ่งก็ยังไม่ใช่กำไรทั้งหมดของชายหนุ่ม ด้วยยังมีจุดที่ได้เงินมากกว่านี้อีกหลายเท่าอยู่
ซึ่งก็คือยาสามหยาง
คนกว่า 3 หมื่น 4 พันคนซื้อวิชามา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งหมดจะนำไปใช้ การส่งต่อของวิชาจึงต่ำกว่า ทำให้มั่นใจได้ว่าคนที่ได้อ่านตัววิชาคนจะเกินล้านคนไปนานแล้ว วิชาอาจถูกคัดลอกส่งต่อได้ แต่ยาสามหยางที่ต้องซื้อจากร้านขายยานั้นไม่อาจปลอมแปลงได้
อีกทั้งโอกาสสำเร็จยังอยู่ที่ 3 ใน 10 ส่วน หมายความว่าคนหนึ่งจำเป็นต้องใช้ยาราว 3 ขวดกว่าจะทะลวงด่านได้สำเร็จ
และแม้จะมีเพียงคน 3 แสนคนที่หมายจะทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ พวกเขาก็อาจต้องซื้อยาจำนวนรวมราว 1 ล้านขวด ซึ่งก็อยู่ในการคิดคำนวนซูเฉินทุกประการ
แน่นอนว่าจะให้มีคนจำนวนมากทะลวงด่านพร้อมกันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่คนเราพอได้เห็นของดีออกใหม่ก็ต้องอยากลองกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อยาสามหยางออกสู่ตลาด คนมากมายก็จะออกไปซื้อหาแม้จะยังไม่ถึงเวลาทะลวงด่านก็ตามแต่ ด้วยเกรงว่ายายามต้องใช้อาจจะไม่มีให้ซื้อได้อีก
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ยาสามหยางลดเหลือน้อยลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งยาล้านขวดที่ซูเฉินและคนอื่น ๆ เตรียมไว้ก็ยังไม่พอ มีคนที่ซื้อยาไปเป็นจำนวนมากทำให้ของขาดตลาดอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็เอาไปขายต่อเพื่อทำกำไร ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซูเฉินอีก เขาอาจคุมตนเองได้ แต่ไม่อาจคุมให้คนอื่นเอามันไปทำราคาได้ มีเพียงอารามนิรันดร์เท่านั้นที่เต้นแร้งเต้นกาด้วยความโกรธเกรี้ยว
ดังนั้นปล่อยวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณออกไปได้ยังไม่ทันพ้นปี ยาทั้ง 1 ล้านขวดก็หมดลงเสียแล้ว ที่ขายหลังจากนั้นก็คือยาที่เริ่มผลิตขึ้นมาในช่วง 2 เดือนนี้เท่านั้น
ซูเฉินเองก็ได้ประโยชน์จากการที่ยาขาดตลาดเช่นกัน
ทว่าหลังจากนั้นซูเฉินก็ไม่คิดปรุงยายาสามหยางเพิ่มอีก
เพราะมันไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เข้าเดือนที่ 3 ที่วิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณออกสู่ตลาด อวิ๋นฝูปาก็ลงมืออีกขั้นหนึ่ง
ครั้งนี้คือการปล่อยสูตรยาสามหยาง
ใช่แล้ว แม้จะยังมีคนด่านกลั่นโลหิตที่จำเป็นต้องใช้ยาอยู่อีกมาก ซูเฉินก็ไม่คิดอยากขายยาต่ออีก
ยาสามหยางไม่ใช่ยาที่ปรุงขึ้นยากเย็นอะไร ส่วนผสมก็พื้น ๆ วิธีปรุงก็ไม่เลิศเลอ นักปรุงยาระดับปรมาจารย์คนใด ใช้เวลาสักนิดก็สามารถปรุงขึ้นมาได้แล้ว
นี่คือการผูกขาดที่ไม่อาจทำลายลงได้
ดังนั้นซูเฉินจึงคิดทำยาสามหยางขึ้นมาเพียงล้านขวดตั้งแต่แรก เขาจะได้กวาดเงินจำนวนมากเข้าตัวโดยใช้เวลาสั้นที่สุด จากนั้นขายสูตรยาภายหลังเพื่อทำเงินเพิ่มต่อ
ซึ่งเวลาขายสูตรยาของเขาก็นับว่าเหมาะเจาะพอดี ด้วยนักปรุงยาทั้งหลายเริ่มจะสามารถถอดสูตรยาออกมาได้แล้ว
ซูเฉินลงมือเช่นนี้ทำให้ความพยายามหลายเดือนของพวกเขาสูญเปล่า หลาย ๆ คนโกรธจนตัวสั่น ราคายากลับมาสู่ราคาปกติดังเดิม คนที่ตุนยาไว้ขาดทุนย่อยยับ จนทบคืนกับกำไรที่ได้ไปเมื่อครั้งแรก
เมื่อสูตรยาสามหยางแพร่ออกไปแล้ว อุปสรรคในการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณก็เหมือนกับหายไปด้วย ป่าแม่น้ำตะวันตกกลายเป็นสถานที่ที่น่าจับตามองไป
นั่นก็เพราะวัตถุดิบในการปรุงยาสามหยาง หญ้าเหยี่ยวเร้นกาย เป็นของที่หาได้จากที่นั่นเท่านั้น ซูเฉินพบมันที่นั่น ทำให้ถือกำเนิดยาสามหยางและวิชาทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณขึ้นมาได้
เมื่อสูตรยาออกสู่สาธารณะ ราคาหญ้าเหยี่ยวเร้นกายก็สูงขึ้นนับสิบเท่า ซูเฉินสะสมหญ้าเหยี่ยวเร้นกายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เอาพวกมันออกขายตอนนี้ก็จะทำเงินจำนวนมากได้อีก
เรียกได้ว่าชายหนุ่มสามารถกวาดเอาเงินกองใหญ่มาได้ในการขายของ 3 ระลอกด้วยกัน
ภายในเวลา 3 เดือน ซูเฉินและอารามนิรันดร์ก็ขายยาสามหยางออกไปได้ 1.1 ล้านขวด ได้หินพลังต้นกำเนิดมา 2.75 พันล้านก้อน ส่วนแบ่ง 1.6 พันล้านก้อนเป็นของซูเฉิน ส่วนที่ได้จากการขายสูตรยาและหญ้าเหยี่ยวเร้นกายอีก 1.82 พันล้านก้อน ทำให้เขาเป็นคนที่ได้กำไรสูงสุดในการค้าครั้งนี้ อารามนิรันดร์ได้ไปทั้งหมด 1.1 พันล้าน และหากหักต้นทุนแรงงานคนออกไป กำไรก็จะเหลือเพียง 900 ล้าน แต่ก็เป็นจำนวนที่มากพอจะทำให้พวกเขาเฉลิมฉลองยินดีได้แล้ว
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้แตะเงินมากมายเช่นนั้น เมื่อกังเหยียนได้ยินจำนวนเงิน เขาก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเงินจำนวนมากขนาดไหนกัน
ข้อเสียอย่างเดียวของการค้าครั้งนี้คืออารามนิรันดร์รู้ตัวตนของอวิ๋นฝูปาแล้ว
แต่ซูเฉินก็ไม่สน เพราะอย่างไรนอกจากอารามนิรันดร์แล้ว ก็ยังมีตระกูลจูอยู่อีก
ตัวตนของอวิ๋นฝูปาคงปิดไว้ได้ไม่นาน ตระกูลจูเคยลงมือเช่นนั้นได้ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงอื่น ๆ ก็ทำได้เช่นกัน ที่ซูเฉินทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อประวิงเวลาถูกพบตัวให้นานออกไปหน่อยก็เท่านั้น
อย่างไรเขาก็รู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่ดี
แต่ก่อนหน้านั้น เขาขอใช้เวลาฝึกฝนบ่มพลังตนให้แข็งแกร่งให้มากที่สุดเสียก่อนก็แล้วกัน
ดังนั้นแผนการต่อไปของซูเฉินคือการเปลี่ยนเงินเป็นความแกร่ง !