ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 137 ไล่ตาม
บทที่ 137 ไล่ตาม
เว่ยเพ่ยว่องไวมากก็จริง ทว่าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆานั้นรวดเร็วกว่ามาก
จุดสำคัญของเรือเคลื่อนเมฆานั้นมุ่งเน้นที่ความเร็วมาโดยตลอด เอาชนะความเร็วของผู้เชี่ยวชาญได้โดยง่าย ส่วนเรื่องการป้องกันและการโจมตีนั้นเป็นเพียงส่วนเสริมเข้ามาเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของปืนใหญ่ฟ้าลั่นนั้นคือการดึงความสนใจศัตรูต่างหาก
และหากซูเฉินต้องการ เขาก็ทิ้งห่างเว่ยเพ่ยไปได้อย่างง่ายดาย
แต่เขาไม่ได้ต้องการเช่นนั้น
ชายหนุ่มควบคุมความเร็วของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอย่างดี ทิ้งระยะห่างจากเว่ยเพ่ยไว้พอควร ล่อให้เขาตามราวกับแขวนหัวไชเท้าล่อให้ลาเดินตาม มันก็ได้แต่ไล่ตามไม่หยุด หากแต่พยายามเท่าไหนก็ไม่อาจเอื้อมถึง
แรกเริ่มเว่ยเพ่ยยังไม่รู้ตัวเพราะเรือเคลื่อนเมฆามีทั้งแบบช้าและเร็ว
เรือเคลื่อนเมฆาที่ช้าเป็นพิเศษเช่นเรือเหาะผาทองนั้น คนด่านสู่พิสดารที่ไหนก็ไล่ตามทันได้ทั้งสิ้น
อีกทั้งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาเพิ่งจะสำแดงพลังโจมตีและพลังป้องกันสูงส่งออกมา หากมันไม่ใช้ของชั้นยอด เช่นนั้นความเร็วที่ลดลงบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ดังนั้นเว่ยเพ่ยจึงไล่ล่าต่อไม่ลดละด้วยรู้สึกว่าเขาต้องตามมันทันแน่
เขาใช้วานรรุดหน้าเป็นระยะ ๆ เงาร่างหายวับไปครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลดระยะห่างให้ได้มากที่สุด
แต่เรือเคลื่อนเมฆาบัดซบลำนี้กลับมีวิชาพุ่งหรืออย่างไร ทุกคราที่เขาเข้าใกล้ มันก็จะพุ่งตัวออกไปจนห่างไกลอีกครั้ง
เรือเคลื่อนเมฆาเป็นเครื่องมือต้นกำเนิด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีทักษะต้นกำเนิดติดมาด้วย ดังนั้นแรกเริ่มเว่ยเพ่ยจึงไม่ได้คิดสงสัยอะไร
แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
แม้เขาจะไล่ล่าเรือเคลื่อนเมฆามาสักระยะแล้ว แต่ระยะห่างกลับไม่ค่อยเปลี่ยน เขาไล่อีกฝ่ายมาหลายชั่วอึดใจ ใช้พลังต้นกำเนิดไปไม่น้อย และเพื่อรักษาพลังไว้เขาจึงลดการใช้วาโยรุดหน้า ตามหลักเหตุผลแล้ว เรือเคลื่อนเมฆาควรจะใช้จังหวะหนีสลัดเขาให้หลุด
เว่ยเพ่ยจึงจับสังเกตได้ทันที “คิดจะให้ข้าใช้พลังต้นกำเนิดจนหมดแล้วค่อยประมือกับข้างั้นหรือ ?”
คิดได้ดังนั้น เว่ยเพ่ยจึงเคลื่อนกายช้าลง และไม่ผิด เรือเคลื่อนเมฆาเองก็ลดความเร็วลงเช่นกัน
เห็นดังนี้แล้ว มีหรือที่เว่ยเพ่ยคิดจะไล่ล่าอีกฝ่ายต่อ ?
เขารู้แล้วว่าไล่อย่างไรก็ตามไม่ทัน ดังนั้นจึงยอมแพ้แล้วเหินร่างกลับทันที
หากแต่กลับมีลูกบอลแสงปรากฏขึ้นที่ท้ายเรือเหอะอีกครั้ง
“แย่แล้ว !” เว่ยเพ่ยเข้าใจเรื่องราว รีบใช้วาโยรุดหน้าพุ่งออกไปทันที
ตู้ม !
ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งออกมาแล้วระเบิดอยู่เบื้องล่างเขา
ไอ้บัดซบนั่น !
เว่ยเพ่ยโกรธจัดจนกัดฟันตนเองแทบแตก
หากไม่ไล่ล่ามัน มันก็จะหันมาไล่โจมตีเขาแทน
ทว่าความสามารถในการดึงความสนใจของปืนใหญ่ฟ้าลั่นนั้นมีศักยภาพมาก หากเว่ยเพ่ยไม่อยากถูกโจมตี ก็มีแต่ต้องไล่ล่าต่อไปเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงกลับมาไล่ล่าต่ออย่างจนหนทาง เรือเคลื่อนเมฆาเองก็มุ่งหน้าต่อไปเช่นกัน
ทั้งสองยังพุ่งไปด้านหน้าแล้วหยุดต่อไปเรื่อย ไม่นานก็เคลื่อนตัวออกห่างจากจุดแรกเริ่มไปไกลลิบ
ยิ่งเว่ยเพ่ยไล่ล่าซูเฉินเขาก็ยิ่งต้องตกตะลึง เจ้าเด็กนั่นไปเอาหินพลังต้นกำเนิดมาจากไหนมากมายถึงใช้อย่างไม่คิดเช่นนั้นได้ ? อีกทั้งความสามารถของเรือเคลื่อนเมฆาลำนี้มันจะเหนือชั้นไปแล้วกระมัง ?
เว่ยเพ่ยเองก็มีเรือเคลื่อนเมฆาเช่นกัน แต่มันไม่ได้มีค่ายกลย่นขนาด ดังนั้นเขาจึงพกมันมาด้วยไม่ได้ เขาจึงทิ้งมันไว้ในตระกูลตลอด แต่กระนั้นคนในตระกูลก็ยังมองว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
แต่เรือเคลื่อนเมฆาของเขา หากนำมาเทียบกับลำตรงหน้ากลับดูด้อยไปถนัดตา
เขาเป็นผู้อาวุโสด่านสู่พิสดาร แต่กลับมีของที่ด้อยกว่าเด็กอย่างมัน ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธนัก
เมื่อในใจคิดได้เช่นนี้ เขาก็หยิบบางอย่างออกมา มันคือทรายหนึ่งกำมือ
สายตาเขาจับจ้องมันด้วยความลังเล จากนั้นเตรียมใจตนเองแล้วเขวี้ยงมันไปในอากาศ ทรายเหล่านั้นก่อร่างขึ้นเป็นร่างปีศาจขนาดใหญ่ ส่งเสียงกรีดร้องแสบหูไปทางเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีทะมึน เริ่มมีเม็ดทรายซัดกระจายอยู่จนทั่ว เป็นพายุทรายน่ากลัวที่จู่ ๆ ก็บังเกิดขึ้นนั่นเอง
“ฮ่า ๆ ลิ้มรสวงเขตพายุทรายปีศาจของข้าเสียเถอะ ! จงหมุนไปแล้วลากเรือลำน้อยนั่นมาให้ข้า !” เว่ยเพ่ยตะโกนเสียงดัง
วงเขตพายุทรายปีศาจเป็นสิ่งที่เขาได้มาหลังจากเผชิญเรื่องอันตรายมาก มันทั้งทรงพลังและใช้งานได้ดียิ่ง แต่น่าเสียดายที่เป็นของใช้แล้วหมดไป ทุกครั้งที่ใช้ จำนวนทรายก็จะลดลงเรื่อย ๆ ครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างลังเลว่าจะใช้มันดีหรือไม่
แต่เมื่อเขารับรู้ว่าเรือเคลื่อนเมฆานั้นไม่ใช่ของธรรมดา เว่ยเพ่ยจึงใช้มันไม่ลังเลอีก
วงเขตพายุทรายปีศาจนั้นยังผลเกินคาด เม็ดทรายจำนวนมากหมุนเป็นลมพายุจนบดบังดวงอาทิตย์แทบไม่เห็น กระทั่งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยังเดินหน้าฝ่าพายุทรายต่อไปด้วยความยากลำบาก ลดแรงโหมพัดเข้าใส่มันเรื่อย ๆ ทรายนับไม่ถ้วนกระทบลำเรือราวกับถูกศรแหลมปัก ที่ลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมีประกายไฟปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแสงสว่างจ้า
“บัดซบ คนด่านสู่พิสดารแต่ละคนย่อมมีไม้ตายงั้นสินะ” ซูเฉินอดส่ายหน้าด้วยความชื่นชมไม่ได้
เว่ยเพ่ยมีเพียงหนึ่งแท่นบงกช แต่เท่านั้นก็รับมือยากแล้ว หากเป็นคนที่แกร่งกว่านี้จะรับมือยากขนาดไหนกัน ?
เม็ดทรายเหมือนจะพัดปลิวว่อนไปทั่ว อีกทั้งความหนาแน่นของมันยังไม่อาจทำให้มุ่งหน้าต่อไปได้ เว่ยเพ่ยเห็นแล้วก็ดีใจ คิดว่าซูเฉินคงหมดทางหนีเข้าแล้ว
หากแต่ซูเฉินกลับยิ้มน้อย ๆ
แล้วเอ่ยขึ้นว่า “โง่เง่า !”
จากนั้นเขาก็หมุนเรือเหาะให้พุ่งเข้ามายังทิศที่เว่ยเพ่ยยืนอยู่
หันกลับมาแล้ว !
แม้วงเขตพายุทรายปีศาจของเว่ยเพ่ยจะกินพื้นที่มาก แต่ก็ยังมีจุดศูนย์กลาง พลังส่วนมากส่งผลไปยังด้านหน้า เพราะตัวซูเฉินนั้นอยู่ด้านหน้าของเว่ยเพ่ย
ซูเฉินจึงกลับลำเรือแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่เขตที่พายุทรายอ่อนกำลังลง
หากแต่ตรงจุดที่พลังลมเบาลงนั้นก็คือจุดที่เว่ยเพ่ยยืนอยู่นั่นเอง
เขามองเรือเคลื่อนเมฆาที่กำลังเคลื่อนเข้ามา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนหน้า “ไอ้หนู ข้าจ……”
เขาพูดยังไม่ทันจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีลูกบอลแสงกำลังก่อตัวขึ้นบนเรือ
“เวรเอ๊ย !” เว่ยเพ่ยสบถด่าแล้วรีบหลบไปด้านข้าง
และพริบตาเดียวกันกับจังหวะที่ลำแสงพุ่งออกมา เว่ยเพ่ยก็มองเรือเคลื่อนเมฆาที่จู่ ๆ ก็เร่งความเร็วขึ้นด้วยความตกตะลึง
มันแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนมาก ราวกับเรือเหอะหมายจะไล่ตามลำแสงไปอย่างไรก็อย่างนั้น
ความตกตะลึงส่งผลให้เว่ยเพ่ยเบิกตามองกว้างจนลูกตาแทบถลนจากเบ้า
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าความเร็วที่แท้จริงของเรือเคลื่อนเมฆาชั้นยอดนั้นเร็วกว่าที่เขาเคยเห็นมานักต่อนัก แต่เมื่อเห็นความเร็วมันกับตา เขาก็ยังตกใจมากอยู่ดี
ของชั้นยอด !
มันเป็นเรือเคลื่อนเมฆาชั้นสุดยอด
เรือเคลื่อนเมฆาระดับนั้นย่อมมีราคามากกว่าร้อยล้าน กระทั่งผู้อาวุโสเช่นเขาก็ยังไม่อาจหามาใช้สักลำได้
แล้วซูเฉินไปได้มันมาอย่างไรกัน ?
แต่ยังไม่ทันได้หาเหตุผล เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากก็พุ่งออกจากเขตการโจมตีแล้วหายลับไป ไม่ชะลอตัวลงแม้สักนิด พริบตาด้วยก็หายไปไม่เห็นรอย
เกิดอะไรขึ้นกัน ?
ซูเฉินพยายามล่อให้เขาไล่ตามไม่ใช่หรือ ?
แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงหนีไปเช่นนั้น ?
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เว่ยเพ่ยตะโกนลั่น “แย่แล้ว ! เหล่าเซิน !”