ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 141.2 ติดตาม (2)
บทที่ 141 ติดตาม (2)
เมื่อเห็นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากหันลำกลับและจากไป เว่ยเพ่ยตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้ไล่ตามไป เขากลับแสยะยิ้ม “อย่างน้อยเจ้าก็ยังรู้ตัว !”
ใช่ ในเมื่อรู้ตัวว่าตามไม่ทันก็ควรที่จะหันกลับและจากไป
อย่างไรก็ตาม ทันทีเว่ยเพ่ยหันตัวกลับ เรือเหาะก็หันหัวตามมาและยิงปืนใหญ่ใส่เขาอีกครั้ง
เว่ยเพ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอยร่นออกไปอีกครั้ง ครานี้สัมผัสของการไหลเวียนที่ปั่นป่วนของพลังในร่างกายเขายิ่งชัดเจนขึ้น เขารู้ว่านี่เป็นเพราะแท่นบงกชได้รับความเสียหาย หากไม่รีบรักษาฐานบ่มเพาะของเขามีแต่จะลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะตัดไฟแต่ต้นลมเสีย
ทว่าซูเฉินเองก็เป็นผู้ที่มีไหวพริบเช่นกัน เขาไม่เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างประมาท แต่เลือกอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องความเร็วของเรือเหาะและการโจมตีจากระยะไกล ใช้กลยุทธ์หากศัตรูรุกมาเขาจะถอยและถ้าศัตรูถอยไปเขาก็จะรุก
ความเร็วของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากนั้นเร็วกว่า ขอบเขตระยะการโจมตีของปืนใหญ่ฟ้าลั่นเองก็กว้างกว่ามาก ในยามนี้เว่ยเพ่ยจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้ตัวเองโดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อวิ๋นเป้ายังคงนั่งเล่าเรื่องราวอยู่ในเรือเหาะไปพร้อมกับเมล็ดทานตะวันและชาตรงหน้า เจียงซีสุ่ยกับหม่าหงเฟยแทะเมล็ดทานตะวันพลางจิบชา ขณะที่พวกเขาฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องไปด้วย โดยมีกังเหยียนเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วยในบางครั้ง
หลังจากได้รู้ว่าตัวจริงของอวิ๋นฝูปาก็คือซูเฉิน ความลึกลับทั้งหมดก็ถูกไขกระจ่าง
ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนจะใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว ทุกคนรู้ดีว่ายาสามหยางจำนวนมหาศาลที่ถูกขายออกมานั้นต้องเกี่ยวข้องกับอวิ๋นฝูปาอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินได้รับหินพลังต้นกำเนิดมามากมายถึง 1.8 พันล้านก้อน ก็ทำเอาเจียงซีสุ่ยแทบจะลมจับ
ต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องราวของการจับจ่ายใช้สอยครั้งยิ่งใหญ่ที่เมืองฉางผาน แม้เรื่องนี้จะไม่มีอะไรให้น่าสนใจนัก แต่อวิ๋นเป้าอดไม่ได้ที่จะพูดถึงจำนวนเงินใช้ไปและการซื้อของมากมายอย่างสบาย ๆ ของพวกเขา ทำคนฟังตกตะลึงและอึ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า
สถานการณ์ภายนอกยังคงวุ่นวาย แต่ภายในเรือเหาะพวกเขากลับกำลังดื่มชาและฟังเรื่องราวกันอย่างสบายอกสบายใจ
เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากที่ยังคงตามรังควานไม่เลิก ทำให้เว่ยเพ่ยรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรู้ว่าตนไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้ เขาจึงเลิกสนใจซูเฉินและมุ่งความสนใจไปที่การบินตรงกลับไปยังเมืองธารน้ำใสอย่างเต็มที่
อย่างน้อยที่เมืองนั้นก็ยังมีกลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูง และผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนอื่นที่ช่วยสนับสนุนเขาได้
ซูเฉินมองออกถึงความคิดของอีกฝ่าย เขาหันกลับมาและพูดว่า “มันต้องการกลับไปที่เมืองเพื่อหากำลังเสริม หยุดมันไว้”
“ข้าเอง” เจียงซีสุ่ยบินตรงออกมา
เนื่องจากพวกเขาอยู่บนท้องฟ้าสูงที่ปราศจากแหล่งน้ำ เจียงซีสุ่ยจึงใช้ละอองไอน้ำในอากาศสร้างหมอกจำนวนมากขึ้นเบื้องหน้าในพริบตา ท้องฟ้าปลอดโปร่งก่อนหน้านี้ปกคลุมเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบไปทันที
เว่ยเพ่ยที่กำลังบินอยู่ในอากาศรู้สึกได้ถึงแรงกดอากาศที่หนาแน่นและแรงต้านที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ความอันตรายยิ่งทวีคูณ ความเสี่ยงที่เขาจะถูกโจมตีได้ทุกเมื่อก็เพิ่มขึ้น
เว่ยเพ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนเส้นทาง
เจียงซีสุ่ยไม่ได้ขัดขวางฝั่งตรงข้ามอีก เขากลับไปพักที่เรือเหาะต่อและพูดว่า “แล้วยังไงต่อ ? แล้วเรื่องม่านลูกปัดหยกน้ำสีเงินชิ้นนั้นล่ะ ?”
อวิ๋นเป้าตอบว่า “โอ้ มันไม่มีประโยชน์กับพวกข้า เราก็เลยปล่อยให้แขกคนอื่นได้มันไป”
“ไอหยา กับเจ้ามันอาจไม่มีประโยชน์ แต่กับข้ามันมี !” เจียงซีสุ่ยกล่าวด้วยความเสียดาย
“ม่านลูกปัดหยกน้ำสีเงินนั่นสามารถใช้สร้างน้ำได้ในทุกที่ เจ้าเองก็เห็นแล้ว ว่าความสามารถในการต่อสู้ของข้าเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำกับที่ไม่มีน้ำมันแตกต่างกันแค่ไหน ! หากข้าอยู่ใกล้น้ำ ข้าก็สามารถใช้คุกน้ำขังมันไว้ได้แล้ว แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในอากาศ และทำได้แค่ใช้หมอกขัดขวางมันเท่านั้น”
กังเหยียนตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ได้คิดถึงมันเลย”
เจียงซีสุ่ยใช้นิ้วจิ้มซูเฉิน “ไม่ยุติธรรมเลย เจ้าเอาความเป็นพี่น้องของเราไปไว้ที่ไหนกัน ! เจ้าไม่ได้คิดถึงข้าเลยงั้นรึ ข้าคนนี้อุสาห์พยายามช่วยเจ้าควบรวมกองกำลังสามสายธาร ตัดเส้นทางน้ำให้ ทั้งยังช่วยกำจัดผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ! แต่เจ้า เจ้ากลับไม่ได้นึกถึงข้าในตอนที่เจ้ากำลังสนุกสนานอยู่กับสิทธิประโยชน์เหล่านั้นเลยงั้นรึ ?!”
ซูเฉินรีบพูดขัด “เอาล่ะ ๆ ข้าเข้าใจแล้ว ๆ เป็นความผิดข้าเอง ตอนนั้นข้าคิดแค่จะเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเอาชนะคนเหล่านั้นเร็ว ๆ จนลืมเจ้าไป งั้นเอาเป็นว่าข้าจะให้พี่เจียง 10 ล้าน แล้วจะเอาไปใช้สอยอย่างไรก็ตามใจเจ้าเลย เป็นอย่างไร ?”
เจียงซีสุ่ยรู้สึกเหมือนจะหน้ามืออีกรอบ
10 ล้าน !
ซูเฉินสามารถควักเงินก้อนโตนั้นออกมาได้อย่างสบาย ๆ
“ตกลง !” เจียงซีสุ่ยคงจะเป็นคนโง่งี่เง่ามากหากเขาไม่ยอมตกลงไป หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กล่าวเสริมว่า “มีแต่ข้าที่ได้งั้นหรือ ? หานเยี่ยนเล่า นางเป็นเพื่อนของเจ้าไม่ใช่หรือ ?”
บัดซบ !
ซูเฉินสบถสาปแช่งอยู่ในใจ ขณะที่เขายกนิ้วเพิ่มขึ้นมาอีกนิ้ว “20 ล้าน เอาไปใช้จ่ายตามใจพวกเจ้า 2 คนเลย”
“เป็นอันตกลง !” เจียงซีสุ่ยตะโกนอย่างตื่นเต้น
อวิ๋นเป้ากล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “อย่าลืมเยว่หลงซาด้วยล่ะ นางเองก็เป็นเพื่อนของเราเช่นกัน”
“ … อ่า ใช่ ๆ นางก็จะได้ 10 ล้านเหมือนกัน” ซูเฉินพยักหน้าซ้ำ ๆ
“และหวังโต้วซาน” อวิ๋นเป้ากล่าวต่อ
“ใช่ ใช่ มันด้วย” ซูเฉินพูดอย่างอ่อนแรง
กังเหยียนเองก็พูดกับเขาด้วย “แล้วเพื่อนของเราที่ซากโบราณลุ่มน้ำทองล่ะ ?”
ซูเฉินรู้สึกปวดไตขึ้นมาทันใด มือที่สั่นเบา ๆ ของเขาเผลอลั่นยิงปืนใหญ่ฟ้าลั่นออกนอกวิถีไปเล็กน้อย ทว่ามันกลับโดนเว่ยเพ่ยที่กระโจนมาในทิศทางนั้นพอดิบพอดีอย่างไม่คาดคิด อีกฝ่ายตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะที่รอยแตกร้าวบนแท่นบงกชเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี เมื่อชายหนุ่มคิดถึงความจริงที่ว่าพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันก็ไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะไม่ดูแลอีกฝ่ายในเขามีทุนทรัพย์พอทีจะทำ หลังจากคำนวณบางอย่างแล้วซูเฉินก็ตัดสินใจมอบเครื่องมือต้นกำเนิดที่มีคุณภาพสูงสุดให้แก่พวกเขา
โอ้ และยังมีเยี่ยเม่ยด้วย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุดในอารามนิรันดร์ หากเขาไม่ดูแลนางสักหน่อย มันก็คงไม่มีข้อแก้ตัวเหลือให้เขาแล้ว
โดยรวมทั้งหมดแล้วมันแทบจะต้องใช้หินพลังต้นกำเนิดมากถึง 100-200 ล้านก้อน จำนวนของค่าใช้จ่ายนี้แม้แต่ซูเฉินเองก็ยังหมดคำพูด แต่เขาไม่ใช่คนขี้เหนียวอะไร หลังจากพิจารณาดูแล้วซูเฉินก็คิดว่ามันไม่เลวนักพลางหัวเราะเบา ๆ
ทันใดนั้นอวิ๋นเป้าก็เสริมขึ้นมาอีกว่า “พอมาลองคิดดู เครื่องมือต้นกำเนิดที่ข้ามีดูเหมือนมันจะมีมูลค่าไม่ถึง 10 ล้านเลยนะ ?”
“ ….. ”
ซูเฉินรู้สึกอยากจะจับอวิ๋นเป้ามาบีบให้ตายคามือยิ่งนัก
เขาหยุดมองไปที่เว่ยเพ่ย และหันกลับมามองอวิ๋นเป้าแทน “ข้าจะหาใหม่ให้เจ้า”
“ของข้าก็ด้วย นายท่าน” กังเหยียนหัวเราะเบา ๆ
“ไสหัวไปทางนู้นเลยไป !” ซูเฉินตบส่งเขาบินออกไป
การไล่ล่าบนท้องฟ้ายังคงดำเนินต่อไป
ซูเฉินเริ่มคุ้นเคยกับการควบคุมเรือเหาะมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่พลาดเป้าไปโดนอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็เริ่มตระหนักแล้วว่า กลยุทธ์ในการไล่ต้อนเป้าหมายด้วยปืนใหญ่ฟ้าลั่นนั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงเริ่มหันมาคาดการณ์การเคลื่อนไหวของเว่ยเพ่ยแทน
ครานี้เว่ยเพ่ยตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริง เพราะเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าปืนใหญ่ฟ้าลั่นจะยิงมาจากทิศทางใด
นอกจากนั้น ตอนนี้ซูเฉินก็เริ่มคุ้นเคยกับนิสัยการหลบหลีกของอีกฝั่งมากขึ้นแล้ว ทำให้เขาสามารถคาดเดาทิศทางการเคลื่อนที่ของเว่ยเพ่ยล่วงหน้าได้ ว่าอีกฝ่ายจะมุ่งหน้าไปทางใด การโจมตี 2 ครั้งต่อมาจึงปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเว่ยเพ่ยอย่างสมบูรณ์
ปืนใหญ่ฟ้าลั่นปะทะเข้ากับเกราะป้องกันของเว่ยเพ่ยจนมันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ร่างครึ่งหนึ่งของเขาสว่างจ้า แม้แต่แท่นบงกชเองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนถึงจุดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแซมกลับมาแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์ปัจจุบัน ซูเฉินก็กล่าวว่า “ถึงเวลาที่เราต้องจบเรื่องนี้แล้ว”
“จัดการเลย !”
ทุกคนตะโกนพร้อมกันในจังหวะที่พวกเขาพุ่งออกจากเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก แท่นพื้นยกระดับที่พวกเขาสามารถยืนได้ปรากฏขึ้นเหนือเรือเหาะ จากนั้นพวกเขาทั้ง 4 คนก็เริ่มปลดปล่อยการโจมตีใส่เว่ยเพ่ย
ต้องบอกว่าในฐานะเครื่องมือต้นกำเนิดการสำหรับต่อสู้ เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากนั้นใช้งานได้ง่ายมาก ความสามารถในการเคลื่อนที่ได้หลากหลาย ควบคู่ไปกับความสามารถในการสร้างพื้นที่ที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญในระดับต่ำกว่าด่านสู่พิสดาร สามารถปลดปล่อยพลังที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขา จนถึงจุดที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารก็ถูกส่งกลับบ้านเก่าได้
เว่ยเพ่ยตะโกนขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวัง “พวกเจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ !”
ทันใดนั้นเขาก็หยิบขวดยาออกจากตัวและเทมันเข้าปากไป วินาทีต่อมาแสงจากแท่นบงกชของเขาก็เจิดจ้ามากยิ่งขึ้น วานรเลือดน้ำเงินปรากฏตัวและส่งเสียงร้องคำราม ก่อนจะรวมกับร่างของเว่ยเพ่ย จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปไกลราวกับดาวตก และหายไปในพริบตาอย่างไร้ร่องรอย !!!
————-