ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 15 ถนนชุ่มเลือด
บทที่ 15 ถนนชุ่มเลือด
ซูเฉินเดินออกจากกรมพลังต้นกำเนิดก่อนก้าวออกมายังถนน
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถนนหนทางในวันนี้ดูเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนอยู่บ้าง
เมื่อมองตามทางถนนไปก็เห็นศีรษะคนผลุบโผล่อยู่เหนือกำแพงที่ล้อมรอบ
คนเหล่านั้นคือคนจากกรมพลังต้นกำเนิดที่กำลังจ้องมองซูเฉิน
ที่สุดปลายถนน มีคนหลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางซูเฉิน
เขาหันไปอีกด้าน พบว่ามีคนอีกกลถ่มกำลังมุ่งหน้าเข้ามาเช่นกัน
กำแพงสองข้างฝั่งถนนส่องสะท้อนแสงสว่างจ้า ดับหวังที่คิดจะกระโจนข้ามกำแพงหนีไป
เขาถูกปิดทางหนี ไม่อาจหลบไปทางใดได้อีก
ซูเฉินยืนนิ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินนำกลุ่มคนเข้ามาหาเขา มีอีกคนเดินตามหลังมาด้วย เขาคือซุนเม่าที่ตอนนี้เหลือแขนเพียงข้างหนึ่ง
ชายหนุ่มหัวเราะ “ผู้จัดการความรู้ซู ! พวกเราเจอกันครั้งแรก ให้ข้าได้แนะนำตัวสักหน่อย ข้าน้อยมีนามว่าหลงเฉ่าโหยว เป็นนายน้อยตระกูลหลง แม้พวกเราจะพบหน้ากันครั้งแรก แต่ก็เคยได้ยินชื่อผู้จัดการความรู้ซูมาก่อน เพราะอย่างไรก็เป็นข้าที่ยอมให้ผู้จัดการความรู้ซูได้คฤหาสน์นอกเมืองของตระกูลหลี่ไป”
ซูเฉินหัวเราะ “ยอมให้หรือ ? ขออภัยด้วย ที่ข้าเห็นคือมีคนบางคนคิดแย่งชิงมันกับเขา บีบให้ข้าต้องจ่ายเพิ่มอีก 5 พันตำลึงทอง”
หลงเฉ่าโหยวหน้าคว่ำทันที “ข้าก็อยากกล่าวเช่นนั้นตามตรง บัดซบเอ๊ย ท่านคิดชิงคฤหาสน์ที่ถูกปีศาจสิงสู่กับข้า เดิมทีข้าอยากพูดคุยเป็นกันเองกับผู้จัดการความรู้ซูยามท่านเดินทางมาถึงเสียหน่อย หากผู้จัดการความรู้ซูมีไหวพริบสักเล็กน้อย ข้าก็คงไม่คิดอะไร มอบคฤหาสน์นั่นเป็นของขวัญยามพบกันก็ยังได้ แต่เรายังไม่ทันได้พบกัน ผู้จัดการความรู้ซูกลับจับกุมตัวบริวารของตระกูลข้าไป กระทั่งทำลายแขนเขาข้างหนึ่ง ตอนนี้เลยต้องชำระหนีเก่าและใหม่ในคราเดียว”
“อ้อ ? แล้วท่านคิดจะจัดการอย่างไรดี ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ของที่ท่านนำติดตัวมามอบให้บริวารข้า ส่วนคนของท่านก็จะกลายเป็นคนของข้า”
เขาหันไปอีกด้าน พบสตรีชุดแดงกำลังก้าวเท้ามาทางเขา ด้านหลังนางมีคนเดินตามมาเช่นกัน คืออวี๋เฉิงสุ่ย
“ข้ามีนามว่าเหลียนเจี่ยว ตัว ‘เจี่ยว’ มาจากคำว่า ‘กระจ่างแจ้ง’ ไม่ใช่ ‘ฉุนเฉียว’ อย่าได้เข้าใจผิดเสียเล่า” นางหยุดเท้าห่างจากเขาไม่ไกล ในมือนางถือแส้
ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ได้ยินว่าตระกูลเหลียนมีวิชาลับที่สามารถเปลี่ยนคนเป็นทาส ครอบงำจิตใจคนได้ แต่คนผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนซากศพ ท่าทางเซื่องซึม ไม่มีจิตนึกคิดเป็นของตน ทำให้ลดความแข็งแกร่งยามโจมตีลงมาก ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง”
เหลียนเจี่ยวหัวเราะ “ฝีมือการสืบเสาะของเจ้าน่ายกย่องไม่น้อย แต่ไม่ต้องห่วง หากเจ้าทำตัวดี มันอาจสำเร็จก็เป็นได้”
“เช่นนั้นก็แปลว่าไม่ได้สำเร็จทุกครั้งไปหรอกหรือ ? เป็นวิชาลับที่แย่จริง” ซูเฉินหัวเราะ
เหลียนเจี่ยวใบหน้าทะมึน “ลองดูกับตัวก็จะรู้เองว่าวิชาลับของพวกข้าเป็นอย่างไร”
“เหตุใดต้องเสียเวลาคุยกับเขาอีก ?” หลงเฉ่าโหยวคำราม “หากไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ ลงมือเลย”
พูดจบเขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง ทหารรับจ้างที่พามาด้วยก็เริ่มกระโจนเข้ามา
แม้ทหารทั้งหลายจะจะอยู่ด่านหลอมกายา แต่ก็ได้เปรียบเรื่องจำนวนคน อีกทั้งอีกฝ่ายยังไม่ขาดผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านก่อเกิดลมปราณ
ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะอีกฝ่ายยังมีผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตมาด้วย เมื่อรวมกับคนกลุ่มใหญ่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหาวิธีรับมือกับซูเฉินได้รอบคอบมาก
ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ยังหัวเราะไม่หยุด
ยังเอ่ยขึ้นว่า “หากจับตัวข้าได้ก็แยกส่วนข้าแบ่งกันไปได้เลย”
ว่าแล้วก็หยิบยาจากในแหวนกักเก็บมาเขวี้ยงลงพื้น
ตู้ม !
กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมาปิดบังกายซูเฉินและพื้นที่โดยรอบทันที
หลงเฉ่าโหยวสีหน้าเปลี่ยน “แย่แล้ว ! เขาคิดหนี !”
“ปิดทางออกไป ! อย่าให้หนีไปได้ !” เหลียนเจี่ยวเองก็ร้องตะโกนขึ้น
ทั้งทหารรับจ้างและคนทั้งหลายต่างก็พุ่งเข้ามาในกลุ่มควัน
ขวดยาอีก 2 ขวดถูกเขวี้ยงออกมาจากกลุ่มหมอกควัน มันกระแทกลงกับพื้น ก่อเกิดเป็นหมอกควันกลุ่มใหญ่พวยพุ่งขึ้นมาอีก แต่ครั้งนี้มันกลืนทั้งถนนจนหายไป
“มองไม่เห็นเลย !”
“บัดซบ ข้ามองไม่เห็นมันเลย !”
“เร็วเข้า รีบทำลายหมอกนี่เสีย !”
“จะทำลายได้อย่างไร ! มันเป็นหมอกจากยาของนักปรุงยา ทั้งหนาทั้งทึบ แม้พายุเข้าก็ซัดมันออกไปได้ยากเลย !”
“จะกำจัดมันวิธีใดก็ได้ !”
“ฟ้าว !” เสียงลมพัดดังขึ้นจากในกลุ่มคน แม้จะไม่อาจทำให้หมอกสลายลงได้ในทันควัน แต่ตอนนี้มันก็เริ่มจางลงบ้างแล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่น้ำเสียงกรีดร้องหนึ่งดังขึ้น
“อ๊ากกกก !”
น้ำเสียงนี้ทั้งบาดแก้วหูทั้งโหยหวนเป็นยิ่งนัก แต่เสียงกลับถูกสะบั้นเงียบหายไป ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“เหล่าหวง ? เหล่าหวง เป็นอะไรหรือไม่ ?” มีบางคนจำเสียงร้องนั้นได้
แต่ไร้เสียงตอบกลับ
แต่คนที่ตะโกนถามพลันรู้สึกเจ็บสะท้านที่แผ่นหลัง เขาก้มหน้าลงมอง พบว่าตนถูกดาบเสียงทะลุร่างจากด้านหลัง
เขาเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ มองปลายดาบที่ทะลุอกเขามา คิดอยากร้อง แต่มีมือหนึ่งปิดปากไว้ จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างตอนค่อย ๆ ถูกวางนอนลงกับพื้นอย่างเงียบเชียบ
ซูเฉินเก็บดาบกลับมา จากนั้นพุ่งเข้าหาคนอื่น ๆ ต่อไป
ใช่แล้ว เขาไม่ได้หนี แต่ยืมหมอกหนาสังหารศัตรูต่างหาก
ด่านกลั่นโลหิต 6 คน ด่านก่อเกิดลมปราณ 14 คน ตอนที่คุยกันก่อนหน้านี้ เขาได้จดจำจุดที่แต่ละคนยืนไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาค่อย ๆ หาตัวคนพวกนั้นแล้วสังหารไปทีละคน
ชายหนุ่มใช้วิธีนี้รับมือกับอีกฝ่าย
เขาเป็นดั่งนักล่าสังหารมือฉกาจที่ออกล่ายามราตรี เอาชีวิตเหยื่อครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รามือ
ฉัวะ !
เสียงดาบแทงทะลุลำคอทหารรับจ้างคนหนึ่ง เลือดสาดกระเซ็นไปในอากาศ หมอกควันพลันเปลี่ยนเป็นสีโลหิต ซูเฉินดึงดาบออกท่าทางชำนาญ จากนั้นพลิกตัวกลับไปวาดดาบใส่เป้าหมายอีกคน แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มที่ถูกปิดทางหนีและอยู่เพียงลำพังไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะทำฝ่ายตนเองบาดเจ็บ
ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกล่าสังหาร เริ่มร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
“เขาไม่ได้หนีไปนี่ !”
“ทุกคนระวังตัวด้วย ! เขากำลังล่าเราอยู่ !”
“เร็วเข้า กำจัดหมอกบัดซบนี่เสีย !”
“ดูข้าไว้ !” ทหารคนหนึ่งร้องขึ้น จากนั้นผลักสองฝ่ามือไปด้านหน้า “คลื่นเมฆา !”
สิ้นเสียงตะโกน หมอกทั้งหลายก็เริ่มลอยขึ้นไปบนฟ้า ทำให้คนด้านล่างมองเห็นพื้นที่โดยรอบในที่สุด
“ดีมาก !” ทุกคนร้องขึ้นด้วยความดีใจ
บุรุษร่างใหญ่หัวเราะลั่น ดูยินดีที่ตนสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ให้พวกตนเองได้
หากแต่พริบตาต่อมา ยาอีก 3 ขวดก็ถูกปาลงพื้น หมอกหนากระจายตัวออกมาทันที
อีกทั้งก่อนที่หมอกจะปิดบังการมองเห็นไป พวกเขายังเห็นว่ามีเงาร่างคนผู้หนึ่งโฉบผ่าน พุ่งเข้าไปยังชายร่าใหญ่ที่เพิ่งจะใช้ ‘คลื่นเมฆา’ นั่น !
และเมื่อหมอกบดบังทัศนวิสัยทั้งหมด พวกเขาก็เห็นเพียงศีรษะคนกระเด็นขึ้นฟ้าไป
“ไม่ ! ไอ้บัดซบนั่น !” หลงเฉ่าโหยวเห็นบริวารตนถูกสังหารก็โกรธแค้นนัก “ข้าจะฆ่า ข้าจะฆ่าแก !”
“แต่ข้าไม่” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นที่ข้างหูหลงเฉ่าโหยว
หลงเฉ่าโหยวใจสะท้าน รีบเสือกดาบออกไปทันที
“อ๊าก !” เสียงร้องโหยหวนหนึ่งดังขึ้น
หลงเฉ่าโหยวรู้สึกยินดีในตอนแรก แต่ความยินดีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงไปในเวลาอันสั้น
คนที่ดาบสังหารคือลูกน้องเขาต่างหาก
แย่แล้ว !
หลงเฉ่าโหยวเข้าใจในทันที
ผัวะ !
ที่ท้ายทอยพลันถูกซัดด้วยแรงหนึ่ง หลงเฉ่าโหยวนัยน์ตากลอกกลับแล้วหมดสติไปทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มคนในหมอกก็เริ่มคุมสติไม่อยู่ ด้วยไม่อยากถูกซูเฉินลอบสังหาร ดังนั้นจึงตวัดดาบไปรอบกายไร้ทิศทาง ไม่ยอมให้ใครได้เข้าใกล้ แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงทำร้ายสหายร่วมทัพไปมากมาย
เหลียนเจี่ยวรู้ทันทีว่าสถานการณ์เข้าตาจน นางร้องตะโกนขึ้น “ถอย ! ออกไปจากที่นี่กัน !”
“พวกเจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น !”
เสียงเย็นยะเยือกซูเฉินดังเข้าหูนาง
เหลียนเจี่ยวซัดพลังออกไปพร้อมเสียงตะโกนลั่น ซัดท่าฝ่ามือออกไปหลายคราเข้าก็เริ่มมีคลื่นพลังโอบล้อมรอบกาย หากแต่สิ่งพุ่งมาทางนางคือลูกไฟขนาดใหญ่ที่บดบังการมองเห็นของนางไปจนสิ้น……
ในที่สุดหมอกก็สลายลง
คนที่ตวัดดาบอย่างบ้าคลั่งอยู่กลางถนนก็หยุดมือ
สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือซากศพนอนกองกันทั่วพื้น
ที่เลวร้ายที่สุดคือ หลงเฉ่าโหยวและเหลียนเจี่ยวหายตัวไปไม่เห็นแม้เงา