ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 156 เกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน
บทที่ 156 เกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน
คฤหาสน์ตระกูลเหลียน
เหลียนเฉิงซานนั่งทำหน้ามืดมนอยู่ในที่ของเขา
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญยืนอยู่ตรงหน้าเขาและพูดว่า “เราได้รับการยืนยันแล้วว่าหัวหน้าตระกูลฉวงถูกสังหารแถวเขตตะวันตกพร้อมกับผู้ติดตามทั้งหมด ทั่วตรอกเกลื่อนไปด้วยซากศพพื้นถนนเองถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือด”
“เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ ?”
ชายคนนั้นส่ายหัว “ไม่มีร่องรอยเลยขอรับ อย่างไรก็ตามเจ้ากรมเฉินจากกรมวินิจฉัยคดีได้เข้ามาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ก่อนจะพาคนจำนวนมากไปยังพื้นที่ทางตะวันตกของเมือง”
“ พื้นที่ด้านตะวันตกของเมือง… ” เหลียนเฉิงซานพึมพำ
หลินเฟิงถังงั้นหรือ ?
ซูเฉินเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก !
เหลียนเฉิงซานถอนหายใจอยู่ข้างใน
หากคิดตามเหตุและผลแล้ว เขาควรจะลงมือเคลื่อนไหวทันทีที่ทราบข่าว โดยการส่งกำลังเสริมไปยังตระกูลหลิน เพื่อล้อมจัดการซูเฉิน เหมือนกับที่คนอื่น ๆ กำลังทำอยู่ในตอนนี้
แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เหลียนเฉิงซานยังคงนั่งอยู่เฉย ๆ และไม่ทำอะไร
ชายผู้มารายงานข่าวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งอยู่เช่นนี้ “ท่านหัวหน้าตระกูล… ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ” เหลียนเฉิงซานกล่าว
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเหลียนเฉิงซานยังคงแสดงท่าทีเช่นเดิม เขาจึงรวบรวมความกล้าพูดไปว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล ! เห็นได้ชัดว่าซูเฉินวางแผนที่จะฉุดลากเราลงไปทีละตระกูล ตอนนี้มันจะต้องกำลังจัดการกับตระกูลหลินอยู่เป๋นแน่ และหากเราไม่รีบส่งกำลังเสริมไปข้าเกรงว่า … ”
“ข้าบอกว่าเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ากรมเฉินมุ่งหน้าไปแล้วหรอกหรือ ? คนอื่น ๆ เองก็น่าจะได้รับข่าวเช่นกัน แล้วเราจะต้องกังวลไปทำไม ? เจ้าไปเถอะ ข้ามีแผนของข้า” เหลียนเฉิงซานโบกมือ อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรอีกเขาจึงถอยกลับออกไป
เหลียนเฉิงซานเก็บมือกลับและลุกขึ้นเดินไปมา
เขากำจดหมายในมือไว้แน่น หายใจเข้าลึก ๆ และหลับตาลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
เสียงของคนรับใช้ที่ด้านนอกก็ดังขึ้น “ท่านหัวหน้าตระกูล มีแขกมาขอพบขอรับ”
“ใคร ?”
“ซู… ซูเฉิน”
น้ำเสียงของเขาดูตกใจและสั่นเครือเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เหลียนเฉิงซานไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด
เขาขมวดคิ้ว “มาจริง ๆ สินะ”
แน่นอนว่าเขารู้ เหลียนเฉิงซานรู้ว่าซูเฉินจะมา
“ให้เข้ามา” หัวหน้าตระกูลเหลียนกล่าว
ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ได้มายืนอยู่ในห้องโถงหลักของคฤหาสน์ตระกูลเหลียน… ตัวคนเดียว
ที่รอบข้างเขามีเหล่าสมาชิกและผู้อาวุโสของตระกูลเหลียนรายล้อมอยู่
คนเหล่านี้จ้องมองไปที่ซูเฉินด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยจิตสังหาร จนบรรยายที่ดูกระหายเลือดอบอวลไปทั่วกลุ่มคน
แต่ซูเฉินก็ทำราวกับว่าเขาไม่ได้รับรู้ถึงบรรยายกาศรอบตัวก็มิปาน ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แก่เหลียนเฉิงซานและกล่าวว่า “ซูเฉินคำนับหัวหน้าตระกูลเหลียน”
“เจ้ากรมซู ช่างกล้าหาญยิ่งนัก” เหลียนเฉิงซานพยักหน้า “เจ้าเชือดพันธมิตรของเราไปถึง 3 ตระกูล แล้วนี่เจ้ายังกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอีกงั้นหรือ ?”
“เชือด ?” ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้เชือดใคร คำว่า ‘เชือด’ ดูจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ นั่นควรจะเอาไว้ใช้เรียกการฆ่าหมู หมา กา ไก่เสียมากกว่า มันฟังดูเป็นการสังหารหมู่เหมือนผักปลาเกินไป เหล่าคนที่ข้าสังหารไปนั้นไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ไม่อาจตอบโต้ข้ากลับได้ และก็ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์เช่นกัน อีกอย่างข้าก็ไม่ได้สังหารหมู่ทั้งตระกูล ข้าเอาชีวิตแค่คนที่คุกคามข้าเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด… ไม่ใช่ 3 แต่เพียงแค่ 2 ตระกูล”
เขาชูขึ้น 2 นิ้ว
2 นิ้วเรียวขาว เด่นชัด
“2 ตระกูล ?” เหลียนเฉิงซานหรี่ตา “ตระกูลหลินยังปลอดภัยดีอยู่งั้นรึ ?”
“มีผู้เสียชีวิตแค่บางส่วนแต่ก็ไม่ได้มากนัก และคนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีสถานะสำคัญอะไรในตระกูล”
“พวกเขายอมจำนน ?” เหลียนเฉิงซานตะลึง
เขาไม่ได้โง่และเข้าใจดีว่าชายหนุ่มหมายถึงอะไร
“พวกเขายอมจำนน !” ซูเฉินตอบอย่างมั่นใจ
เหลียนเฉิงซานทิ้งตัวนั่งลง
ใครบางคนจากด้านข้างพูดขึ้น “แล้ว ? เจ้าก็เลยมาที่นี่เพื่อที่จะคุยโตโอ้อวดไปเรื่อยงั้นหรือ ?”
ผู้พูดมีชื่อว่าหม่าหยวน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณและเป็นแขกของตระกูลเหลียน เขาสถานะอยู่พอสมควรและยังได้รับความเคารพนับถือจากคนในตระกูลนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงได้รับอนุญาตให้ขัดจังหวะการสนทนาได้
“คุยโตโอ้อวด ?” ซูเฉินยิ้ม “ข้าไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้นเลย ข้าเพียงแค่มาบอกกล่าวไปตามจริง”
“แม้ว่าตระกูลหลินจะยอมจำนน แต่ก็ยังคงมีอีก 7 ตระกูลอยู่ ซูเฉินเจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะกลืนพวกเราทั้งหมดได้จริง ๆ หรือ ?” ใครบางคนพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง ดังที่ว่าเมื่อมีคนเปิดก็ยอมมีคนตาม
ซูเฉินตอบกลับ “7 ตระกูล ? ข้าไม้คิดเช่นนั้น อืม ดูเหมือนว่าข้าจะลืมบอกไปเลยว่าตอนนี้หลงชิงเจียงเองก็ยอมฟังข้าแล้ว ดังนั้น 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงยามนี้จึงเหลือเพียงแค่ 6 เท่านั้น”
อะไรนะ ?
การแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปในทันทีทันใด
ซูเฉินเริ่มกล่าวต่อ “ถึงกระนั้นการจะจัดการกับทั้ง 6 ตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ตระกูลหวังได้ถูกเจ้าเมืองอันคอยจับตามองอยู่เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถออกมาเคลื่อนไหวได้เลย เมื่อข้าโจมตีตระกูลหลิน ตระกูลอวี๋ก็ได้ส่งกำลังเสริมมาเพื่อช่วยเหลือ แต่สุดท้ายพวกเขามาได้ไม่ทันเวลาเพราะหลู่ชิงกวงส่งคนมาขวางเอาไว้ หลังจากที่ข้าออกมาจากตระกูลหลิน ข้าก็ได้ส่งหวังเหวินซิ่นและคนอื่น ๆ ไปยังตระกูลไหล ปานนี้พวกนั้นก็น่าจะไปถึงแล้ว”
“ไหลหวูอี่เคยเป็นนายเก่าของกลุ่มอันธพาลฉางชิง แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ได้พลิกกลับกันเรียบร้อยแล้ว สำหรับตระกูลเว่ยกับตระกูลเซิน พวกเขาเพิ่งจะถูกพวกท่านรังแกไปหมาด ๆ ไม่มีทางที่ฝ่ายนั้นจะออกมาเคลื่อนไหวง่าย ๆ แน่”
“อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ข้าได้ส่งหลงชิงเจียงและหลินเฟิงถังไปปิดล้อมคฤหาสน์ของทางนู้นเอาไว้ เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า สรุปก็คือพวกท่านในตอนนี้ไม่มีพันธมิตรใดให้หวังพึ่งได้เลย”
ทุกคนในห้องโถงต่างสูดหายใจเย็นเฉียบโดยพร้อมเพรียงกัน
อิทธิพลของซูเฉินได้มาจนถึงจุดนี้ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยเลยงั้นหรือ ?
เหลียนเฉิงซานส่งเสียงเหอะดูแคลน “แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็หมายความเจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่”
“ใช่ !” ซูเฉินตอบ “มีแค่ข้า ทว่าแค่ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“ไร้สาระ !”
“โอหัง !”
“บังอาจนัก !”
ความวุ่นวายและโกลาหลระเบิดออกมาทั่วห้องโถง ทุกคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจและโกรธแค้น
ซูเฉินยังคงกล่าวอย่างใจเย็น “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อสันติ และเหตุผลที่ข้าเลือกมาหาพวกท่านก็เพราะเราเคยมีข้อตกลงในการไม่รุกรานซึ่งกันและกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าได้ทำตามข้อตกลงนี้มาโดยตลอด อาจกล่าวได้ว่าตัวข้ายังไม่เคยทำอะไรที่ดูเป็นเหตุให้ตระกูลเหลียนขุ่นเคือง แต่ทว่าในการต่อสู้ที่หุบเขาทางใต้ ตระกูลของท่านกลับทำผิดข้อตกลงนี้ …ด้วยเป็นคนของท่านที่เข้ามาโจมตีข้า !”
เหลียนเฉิงซานถอนหายใจ “ต่างคนก็ต่างความคิด เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ? ข้อตกลงนี้ยังคงมีอยู่หรือไม่ ? หากการชักชวนของข้าล้มเหลว ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียนคิดที่จะจัดการข้าอีกหรือไม่ ?”
หัวหน้าตระกูลเหลียนชะงัก “นี่คือเหตุผลที่เจ้ากล้ามาคนเดียว ? เจ้าคิดว่าข้อตกลงนั้นเพียงพอที่จะปกป้องเจ้าแล้ว ?”
“ข้าแค่อยากจะเห็นว่าท่านมีความตั้งใจที่จะทำตามข้อตกลงของเราบ้างหรือไม่ก็เท่านั้น”
เขาผงะกับคำตอบของซูเฉินไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหัว “หากข้าพลาดโอกาสเช่นนี้เพียงเพราะข้อตกลงนั้น ข้าก็คงจะเป็นคนโง่เต็มที”
ซูเฉินพยักหน้า “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านถึงไม่ได้สูญเสียไปกับคำพูดที่ว่างเปล่า และชื่อเสียงเฉกเช่นคนอื่น ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียน ท่านเลือกที่จะปฏิเสธเจตนาดีของข้า ?”
เหลียนเฉิงซานรู้สึกประหลาดใจกับคำของชายหนุ่ม “เจ้าไม่มีอะไรอื่นจะพูดอีกแล้วหรือ ? เจ้าต้องการที่จะให้ข้ายอมจำนนด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ของเจ้า ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ไม่มี สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้ว หากเป็นคนมีปัญญาพอก็ย่อมจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันไม่มีความหมายที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ท่านหัวหน้าตระกูลเหลียน โปรดตัดสินใจ”
“ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าเจ้าคิดผิดไป หากเจ้ามาพร้อมกับกองกำลังเจ้าอาจจะบังคับให้ข้ายอมจำนนได้สำเร็จ แต่ด้วยตัวคนเดียว ? สถานการณ์ในเมืองธารน้ำใสยามนี้เป็นเจ้าที่สร้างขึ้น ตราบใดที่ข้าสังหารเจ้าทิ้งเสีย เรื่องต่าง ๆ ก็จะจบลงไปเอง ซูเฉิน เจ้าหยิ่งผยองเกินไป ความอวดดีนี้ทำให้เจ้าตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรง เจ้าคิดว่าไม่มีใครกล้าลงมือต่อเจ้า ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้จริง ๆ นะหรือ ?” ขณะที่พูดเหลียนเฉิงซานก็ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกของตระกูลเหลียนก็เริ่มเข้ามาปิดล้อมเขาทีละคน
ซูเฉินไม่ได้แปลกใจอะไร และทำเพียงแค่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ท่านตัดสินใจได้แล้วหรือยัง ?”
“แน่นอน” เหลียนเฉิงซานตอบอย่างมั่นใจ
ซูเฉินหัวเราะ
ชายแช่เหลียนไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้หัวเราะ ซูเฉินกระแอมเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “เหตุผลที่ท่านปฏิเสธข้า เพราะคิดว่าการที่ข้ามาที่นี่คนเดียวเป็นการมาตายอย่างเปล่าประโยชน์ ? ข้าไม่ได้กล้ามาที่นี่คนเดียวเพียงเพราะข้อตกลงโง่ ๆ นั้นหรอก”
ชายหนุ่มหลือบมองไปยังหัวหน้าตระกูลเหลียน “ในคฤหาสน์ตระกูลเหลียนนี้ รวมตัวท่านเองด้วยแล้ว ทั้งหมดก็มีผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณอยู่ 5 คน ด่านกลั่นโลหิต 21 คน ด่านทะลวงลมปราณอีก 46 คน และผู้ฝึกยุทธ์อีกรวม 300 คน บางทีท่านอาจจะคิดว่าความแข็งแกร่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับข้าคนเดียว แต่ดูเหมือนท่านจะลืมไปว่าในการต่อสู้ที่หุบเขาทางใต้ ข้าหลบหนีไปได้อย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้มากมายเช่นนี้”
สีหน้าของเหลียนเฉิงซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แน่นอน ท่านสามารถกล่าวได้ว่าตระกูลเหลียนในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อตอนนั้น แต่ข้าเองก็ไม่ใช่ตัวข้าเมื่อตอนนั้นแล้วเช่นกัน” ซูเฉินค่อย ๆ ยกดาบหั่นภูผาขึ้น “ตัวข้าในยามนี้เตรียมพร้อมมากว่าตอนนั้นมาก ! นั่นคือเหตุผลที่ข้ากล้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง และอีกเหตุผลคือ …แค่ข้าคนเดียวก็เพียงพอที่จะฆ่าพวกเจ้าทุกคนแล้ว !”