ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 159 ต่อสู้ด้วยความกล้า
บทที่ 159 ต่อสู้ด้วยความกล้า
มือของหลู่ชิงกวงชะงักค้างอยู่กกลางอากาศ
เขาต้องการที่จะลงมือ
แต่เขาไม่กล้า
“ซู… เฉิน !” หลู่ชิงกวงกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่าย ขณะที่เขาหันกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง
ซูเฉินเดินมือไพล่หลังเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่รีบร้อน
กองทหารของหลู่ชิงกวงเปิดทางให้ชายหนุ่มเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการขวางผู้มาใหม่เอาไว้ แต่มันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้
ราวกับมีดคม ๆ ตัดผ่านเนย ดั่งโมเสสแยกทะเลแดง เส้นทางเบื้องหน้าของซูเฉินถูกแหวกออกอย่างเป็นธรรมชาติและราบรื่น
ที่ตามมาอยู่ด้านหลังของเขาคือเจียงซีสุ่ย ผู้ทักทายทุกคนตามทางที่เดินผ่านอย่างร่าเริง “เป็นอย่างไรบ้าง ? ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
เมื่ออวี๋ฮัวเอี่ยนเห็นซูเฉินใกล้เข้ามา เขาก็รู้สึกสะเทือนใจจนหัวใจแทบจะพุ่งออกจากอก
ชายหนุ่มผู้เคยเป็นของแสลงและที่เกลียดชังมาโดยตลอด กลับดูน่ารักมากขึ้นมาทันตา
ชายชราตะโกนขึ้นสุดเสียง “อวี๋ฮัวเอี่ยนคำนับเจ้ากรมซู ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลอวี๋ยินดีที่จะทำทุกงานหนักโดยไม่เกี่ยงเพื่อท่านเจ้ากรม !”
“ไม่จำเป็นต้องมาทำงานอะไรเพื่อข้า ตราบใดที่พวกท่านไม่ออกอาละวาด จ่ายภาษีตรงเวลา และไม่ปกปิดจำนวนเขตที่ถือครอง ท่านก็จะได้รับการยกย่องและปฏิบัติในฐานะพลเมืองที่ดี จ่ายสิ่งที่ต้องจ่าย ทำในสิ่งที่ต้องทำ ปล่อยมือจากสิ่งที่สมควรปล่อยและปกป้องในสิ่งที่ควรปกป้องแค่นั้นก็พอ” ซูเฉินกล่าวอย่างสงบ
“แน่นอน แน่นอน” อวี๋ฮัวเอี่ยนขานตอบกลับอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ระหว่างทางการกับกลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงขึ้นตรงต่อผลประโยชน์มาแต่แรกแล้ว พวกกลุ่มพันธมิตรตระกูลมักปกปิดเรื่องที่พวกเขาเป็นเจ้าของเขตต่าง ๆ เอาไว้ไม่ยอมรายงานไปตามตรง รายได้ปีละนับล้านจ่ายภาษีคืนไม่ถึงพัน เดินกร่างอาละวาดไปทั่วราวกับว่าพวกเขาเป็นเจ้าของถนน ต่อสู้กันอย่างไม่สนสถานที่ สิ่งเหล่านี้เป็นความผิดของตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาตั้งแต่ต้น และยังเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทั้งหลายด้วย
หากพวกเขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และรักษากฎหมาย มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดปัญหาอะไรอยู่แล้ว
แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่มีอิทธิพลและหยิ่งยโสเหล่านี้จะเต็มใจยอมเชื่อฟังกฎแต่โดยดีได้อย่างไร ? นี่คือสาเหตุที่เกิดการต่อต้านขึ้นมากมาย
หากในวันนี้พวกเขาเต็มใจที่จะยอมจำนน กฎที่พวกเขาควรปฏิบัติตามก็ย่อมได้รับการเคารพอย่างแท้จริง
อวี๋ฮัวเอี่ยนที่เห็นด้วยกับชายหนุ่มอย่างเต็มที่ ทำให้ใบหน้าของหลู่ชิงกวงเริ่มดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ “ซูเฉินเมื่อครู่เจ้าพูดกับข้าว่าอย่างไรนะ ?”
ซูเฉินหันกลับมาและยิ้มให้เขา “เจ้าหูหนวกหรือ ? ถึงได้ยินสิ่งที่ข้ากล่าวได้ไม่ชัด ? เช่นนั้นข้าจะพูดให้ฟังอีกสักครั้ง ข้าบอกว่าให้เจ้าไสหัวไปเสีย หากเจ้ากล้าที่จะแตะต้องคนของข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ”
หลู่ชิงกวงจ้องเขม็งมาที่ชายหนุ่มด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
เขากำลังคำนวณว่าจะสามารถฆ่าซูเฉินได้หรือไม่ หากลงมือเคลื่อนไหวในตอนนี้จะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะทำสำเร็จ
หัวหน้าหลู่เคยได้ยินรายงานเกี่ยวกับการหลบหนีจากหุบเขาทางใต้ของอีกฝ่ายมาก่อน และเขาก็รู้ว่าซูเฉินเพิ่งจะกวาดล้างตระกูลเหลียนมา
ทว่าเพราะไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองเขาจึงไม่เคยเชื่อ
หลู่ชิงกวงไม่เชื่อว่าคนที่ไม่มีสายเลือดจะแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น และไม่เชื่อว่าซูเฉินจะทำเรื่องทำทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
เขาเชื่อว่าที่ซูเฉินหนีออกมาจากหุบเขาทางใต้ได้ก็เพราะความช่วยเหลือของหลงชิงเจียง และเชื่อว่าที่ชายหนุ่มสามารถจัดการตระกูลเหลียนได้ด้วยตัวคนเดียวก็เพราะพาข้ารับใช้เงาจำนวนมากไปด้วย
มีเหตุผลมากมายที่พบในรายงานและหลักฐานที่เพียงพอสนับสนุนจะสมมุติฐานของเขา อาทิ หลงชิงเจียงได้ช่วยซูเฉินให้หลบหนีออกมาจริง ๆ และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ไปที่คฤหาสน์ตระกูลเหลียนเพียงลำพัง
ดังนั้นหลู่ชิงกวงจึงไม่กลัว
นอกจากนี้หัวหน้าหลู่ยังมีทหารกลุ่มใหญ่ที่ภักดีต่อเขา
หลู่ชิงกวงเชื่อว่าทหารเหล่านี้ยิ่งแข็งแกร่งกว่าพวกคนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเหลียนมาก
ดังนั้นเขายังคงมีความมั่นใจและเชื่อว่าตนสามารถเอาชนะซูเฉินได้
แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เพราะยังหลี่อี้หยางคงอยู่ที่นั่น เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนและฟังดูมีเหตุผลพอ
หัวหน้าหลู่หันกลับมาและมองไปที่หลี่อี้หยาง “ท่านหลี่เห็นแล้วหรือไม่ ซูเฉินผู้นี้ทำตัวหยิ่งผยองและเอาแต่ใจอย่างกับม้าพยศ มันคิดว่าตัวเองทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ แค่เพียงเพราะตนมีผลงานอยู่บ้าง”
หลี่อี้หยางพยักหน้า “อืม มากเกินไปหน่อยจริง ๆ ใต้เท้าซูโปรดระวังคำพูดของท่านด้วย อย่างไรเสียทุกคนที่นี่ก็นับว่าอยู่ฝ่ายเดียวกัน”
คำพูดไม่กี่คำแต่ทรงพลังยิ่ง เพราะบัณฑิตอี้หยางเป็นตัวแทนของอันซื่อหยวนผู้เป็นเจ้าเมืองธารน้ำใส และผู้สนับสนุนและพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของซูเฉิน
ซูเฉินไม่ได้มองทางที่อีกฝ่าย แต่แค่พูดตอบไป “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาสั่งข้า ? ยามที่หลู่ชิงกวงต้องการสังหารคนของข้าเจ้าไปเงียบอยู่ที่ใดเล่า ? ช่างเป็นหมาที่ไร้ประโยชน์เสียจริง !”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลี่อี้หยางเป็นสวะประเภทไหน
อย่ามองเพียงแค่ว่าชายคนนี้แลดูเหมือนที่ปรึกษา
ในความเป็นจริงแล้วคนผู้นี้ไม่มีทั้งความกล้าหาญและความเฉลียวฉลาดเลยแม้แต่น้อย อันซื่อหยวนใช้เขาเป็นเครื่องตบตา ให้ทุกคนคิดว่าแผนการที่ออกมาจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองนั้นล้วนมาจากบัณฑิตอี้หยางผู้นี้
ชายที่มีนามว่าหลี่อี้หยางนี้ ไม่ใช่อะไรเลย เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสัตว์เลี้ยงหรือของประดับตกแต่งในบ้านเลย ไม่แน่ บางทีเขาอาจจะมีสถานะต่ำยิ่งกว่าสัตว์เลี้ยงในบ้านเสียด้วยซ้ำ !
แต่ยังไงเขาก็ยังคงเป็นคนของอันซื่อหยวน
หากจะตีสุนัขก็ต้องดูหน้าเจ้าของให้ดีก่อน
การทำให้สุนัขอับอาย เจ้าของก็ย่อมจะรู้สึกเสียหน้า
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่สนใจแม้แต่น้อย !!!
การแสดงออกของหลี่อี้หยางเปลี่ยนไปในทันใด เขาชี้ไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างตะกุกตะกัก “เจ้า… จะ เจ้า… เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า !”
ซูเฉินเหลือบตามอง “หากเจ้ายังไม่หยุดชี้มาที่ข้า ข้าจะตัดนิ้วและหักแขนนั่นทิ้งซะ แล้วทำให้เจ้าใช้มือข้างนั้นไม่ได้อีกต่อไป… ยังอยากจะลองชี้หน้าข้าต่ออยู่ไหม ?”
ชายแซ่หลี่ผงะถอยไปด้วยความหวาดกลัว เขาดึงมือกลับทันทีและไม่กล้าชี้อีกต่อไป ทำได้เพียงมองไปทางหลู่ชิงกวงด้วยความกลัว
ดวงตาของหลู่ชิงกวงทอประกายแสงอย่างประหลาด “แม้แต่คนของเจ้าเมืองเจ้าก็ยังกล้าต่อว่างั้นหรือ ? ซูเฉิน เจ้ามันบ้าไปแล้ว หรือหลังจากจัดการ 10 ตระกูลจนหมดแล้ว เจ้าคิดจะจัดการเจ้าเมืองอันด้วย ?”
“ข้าจะจัดการกับใครต่อมันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า แต่คนที่ข้าจะจัดการเสียตอนนี้ก็คือเจ้า !” ซูเฉินกล่าวอย่างชั่วร้าย
พร้อมกันนั้นดาบเล่มหนึ่งก็ถูกเขาหยิบออกมา ดาบหั่นภูผา !
เขาก้าวตรงไปข้างหน้า ก้าวย่างหมอกอสรพิษ !
ชายหนุ่มพุ่งผ่านกองทหารนับร้อยตรงเข้าหาหลู่ชิงกวง
จู่โจมในทันที !
หากบอกว่าจะสู้ ก็คือสู้ !
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างมากของชายหนุ่มทำให้ทุกคนต้องตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดและไม่มีใครสามารถตอบสนองได้ทันเวลา
“ขวางมันไว้ !” หลู่ชิงกวงตะโกนเสียงดัง
แม้เขาจะดูถูกซูเฉินในทุกรูปแบบ แต่อย่างน้อยหัวหน้าหลู่ก็ไม่เคยคิดว่าเขาแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายหากเป็นการปะทะกันตัวต่อตัว และไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกกับซูเฉิน
ความดุร้ายของเขาเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าตนมีกองกำลังกลุ่มใหญ่อยู่ภายใต้บัญชา ใช้งานคนกลุ่มนี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดย่อมเป็นทางเลือกของเขา
เหล่าทหารต่างก็พากันดึงดาบออกมา
ปลายดาบจำนวนมากมายชี้ตรงไปที่ซูเฉิน
ในเวลาเดียวกับที่กองทหารลงมือ เจียงซีสุ่ยเองก็ลงมือเช่นกัน
เขาเหวี่ยงแขนโยนกระเป๋าออกไป
กระเป๋าเต็มไปด้วยเหล้ามากมาย
เหล้าที่เพิ่งถูกนำออกมาจากศาลาพันสมบัติ เหล้าวายุทอง
เหล้าหกออกไหลจากมาปากไห กระจายกลิ่นหอมไปทั่วทุกที่
ช่างเป็นกลิ่นที่หอมรัญจวนอย่างยิ่ง
พริบตานั้นละอองหยดเหล้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็แหวกผ่าอากาศยิงใส่ทหารทีละนาย
ทหารที่อยู่รอบ ๆ ซูเฉิน ลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศก่อนจะตกลงมากระแทกพื้น
หยดเหล้าซึมทรกซึมเข้าไปในร่างกายของพวกเขา มุ่งตรงสู่สมองของพวกเขาทำให้เกิดอาการวิงเวียนในทันที
เหล้าเพียงหยดเดียวก็ทำให้คนเมาได้
ไม่ใช่เพราะเหล้ามีรสเข้ม แต่เป็นเพราะฝีมือของเจียวซีสุ่ยนั้นแม่นยำมากถึงระดับที่สามารถส่งเหล้าตรงเข้าไปในสมองของพวกเขาได้โดยตรง
“ช่างหอมเหลือเกิน” ทหารสองสามคนถึงกับพึมพำก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
ซูเฉินยังคงพุ่งไปข้างหน้า
ไม่มีใครหยุดเขาได้เลย
ภาพคล้ายมนุษย์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เงาเพลิงอวตาร !
ดาบหั่นภูผาเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ซูเฉินยังคงพุ่งต่อไปข้างหน้า กลายเป็นดาบยักษ์เปล่งประกาย มันถูกยกสูงขึ้น เงาสะท้อนของดาบปรากฏอยู่ในดวงตาของหลู่ชิงกวง
ฟาดลงมา
ดาบแสงขนาดใหญ่กวาดไปไกลกว่า 30 จั้ง !
ช่างเป็นดาบที่ยิ่งใหญ่ โหดร้าย และเฉียบคมยิ่ง !
ความคิดเหล่านี้แล่นไปทั่วจิตใจของหลู่ชิงกวง แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้าลงเลย
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ซูเฉินโจมตี เขาก็ปิดใช้งานเกราะและทักษะวิชาป้องกันต่าง ๆ รวมถึงวิชาระลอกคลื่นด้วย จากนั้นเขาก็ยกหอกทองค้ำสมุทรเข้าปะทะกับดาบหั่นภูผาของอีกฝ่าย
เคร้ง !
เสียงโลหะดังก้องกังวาน ราวกับเสียงระฆังยักษ์ยามเย็นดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
จากนั้นหลู่ชิงกวงก็เห็นว่าคลื่นพลังที่เขาปล่อยออกมาชนเข้ากับเงาเพลิงอวตารของซูเฉิน ทำให้เปลวเพลิงกระจายออกไปเล็กน้อย ก่อนที่จะจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ต่อมาหอกทองค้ำสมุทรของเขาก็แตกออกเป็น 2 ซีก เกราะและโล่ทั้งหมดบนร่างเองก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และหายไปทันที
และในที่สุดก็เป็นตัวของเขา พร้อมกับเสียงฉีกเบา ๆ เส้นโลหิตบาง ๆ ก็ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าผากหลู่ชิงกวง และกระจายไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
“กลายเป็นว่าเจ้าแข็งแกร่งอยู่แต่แรกแล้ว… ”
หลู่ชิงกวงอยากจะกล่าวต่อ แต่ก็พูดได้ไม่จบประโยค ร่างของเขาแกว่งเล็กน้อยก่อนที่ร่างของเขาจะแยกออกเป็น 2 ส่วนตามขวาง
สังหารในดาบเดียว !