ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 161.2 การบีบบังคับขั้นสุดท้าย (2)
บทที่ 161 การบีบบังคับขั้นสุดท้าย (2)
เป็นหลี่อี้หยางที่มาแจ้งข่าว
บัณฑิตอี้หยางยังมีชีวิตอยู่ แต่ทั้งร่างของเขากลับสั่นสะท้านไม่หยุดด้วยความกลัว ใบหน้าของเขาขาวซีดริมฝีปากม่วงคล้ำ แม้แต่เสียงก็สั่นจนคำพูดก็ตะกุกตะกักจับคำไม่ได้เลย เขาต้องพูดย้ำกับตัวเองถึง 3 รอบ ก่อนจะสรุปความเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เจ้าเมืองฟังเข้าใจได้
“เรื่องก็คือหลู่ชิงกวงถูกมันสังหารในดาบเดียว ?” อันซื่อหยวนเลิกคิ้วของเขาและถามย้ำยืนยันเรื่องราว
เขาไม่สนใจว่าทำไมซูเฉินถึงฆ่าหรือเขากล้าฆ่าได้อย่างไร อันซื่อหยวนสนใจเพียงแค่ว่าวิธีที่ซูเฉินใช้ในการฆ่าหลู่ชิงกวงเท่านั้น
สังหารในดาบเดียว !
หลู่ชิงกวงถูกสังหารด้วยการฟาดดาบเพียงครั้งเดียว
แม้ว่าการโจมตีครั้งนี้ จะเป็นการรวมพลังและจิตวิญญาณทั้งหมดของซูเฉิน มันก็ยังถือว่าค่อนข้างน่ากลัวพอสมควร
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถฆ่าเซินอวิ๋นหงได้
อันซื่อหยวนถามอีก “มันได้พูดอะไรอีกหรือไม่ ?”
“มันบอกว่า… มันจะ… ส่วนตัว… มาเป็นการส่วนตัว… ให้ท่านเจ้า… ท่านเจ้าเมือง… คำอธิบาย” หลี่อี้หยางพูดอย่างตะกุกตะกักอีกครั้ง
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ อันซื่อหยวนก็เกิดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เขาแตะหน้าของหลี่อี้หยางและพูดเบา ๆ ว่า “ซูเฉินคนเดียวก็ทำให้เจ้าตกใจได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ ? เจ้ายังเป็นที่ปรึกษาและนักวางกลยุทธ์ของข้า แต่เจ้าจะอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร หากเจ้ายังกลัวจนเป็นแบบนี้ ?”
ชายแซ่หลี่เริ่มร้องไห้ “ผู้ชายคนนั้นช่างน่ารังเกียจ… มัน… มันขู่ให้ข้ากลัว”
เสียงของเขาเริ่มดังขึ้นเล็กน้อย
อันซื่อหยวนถอนหายใจ “ยามนี้เจ้าไม่ควรทำท่าทางแบบนั้นเลย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากทำเช่นนี้กับเจ้า แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
“นายท่าน… ” หลี่อี้หยางจ้องไปที่เจ้านายของตนด้วยความตกใจ มือของเจ้าเมืองอันคว้าจับและบีบคอของเขาแน่น
บัณฑิตอี้หยางพยายามแงะมือของอีกฝ่ายออกอย่างเกรี้ยวกราด แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือนั้นได้เลย
ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปูดออกมา ก่อนที่แขนของเขาจะร่วงลงที่ข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงในที่สุด
อันซื่อหยวนโยนร่างในมือทิ้งและเช็ดมือของเขา “มาเพื่อให้คำอธิบายกับข้าด้วยตัวเอง ? ช่างขยันทำเล็กน้อยให้เรื่องยุ่งยากขึ้นเสียจริง”
นอกจากหวังซานหยูแล้ว ไม่มีใครได้เห็นฉากฆาตกรรมนี้ทั้งนั้น
แต่หัวหน้าตระกูลหวังก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไร เขารู้จักงานอาการเสพติดที่เป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายดี มันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม การลงมือสังหารอย่างกะทันหันของอันซื่อหยวน ทำให้เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมาก
หวังซานหยูไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขาจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เนื่องจากมันดูเหมือนว่าข้อตกลงที่เพิ่งจะเจรจาเสร็จสิ้นไป กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
อันซื่อหยวนตกอยู่ในความเงียบขณะที่เขารอ
หลังจากนั้นไม่นานซูเฉินก็มาถึง
ชายหนุ่มมาเพื่อให้คำอธิบายแก่อันซื่อหยวนเป็นการส่วนตัวจริง ๆ
และเขาก็ได้รวบรวมทุกคนมาด้วยกันเพื่อคำอธิบายนั้น
กลุ่มอันธพาลฉางชิง กลุ่มพยัคฆ์ร้าย กองกำลังสามสายธาร ตระกูลหลง ตระกูลหลิน ตระกูลอวี๋ และกลุ่มคนอีกจำนวนมาก
มีแม้กระทั่งตระกูลเว่ย !
ตระกูลเว่ยก็ยอมจำนนเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้อันซื่อหยวนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เขามองไปที่ซูเฉิน “เจ้าทำได้อย่างไร ?”
ซูเฉินตอบว่า “ข้าสัญญากับเว่ยเพ่ยว่า ตราบใดที่มันตกลงจะฟังข้า ข้าจะช่วยปรุงยาที่จะทำให้มันกลับไปสู่ด่านสู่พิสดารภายใน 1 ปีให้”
“เหตุใดมันถึงได้เชื่อว่าเจ้ามีความสามารถขนาดนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น”
ซูเฉินตอบว่า “การกลับไปสู่ด่านสู่พิสดารไม่เพียงแต่จะต้องใช้ยาเท่านั้น ทว่าจำต้องใช้ทักษะที่เหมาะสมด้วย และมันต้องการพลังจิตจำนวนหนึ่งจากนักปรุงยาด้วย ข้าไม่ได้เป็นแค่นักปรุงยาแต่ยังเป็นหมอที่มีความเข้าใจร่างกายมนุษย์และหลักการไหลเวียนเป็นอย่างดี (1) นอกจากนี้ระดับพลังจิตของข้าก็มากพอสำหรับงานนี้ ดังนั้นในแง่ของความสามารถ อย่างน้อยข้าก็มีคุณสมบัติครบตรงตามข้อกำหนดขั้นพื้นฐาน”
ซูเฉินหยุดลงครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตอนนี้ข้าอยู่ในด่านทะลวงลมปราณแล้ว และอยากที่จะไปให้ถึงด่านสู่พิสดาร การทะลวงเข้าสู่ด่านทะลวงลมปราณนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร แม้แต่คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเองก็ยังต้องลองพยายามอยู่หลายครั้ง แต่คนที่ทำสำเร็จกลับมีน้อยกว่า 1ใน 100 เพื่อให้มั่นใจว่าการทะลวงผ่านของข้าจะประสบความสำเร็จ ข้าจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารสัก 2-3 คนให้ข้าได้ลองศึกษา หัวหน้าตระกูลเว่ยเคยอยู่ในด่านสู่พิสดารมาก่อน แต่ในตอนนี้พลังของเขากลับมาอยู่ที่ด่านทะลวงลมปราณ ทำให้หัวหน้าเว่ยกลายเป็นตัวทดลองวิชาที่สมบูรณ์แบบ โอกาสแบบนี้หายากอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าจะเป็นคนปรุงยาให้ ส่วนทางนั้นก็จะสนับสนุนการทดลองของข้า เช่นนี้ก็ได้ประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย นี่คือสาเหตุที่ทำให้ข้าเต็มใจที่จะทำ”
อันซื่อหยวนสับสน “เจ้าไม่กลัวว่ามันจะกลับมาสร้างปัญหาให้ หลังจากที่ได้กลับไปอยู่ในด่านสู่พิสดารได้แล้วเลยหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะและตอบว่า “ข้ากลัวว่าท่านเจ้าเมืองจะปล่อยหวังซานหยูไปมากกว่า พวกเราทุกคนที่นี่จะต้องทรมานกับการตัดสินใจนั้นเป็นแน่”
สีหน้าของเจ้าเมืองอันมืดมน “ซูเฉิน เจ้ากำลังพยายามบอกข้าว่า ข้าควรต้องทำอย่างไรงั้นหรือ ?”
ซูเฉินยิ้ม “ซูเฉินมิกล้า ข้าแค่ไม่ต้องการเลี้ยงลูกเสือให้โตมาแว้งกัดข้าก็เท่านั้น ที่จริงสิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ 2 อย่าง”
“โอ้ ? แล้ว 2 สิ่งนั่นคือ ?”
“อย่างแรกคือเพื่อทำหน้าที่ของข้า ระยะเวลาของการอยู่ในตำแหน่งของข้าในเมืองธารน้ำใสแห่งนี้มีเพียงแค่ 10 ปี หลังจาก 10 ปีข้าก็จะมีอิสระที่จะทำตามที่ต้องการ แต่ในสิบปีนี้ข้าอยากที่จะทำงานของตัวเองให้ดี และตอนนี้มันก็เหลืออีกเพียง 4 ปีเท่านั้น”
“แล้วอย่างที่สองล่ะ ?”
“ข้าต้องการทำการทดลองของตัวเองอย่างเงียบ ๆ และสงบ โดยปกติแล้วตราบใดที่ไม่มีใครมายั่วโมโหข้า ข้าก็ไม่คิดที่จะไปยุ่งกับใคร”
“แล้วถ้าหากพวกเขายั่วยุเจ้า ?” อันซื่อหยวนถามอย่างสงสัย
ซูเฉินตอบว่า “ตราบเท่าที่มันไม่ใช่ความเกลียดชังที่ปล่อยวางไม่ได้ ข้าก็ไม่ได้อยากจะไปวุ่นวายอะไรมากนัก อาทิเช่น คนคิดร้ายกับข้าเมื่อ 5 ปีก่อนแต่ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้สนใจอะไร”
อันซื่อหยวนเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังกล่าวถึงเรื่องที่หลู่ชิงกวงแอบสับเปลี่ยนความลับของกองทหารเกราะโลหิตเมื่อหลายปีก่อน
“แต่ตอนนี้เจ้าก็จัดการมันแล้วนี่”
“นั่นเป็นเพราะมันยั่วโมโหข้าอีกแล้ว” ซูเฉินตอบ “จริง ๆ ข้าก็แค่อยากอยู่อย่างสงบ ใช้เวลาไปกับการค้นคว้าวิจัยไปวัน ๆ”
“ทำไม ?” อันซื่อหยวนไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าถึงได้ยืนกรานที่จะทิ้งโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเจ้า แล้วเลือกที่จะจมปรักหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยพวกนั้นแทนกัน ?”
“ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง” ซูเฉินตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เหตุผลของข้าคือการไปให้ถึงจุดสูงสุดของการเชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในฐานะคนไร้สายเลือด แต่ตอนนี้ข้ายังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ แล้วข้าจะมีเวลาที่ไหนไปสนใจ สู้เพื่อตำแหน่งหรือสถานะทางการงานกัน ?”
“น่าเสียดายที่โลกเป็นเหมือนเกมหมากรุกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ทุกที่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เจ้าจะนั่งดูอยู่ข้างนอกเฉย ๆ โดยไม่โดนลากเข้ามาด้านใน”
“ข้าก็แค่ต้องทำให้ดีที่สุดก่อน ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยที่สุดมันก็ถือว่าข้าได้ลองพยายามแล้ว”
อันซื่อหยวนถอนหายใจยาว “ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็จะหมกตัวอยู่กับงานค้นคว้าของเจ้าและจะไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกเลย ?”
“ข้ายังคงต้องจัดการดูแลงานในหน้าที่ของข้าที่กรมพลังต้นกำเนิดและคอยติดตามสถานการณ์ของเพื่อน ๆ อยู่”
“ถ้าทุกคนสบายดี ?”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็คงจะอยู่ของข้าอย่างนั้นต่อไป” ซูเฉินตอบกลับอย่างชัดเจน
เมื่อการหารือมาถึงจุดนี้ ทุกคนก็เข้าใจจุดยืนของชายหนุ่มแล้ว
อันซื่อหยวนมีแผนการของเขา แต่ซูเฉินไม่ได้คิดที่จะเผชิญหน้ากับเขา เพราะชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ตราบเท่าที่ทุกอย่างกลับมาอยู่ถูกที่ถูกทาง แผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายอะไรมากนัก ก็นับว่าอยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้
เขาจะยังคงเคารพอันซื่อหยวนและเชื่อฟังคำสั่งของอีกฝ่าย
จนกระทั่งครบกำหนดช่วงเวลา 4 ปีที่เหลือ
นี่คือสัญญาณแห่งสันติภาพ
บางคนอาจจะรับได้
บางคนอาจจะปฏิเสธ
และอันซื่อหยวนเลือกที่จะยอมรับมัน
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะระแวงและสงสัยชายหนุ่มอยู่บ้างก็ตาม แต่คำอธิบายที่ละเอียดและชัดเจน ทำให้อันซื่อหยวนเต็มใจที่จะลองเชื่อดูสักครั้ง
ไม่ใช่ว่าทุกความขัดแย้งหรือความขุ่นเคืองกัน จำเป็นจะต้องแก้ไขด้วยการย้อมถนนด้วยเลือดเสียเมื่อไหร่
เจ้าเมืองอันพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ ตามที่เจ้าต้องการ”
เขาหันกลับมาและพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะรับของขวัญชั้นดีของเจ้าไม่ได้เสียแล้ว”
ใบหน้าของหวังซานหยูซีดเผือด “หากข้ายอมสละทุกอย่างและฆ่าตัวตายเอง นั่นพอจะช่วยรับประกันความปลอดภัยของตระกูลหวังของข้าได้หรือไม่ ?”
อันซื่อหยวนมองไปที่ซูเฉิน
ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าเป็นเพียงแขกของที่แห่งนี้ อีกไม่นานข้าจะเป็นเหมือนห่านที่บินอยู่เหนือเมฆ แม้ว่าบางคนที่นี่จะรู้สึกไม่พอใจในตัวข้า แต่ข้าก็ไม่ได้กังวลว่าพวกเขาจะทำอะไรข้าบ้าง หากเจ้าเมืองอันไม่รังเกียจข้าก็ไม่รังเกียจเช่นกัน”
อันซื่อหยวนพยักหน้า
หวังซานหยูถอนหายใจยาว “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ใช้ฝ่ามือ ฟาดเข้าที่กลางหน้าผากของตัวเอง
*****
สังคมจีนให้ความสำคัญกับความสมดุลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพของมนุษย์ ความไม่สมดุลของการไหลเวียนในร่างกายมักจะเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ