ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 164 ขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์
บทที่ 164 ขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์
“ไม่มีอะไรมากหรอก หลายปีมานี้ทางอารามพบสถานที่ลับโบราณอีกหลายแห่ง” เยี่ยเม่ยนั่งไขว่ห้างเอ่ยคำคลุมเครือ
“ข้าไม่แปลกใจเลย” ซูเฉินว่า
ช่วงนี้อารามนิรันดร์เสื่อมโทรมลงเร็วมาก หลายปีที่ผ่านมา หากไม่ลอบสังหารใคร ก็จะหาสมบัติไปทั่ว ซึ่งสองอย่างนี้ก็มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกันนัก
อาทิเช่น การลอบสังหารเยว่อูตี้ของอารามนิรันดร์นั้นก็เพื่อให้สามารถเปิดเนินกลบวิญญาณได้อย่างปลอดภัยและได้ดอกซากวิญญาณมา ดอกไม้เหล่านี้นำไปใช้ปรุงยาได้มากมาย ขายแล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำ จากนั้นก็เอาไปสังหารคนได้อีกมาก
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร
ไม่ว่าจะพูดออกมาแบบไหน เบื้องหลังเรื่องราวทุกอย่างส่วนมากก็มีพื้นฐานเช่นนี้ทั้งสิ้น
อารามนิรันดร์เองก็ไม่ต่าง
ต้องตะเกียกตะกายอยู่กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ทุกวัน
เมื่อเยี่ยเม่ยบอกว่าพวกนางเจอสถานที่ลับที่อยากเข้าไปอีก ซูเฉินจึงไม่แปลกใจ หากพูดเรื่องอื่นสิเขาคงได้ประหลาดใจ
“แล้วทำไมถึงต้องใช้ยาวิญญาณโกลาหลเพื่อเข้าสถานที่ลับนั่นด้วย ?” ซูเฉินถาม
“เพราะสถานที่ลับนี้มีเจ้านาย”
“มีเจ้านายด้วย ?” ซูเฉินตกตะลึงนัก
เยี่ยเม่ยอธิบายให้ฟัง ซูเฉินถึงเข้าใจเรื่องราว
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่แดนลับที่หายไปกับกาลเวลา แต่เป็นสถานที่ที่ถูกค้นพบมาแล้วเมื่อพันกว่าปีก่อน มันเป็นปราสาทโบราณจากสมัยราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ ทำให้ตัวปราสาทนับเป็นสมบัติล้ำค่า แค่มันผ่านกาลเวลายาวนานเช่นนี้มาได้ก็ล้ำค่ามากแล้ว
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ปราสาทหลังนี้ตกไปอยู่ในมือคนหลายคน ตอนนี้มันเป็นของหัวหน้าเผ่าเกล็ดทรายที่มีชื่อว่าปัวเอ่อร์
เผ่าเกล็ดทรายนั้นคล้ายกับเผ่าหินผาและเผ่าจันทรา พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่โดยทั่วไปแล้วก็อาศัยปะปนอยู่กับเผ่ามนุษย์
ดังนั้นเผ่าเกล็ดทรายจึงไม่อาจเทียบมนุษย์ได้ทั้งเรื่องฐานะและความแกร่งของทั้งเผ่า
ทว่าที่นั่นก็มีเผ่าเล็กเผ่าน้อยอีกหลากหลาย เผ่ามนุษย์จึงได้มอบดินแดนบางส่วนให้กับเผ่าเหล่านี้ เผ่าเกล็ดทรายคือหนึ่งในผู้โชคดี ไม่ต้องเร่ร่อนเช่นเผ่าหินผา มีผืนดินที่เป็นเขตแดนของตนเพียงผู้เดียว ชื่อว่าปราการหงส์เดียวดายบนเกาะหุบเหว
ปัวเอ่อร์เป็นผู้ปกครองผืนดินผืนนี้
หรือก็คือเขาเป็นผู้ถือครองทั่วทั้งเผ่าเกล็ดทรายนั่นเอง
ตามที่อารามนิรันดร์สืบค้นมา ปราสาทหลังนี้เคยเป็นของปรมาจารย์เผ่าวิญญาณมาก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ทิ้งเครื่องรางไว้ทั่วปราสาทหลายชิ้น และแม้พวกมันจะถูกคนที่ค้นพบปราสาทแบ่งไปแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังพอมีบางอย่างเหลือทิ้งไว้บ้าง
…ทำให้ทางอารามนิรันดร์ได้พบว่าสมบัติล้ำค่าที่สุดของปรมาจารย์เผ่าวิญญาณนั้น ยังอยู่ภายใน ไม่มีใครได้ไปครอง !
“แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ได้ยินมาจากเผ่าวิญญาณ” เยี่ยเม่ยตอบ
อารามนิรันดร์ประมือกับเผ่าวิญญาณมาหลายคนในช่วงหลายปี หลังจากสูญเสียไปมากมายเพื่อกำจัดเผ่าวิญญาณเหล่านั้นแล้ว สุดท้ายก็พบว่าเผ่าวิญญาณเหล่านั้นหมายตาปราสาทไหลน่าตะวันตกไว้
จากคำไม่กี่คำที่เค้นออกจากปากพวกเผ่าวิญญาณได้นั้น อารามนิรันดร์จึงรู้ได้ว่าปราสาทไหลน่าซึ่งเคยเป็นของเผ่าวิญญาณยังมีสมบัติซ่อนอยู่
เผ่าวิญญาณพวกนั้นจะไปที่นั่นเพื่อพยายามค้นหาสมบัติเหล่านั้นนั่นเอง
และเมื่อดูจากเผ่าวิญญาณจำนวนมากที่พวกเขาพบแล้ว อารามนิรันดร์จึงสรุปว่าสมบัตินั้นคงจะมีค่ามากเป็นแน่
“แล้วเผ่าวิญญาณพวกนั้นรู้ได้อย่างไรว่ายังมีสมบัติเหลืออยู่ ?” ซูเฉินถาม “ส่วนมากพวกนั้นอาศัยอยู่สันโดษ ถึงซากปราสาทจะถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์เผ่าวิญญาณจริง แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เผ่าวิญญาณคนอื่น ๆ มารู้ความได้ ถึงได้เดินทางมาคนแล้วคนเล่าเช่นนี้”
“นั่นก็เพราะปราสาทนี่เหมือนจะเป็นขาปี่เอ๋อซือทิ้งไว้น่ะสิ”
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” ยามได้ยินชื่อนั้น ซูเฉินก็ผุดลุกขึ้นทันที “ขาปี่เอ๋อซือ ? ขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์หรือ !?”
“ในเผ่าวิญญาณมีเพียง 3 คนที่มีชื่อ 4 พยางค์” เยี่ยเม่ยเอ่ยให้ความกระจ่างอย่างหาได้ยาก “นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครได้อีก ?”
“ขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์ !” ซูเฉินใจสะดุด เกือบจะสะดุ้งตัวโยน ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นไว้ได้
ขาปี่เอ๋อซือคือใครกันหรือ ?
เป็นหัวหน้าคนที่สองของเผ่าวิญญาณอย่างไรเล่า !
เพราะความสามารถที่ไม่มีวันแก่เฒ่า หมื่นกว่าปีที่ผันผ่านมา เผ่าวิญญาณจึงมีหัวหน้าเพียง 3 คนเท่านั้น
อาเจียหลิวซือผู้เป็นอมตะ ขาปี่เอ๋อซือผู้เป็นนิรันดร์ และมั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล
ขาปี่เอ๋อซือเป็นหัวหน้าคนที่สองของเผ่าวิญญาณ ประสบความสำเร็จต่าง ๆ จำนวนมากอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับเขาอยู่มากมาย
ผลงานยิ่งใหญ่ที่สุดของขาปี่เอ๋อซือต่อเผ่าวิญญาณคือโครงการ ‘แนวคิดการแผ่พลัง’
ในปี 8300 ของยุคดาราใหม่ เหมืองพลังต้นกำเนิดของเผ่าวิญญาณเกิดระเบิดขึ้น ตำหนักอุบัติชีวาถูกทำลาย มารดาผู้ให้กำเนิดได้รับบาดเจ็บ เผ่าวิญญาณจึงหันไปหาพวกเผ่าจิตวิญญาณทมิฬ ดังนั้นจึงมีเผ่าวิญญาณอยู่ 2 แบบ แบบแรกได้มาจากครรภ์มารดาผู้ให้กำเนิดที่ยังเหลืออยู่ ส่วนแบบที่สองนั้นมาจากการกลายวิญญาณของเผ่าจิตวิญญาณทมิฬ ถึงกระนั้นเผ่าจิตวิญญาณทมิฬที่ถูกกลายมาก็อาจไม่ได้เต็มใจร่วมมือกับเผ่าวิญญาณมากนัก ไม่เพียงแต่โอกาสสำเร็จมีต่ำ แต่กำลังหลังจากถูกกลายวิญญาณแล้วก็จะลดน้อยลงกว่าเผ่าวิญญาณปกติด้วย
เผ่าวิญญาณที่ขาดกำลังไม่อาจหาสิ่งใดมาเสริมกำลังที่ลดลงได้ พวกเขาจึงตอบปฏิเสธเด็ดขาด
แผนบ่อน้ำแห่งความอมตะจึงต้องหยุดชะงักลงด้วยประการนี้
ในปี 9600 ของยุคดาราใหม่ เผ่าวิญญาณระดับสูงนาม ข่าซือเปลี่ยนชื่อเป็นขาปี่เอ๋อซือ เขาร่วมสังคมผู้อาวุโสอย่างเป็นทางการนับแต่นั้น
ในปีนั้น ขาปี่เอ๋อซือเสนอโครงการ ‘แนวคิดการแผ่พลัง’ โดยหวังใช้หลักการของพลังต้นกำเนิดในด้านแนวคิดการแผ่พลัง เพื่อเพิ่มขีดจำกัดของเครื่องมือกลายวิญญาณ มันจะได้ไม่เพียงใช้ได้แต่กับเผ่าจิตวิญญาณทมิฬเท่านั้น
หากความคิดนี้ถูกเสนอขึ้นในช่วงเวลาอื่นก็คงถูกปฏิเสธไปแล้ว ทว่าหลังจากตำหนักอุบัติชีวาถูกทำลายลง ผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณที่เหลืออยู่จึงยอมตกลง
แต่กระนั้นก็ยังมีเผ่าวิญญาณระดับสูงหลายคนที่ไม่ยอมรับพวกที่กลายวิญญาณมาจากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬ
แต่ถึงจะมีผู้ต่อต้านมากมาย แนวคิดการแผ่พลังของขาปี่เอ๋อซือก็รุดหน้าไปรวดเร็วนัก เผ่าวิญญาณเริ่มเข้าโจมตีเผ่าอื่น ๆ อย่างบ้าคลั่งแล้วจับตัวมาทดลอง ส่งผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายของพวกตนให้เผ่าอื่น
ในปี 13000 ของยุคดาราใหม่ เผ่าวิญญาณหนุ่มนามม่อค้นพบคนจากเผ่าอื่นที่กลายวิญญาณไม่สำเร็จแต่กลับรอดชีวิตโดยบังเอิญ ทั้งยังใช้จิตควบคุมได้ง่ายนัก ดังนั้นคนผู้นั้นจึงกลายเป็นทาสของม่อ อีกทั้งทาสพลังจิตเช่นนี้ก็จะคงอยู่ตลอดกาล
ม่อพบว่าแม้เครื่องมือกลายวิญญาณอาจจะไม่สามารถกลายวิญญาณของคนเผ่าอื่นโดยสมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังผลให้บางส่วน ทำให้ถูกควบคุมได้ง่ายดายขึ้น
การค้นพบนี้สั่นสะเทือนทั่วทั้งเผ่าวิญญาณ จุดมุ่งหมายของโครงการแนวคิดการแผ่พลังเริ่มแปรผันไปช้า ๆ กลายเป็นการสร้างทาสพลังจิตจำนวนมากขึ้นแทน
นับแต่นั้นมา ทาสพลังจิตของเผ่าวิญญาณก็สั่นสะเทือนทั้งทวีปต้นกำเนิด
กล่าวได้ว่าหากไร้แนวคิดการแผ่พลังของขาปี่เอ๋อซือ เผ่าวิญญาณก็คงไม่มีวิชาบงการจิตทาสที่น่าเกรงขามเช่นนี้ได้
ตอนนี้อารามนิรันดร์พบว่าปราสาทไหลน่าตะวันตกดูเหมือนจะเป็นที่ที่ขาปี่เอ๋อซือทิ้งสมบัติไว้ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีเผ่าวิญญาณปรากฏตัวขึ้น อารามนิรันดร์จึงจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่าเก่า
พวกเขามีเหตุผลมากพอที่จะเชื่อได้ว่ามีสมบัติลับซ่อนอยู่ในปราสาทไหลน่าตะวันตก
และหากต้องการเอาสมบัติออกจากปราสาท ก็ต้องจัดการเจ้าครองแดนอย่างปัวเอ่อร์ก่อน
“แผนเจ้าคือหาสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือในปราสาทที่เป็นของหัวหน้าเผ่าเกล็ดทรายงั้นหรือ ?”
“ใช่ !” เยี่ยเม่ยพยักหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นข้าจะแก้ให้เจ้าคำหนึ่ง ภารกิจครั้งนี้ของเจ้าไม่ใช่หาสถานที่ลับ”
“เช่นนั้นจะเรียกว่าอะไรเล่า ?”
“เรียกว่าปล้น !”