ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 24 เก็บกวาด
บทที่ 24 เก็บกวาด
หลังจากออกจากถนนสายหลักมา รถม้าก็ไม่ได้กลับไปยังคฤหาสน์ซู แต่กลับมุ่งหน้าเข้าเมืองไปยังกรมพลังต้นกำเนิด
เฉาเจิ้งจวินรีบออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นว่าเป็นซูเฉินจึงรีบเอ่ย “ผู้จัดการความรู้ซู ? เหตุใดจึงมาที่นี่ล่ะขอรับ ?”
“ข้าเป็นผู้จัดการความรู้กรมพลังต้นกำเนิด ไม่มีสิทธิ์มาที่นี่หรือไร ?” ซูเฉินกล่าว จากนั้นก้าวเท้ายาว ๆ ไปยังห้องโถงใหญ่
เฉาเจิ้งจวินเดินตามมาไม่ห่าง “ใต้เท้าซูอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย ข้าจะไปห้ามท่านได้อย่างไรกัน ? เพียงแต่หากท่านต้องการทำสิ่งใดเพียงบอกข้า ไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่ก็ได้ขอรับ” ที่หน้าผากเขาเหงื่อชุ่มแล้ว
เขารู้ว่าหลิ่วอู๋หยาขายซูเฉินไปแล้ว และรู้ด้วยว่ามันควรจะเป็นวันนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าซูเฉินมาถึงกรมพลังต้นกำเนิดจึงตกใจวิญญาณแทบหลุดจากร่าง
“งั้นหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ พลันหยุดฝีเท้า “เช่นนั้นข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยเสียหน่อย”
“ใต้เท้าเชิญกล่าวมา”
ซูเฉินเดินมาถึงห้องโถง ก่อนนั่งลงบนที่ที่เคยเป็นของหลิ่วอู๋หยา เฉาเจิ้งจวินบิกตากว้างในพลัน
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอาจกระทำการบ้าบิ่นได้ แต่คนที่ทำงานในกรมแห่งนี้ไม่มีสิทธิ์
คนที่ทำงานที่นี่รู้จักหาทางหนีทีไล่ คนที่มีประสบการณ์หน่อยก็จะมีความสามารถในการสังเกตสูง
การกระทำใจกล้าของซูเฉินมีหลายความหมายซ่อนอยู่ เขาจึงอดคิดไม่ได้
เมื่อชายหนุ่มนั่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปเรียกทุกคนที่ทำงานให้กรมพลังต้นกำเนิดมา เรียกมาให้หมดทุกคน !”
เฉาเจิ้งจวินโค้งแล้วตอบรับคำช้า ๆ “ขอรับ…… ข้าน้อย…… จะไปเดี๋ยวนี้”
แม้ตอนตอบ ในใจเขาก็ยังคิดไม่หยุด
ต้องการให้เรียกทุกคนมาหรือ ?
เพราะเหตุใด ?
เมื่อนำเรื่องมาปะติดปะต่อกับการกระทำของซูเฉินที่นั่งลงบนเก้าอี้เมื่อครู่แล้ว เฉาเจิ้งจวินก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหลายออกมา
และเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด แข้งขาก็พลันอ่อน เดินสะดุดออกจากห้องไป
“เดี๋ยวก่อน” ซูเฉินพลันตะโกนขึ้น
“ต้องการอะไรหรือขอรับ ?”
“อย่าบอกทุกคนในคราเดียว ให้บอกเป็นรอบ ๆ รอบละ 3 คนพอ อีกทั้งใน 3 คนนั้นต้องไม่สนิทสนมกันมากนัก…… และให้ไปบอกในนามเจ้ากรมหลิ่ว”
“ข้าน้อยรับทราบ จะทำตามที่ใต้เท้ากล่าว !” เฉาเจิ้งจวินออกจากห้องโถงไป
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ซูเฉินก็หัวเราะออกมา “ฉลาดไม่เบาเลย”
จากนั้นก็หยิบใบชาจากโต๊ะหลิ่วอู๋หยาขึ้นมาสะบัดดู “อืม ชาปี้หลัวชุนชั้นดี ! หลิ่วอู๋หยารู้จักหาความสุขใส่ตัวจริง”
เขารินชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย
————————————
เฉาเจิ้งจวินทำงานว่องไวนัก ไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดและทหารบางคนภายใต้กรมพลังต้นกำเนิดก็เริ่มมาถึง
มาถึงแล้วก็พูดคุยกัน “เกิดอะไรขึ้นกัน ? จู่ ๆ เหตุใดจึงเรียกตัวมาที่นี่ ?”
“เหล่าฉิวก็มาหรือ ? ข้านึกว่าข้าถูกเรียกมาคนเดียวเสียอีก”
“เฉาเจิ้งจวิน เจ้าทำอะไรของเจ้า ? เจ้าลากข้ามาที่นี่ทั้งที่ข้าบ่มเพาะพลังอยู่ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญข้าใช้ค้อนอัดเจ้าเป็นกองเนื้อแน่ที่มารบกวนการบ่มเพาะพลังของข้า !”
“ข้าจะกล้าได้อย่างไร ? ผู้จัดการความรู้คนใหม่ของเราเป็นคนเรียกมา สั่งให้ข้าไปเรียกพวกท่านมานั่นล่ะ หากมีคำถามก็ถามกับผู้จัดการความรู้ซูเถอะ”
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสามคนแรกที่มาถึงห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นว่าซูเฉินนั่งอยู่เหนือพวกเขาก็มีหน้าทะมึนลง
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งที่หุนหันหน่อยเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นผู้จัดการความรู้คนใหม่ ซูเฉินหรือ ? ที่นั่งนั่นไม่ใช่ของเจ้า เป็นของเจ้ากรมหลิ่ว ลงมาเสียจะดีกว่า”
อีกคนหนึ่งกล่าว “ผู้จัดการความรู้ซู เหตุใดจึงเรียกเรามาเช่นนี้ ?”
ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ที่เรียกมาเพราะมีเรื่องจะพูดด้วย แต่ก่อนหน้านั้นแนะนำตัวกันเสียก่อนเถอะ ข้าอยากรู้จักพวกท่านทุกคน”
คนที่หุนหันคนเดิมเอ่ย “แนะนำตัวอะไรกัน ? ซูเฉิน ข้าบอกให้เจ้าออกไป ไม่ได้ยินหรือ ? ตรงนั้นไม่ใช่ที่นั่งของเจ้า แต่เป็นของเจ้ากรมหลิ่ว”
ซูเฉินเหลือบมองเขา “ท่านเคารพใจ้เท้าหลิ่วมากเลยกระมัง ?”
“แน่นอน ใครไม่กล้าเคารพเขาเล่า ?”
หากแต่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกสองคนกลับขมวดคิ้วแน่น
พวกเขารู้ว่าหลิ่วอู๋หยาขายซูเฉินให้ตระกูลหลงและตระกูลเหลียนไปแล้ว ดังนั้นซูเฉินกับหลิ่วอู๋หยาไม่มีทางมีไมตรีอันดีต่อกันแน่
อีกทั้งซูเฉินนั่งบนเก้าอี้หลิ่วอู๋หยาอย่างเปิดเผยและเรียกทุกคนมาโดยเร็วเช่นนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รีบเอ่ยปากอะไร
ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ “คนอื่น ๆ ไม่ได้คิดเห็นเช่นท่านกระมัง ดี เช่นนี้จึงจะดี แม้หลิ่วอู๋หยาจะเป็นเจ้ากรม แต่ก็เอามือปิดฟ้าไม่ได้ (1)”
“บัดซบ เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่ ?” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนนั้นเริ่มส่อแววจะลงมือออกกระบวนท่า
“ท่านอยากรู้จริงหรือ ? ก็ได้ ข้าจะบอกให้ว่าข้าเรียกทุกคนมาด้วยเหตุใด” ซูเฉินเอ่ยพลางพยักหน้า “ที่ข้าเรียกมามีเหตุผลเดียว…… หลิ่วอู๋หยาตายแล้ว”
“อะไรนะ !?” คนทั้งสามชะงักไป
ซูเฉินเอ่ย “หลิ่วอู๋หยาตายแล้ว ในฐานะผู้จัดการความรู้ จากนี้ไปกรมพลังต้นกำเนิดอยู่ในความดูแลของข้า จนกว่าเบื้องบนจะส่งเจ้ากรมคนใหม่มา มีคำถามหรือไม่ ?”
“เจ้าพูดจาไร้สาระ เจ้ากรมหลิ่วคงไม่เกิดเรื่องหรอก !” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้นั้นตะโกนขึ้นอีก
“ไม่เชื่อก็ถามเขาดู” ซูเฉินทำท่าชี้
“ถามเขาเองหรือ ? แล้วเขาอยู่ที่ไหน ?” ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ตอบโดยพลันกลับชะงักค้างแน่นิ่งกับที่
“ข้าจะส่งไปหาเขาเอง” ซูเฉินโบกมือคราหนึ่ง ระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงลูกหนึ่งพลันพุ่งออกไป ปะทะเข้ากับอกผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนนั้น ก่อนจะระเบิดร่างเขากระจาย
ก้อนเนื้อก้อนเลือดกระเด็นไปทั่วห้องโถงใหญ่
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกสองคนพลันรู้สึกท้องวูบในพลัน
ซูเฉิน……โหดร้ายเกินไปแล้ว
“พวกท่าน 2 คนมีคำแนะนำใดหรือไม่ ?” ซูเฉินถามยิ้ม ๆ
ทั้งสองรีบส่ายหัวทันที
“ดีมาก” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “เข้ามาทำความสะอาดที ! ในนี้สกปรกนัก กลายเป็นสถานที่อะไรไปแล้ว ?”
ผู้ฝึกยุทธ์ 2-3 คนรีบรุดเข้ามาทำความสะอาดทันที
ไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนอื่น ๆ ก็มาถึง
ภาพฉากเดิมฉายย้อนอีกครั้ง
แม้กรมพลังต้นกำเนิดจะถูกตระกูลสายเลือดชั้นสูงควบคุม แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทุกคนจะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา
ส่วนสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้น หากคิดจะนำทุกคนเข้าพวกต้องเสียมากเกินไป ดังนั้นตรายเท่าที่คุมหลิ่วอู๋หยาได้ ก็จะสามารถคุมทั้งกรมพลังต้นกำเนิดได้ ส่วนหลิ่วอู๋หยาเองก็ไม่อาจวางใจให้ทุกคนเป็นคนสนิทได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกคนมาบางกลุ่ม ซึ่งนั่นก็มากพอจะควบคุมกรมพลังต้นกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนอื่น ๆ ก็จะไปตามน้ำ และมีเพียงคนกลุ่มเล็กเท่านั้นที่ต้องเต็มใจติดตามหลิ่วอู๋หยา
ซูเฉินต้องการกำจัดคนที่สนับสนุนหลิ่วอู๋หยาเสียให้สิ้นซาก
หากพวกเขามาทีเดียวกันหมดก็คงรับมือยาก แต่ในเมื่อถูกเรียกมาทีละคนสองคนก็นับว่าตกหลุมพรางของซูเฉินในการแยกคนออกแล้วเอาชนะที่ละน้อย
เรื่องราวเกินขึ้นรวดเร็วนัก ไม่มีใครได้เตรียมตัวได้ อีกทั้งไม่คิดว่าจะต้องป้องกันตน ซึ่งคนที่อยู่ในกรมที่ไม่ชอบใจอยู่ก่อน เมื่อได้โอกาสก็แพร่ข่าวเรื่องการตายของหลิ่วอู๋หยาไป ทำให้ซูเฉินมองออกได้ง่ายดายนักว่าใครที่เป็นกากเดนที่เหลือจากเจ้ากรมคนก่อนได้บ้าง และใครที่อยากเปลี่ยนแปลงจากเดิม
แน่นอนว่ากากเดนที่เหลืออยู่ต้องถูกกำจัด และเพื่อวางรากฐานอำนาจของเขา ซูเฉินจึงกัดฟันฝืนใจอันเจ็บปวดรวดร้าว ไม่คิดนำกากเดนเหล่านั้นมาเป็นตัวทดลอง ผิดกับคนที่ไม่ลงมืออะไร นิ่งเฉยไว้ก็ยังอยู่ดี ส่วนพวกที่กระพือข่าวก็กระพือข่าวไป
ไม่นาน พวกคนที่สนับสนุนหลิ่วอู๋หยาก็ถูกกำจัดไปอย่างโชกเลือด ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 6 คนถูกสังหารคาที่ ที่เหลือก็ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดหลัว อย่างน้อยตอนนี้ก็ยอมทำตามกฎของซูเฉิน
หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องยังไม่จบ
หากต้องการให้คนเหล่านี้เชื่อฟังเขาจริง ยังมีอีกหนึ่งบททดสอบรอเขาอยู่
หยวนเลี่ยหยาง
เชิงอรรถ
เอามือปิดฟ้า แปลว่า ใช้อิทธิพลอำนาจปิดบังความจริง