ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 28 การต่อสู้ ณ สะพานหิน
บทที่ 28 การต่อสู้ ณ สะพานหิน
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวไปตามทางอย่างมั่นคง
ทหารกลุ่มหนึ่ง สวมชุดสีดำและสีแดง เดินคุ้มกันอยู่รอบรถม้าขณะที่มันกำลังค่อย ๆ เคลื่อนไปตามถนน
ทหารชุดดำคือเหล่าผู้ฝึกยุทธ์จากกรมพลังต้นกำเนิด ส่วนทหารชุดแดงนั้นคือกองทหารเกราะโลหิตนั่นเอง
“หยุดรถม้า” ซูเฉินเอ่ยขึ้นเมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงสะพานหิน
รถม้าจึงหยุดเคลื่อนไหว ซูเฉินแหวกม่านรถม้าเดินลงมา ก่อนจะจ้องมองไปยังสะพานหิน
มีคนยืนอยู่ตรงนั้น
เว่ยเหลียนเฉิง
เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่บนสะพานหิน มองดูฝูงปลาที่ว่ายน้ำอยู่ด้านล่าง เหนือศีรษะคือกิ่งหลิวสีแดงจัดที่โน้มเอนลงมา
ยามเมื่อซูเฉินปรากฏกาย เว่ยเหลียนเฉิงก็หันมาพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
แล้วกล่าวว่า “ผู้จัดการความรู้ซู สองวันที่ไม่ได้พบกัน ชื่อเสียงท่านโดดเด่นนัก ขบวนเดินทางโอ่อ่ากว่าครั้งก่อนมาก”
“ข้าไม่อาจทำอะไรได้ หนทางชีวิตมีอุปสรรคมากมายไร้ความสงบสุข มีคนพาลหมายทำลายกฎบ้านเมืองอยู่ตลอด ไม่แปลกที่คนของทางการจะมีทหารติดตาม แต่ท่านเว่ยกล้าออกมาเดินกลางวันแสก ๆ ทั้งที่ได้ล่วงเกินตระกูลหลงไปแล้วหรือ ? ท่านเห็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงเป็นแค่ต้นหอมหรือไร ?”
เว่ยเหลียนเฉิงหัวเราะ “ข้าควรพูดเช่นนั้นกับท่านมากกว่า ดูท่าท่านจะเคยล่วงเกินพวกเขามาก่อนไม่ใช่หรือ ?”
“ข้าเพียงทำหน้าที่ในฐานะคนของทางการ ล่วงเกินอะไรกัน ?”
“กล่าวได้ดี ผู้จัดการความรู้ซูก็มีความมั่นใจเป็นของตนเอง ข้าเองก็เช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็เคยช่วยเหลือผู้จัดการความรู้ซูมาก่อน ดังนั้นข้าจึงอยากขอให้ท่านไว้หน้าข้า และส่งของมา” เว่ยเหลียนเฉิงว่าพลางยื่นมือออกมา
“นี่หรือ ?” ซูเฉินพลิกมือทีหนึ่ง ก้อนโลหะก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาโยนมันไปให้เว่ยเหลียนเฉิง
เว่ยเหลียนเฉิงรับมาแล้วมองดู จากนั้นชะงักไปหน่อย “มันพังแล้วหรือ ?”
จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าหัวเราะเสียงขื่น “ย่อมต้องพังแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ?”
เขากล่าวกับซูเฉิน “ขอบคุณผู้จัดการความรู้ซูมากที่คืนของให้ข้า ตอนนี้เรานับว่าไม่ติดค้างกันอีก”
“ไม่มีปัญหา” ซูเฉินตอบ “อย่าไรท่านก็นำมันไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”
เว่ยเหลียนเฉิงชะงักไป
จากนั้นเขาก็รู้สึกตัว หันไปก็พบบางอย่างด้านหลัง ที่เกิดเรื่องโกลาหลระอุอยู่ ดูท่าจะกำลังมุ่งหน้ามาทางเขาด้วยความรวดเร็ว
“พวกบัดซบตระกูลหลงไหวตัวเร็วนัก” เว่ยเหลียนเฉิงหัวเราะ
ซูเฉินเอ่ยเตือน “ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาดี กลที่ท่านใช้เมื่อคราก่อน ครั้งนี้อาจใช้ไม่ได้ผลอีก”
“ข้าย่อมรู้” เว่ยเหลียนเฉิงตอบ “ท่านรอจังหวะนี้มาโดยตลอดเลยหรือ ?”
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไรเท่านั้น ใช่แล้ว หากท่านถือมันไม่ไหว ท่านส่งก้อนโลหะมาให้ข้าก่อนก็ได้ ข้าจะรักษามันไว้ให้”
หากเขาไม่ไหวก็คงต้องตาย และหากตายแล้ว ก้อนโลหะนี่จะมีประโยชน์อะไร ? จะต้องรักษามันไว้เพื่ออะไรอีก ?
คำของซูเฉินเหมือนจะไร้เหตุผล ทว่าเมื่อเว่ยเหลียนเฉิงได้ยินก็พยักหน้า “ย่อมได้ เช่นนั้นผู้จัดการความรู้ซู ข้าจะให้ท่านช่วยดูแลมันไว้อีกสักหน่อย”
พูดแล้วเขาก็โยนก้อนโลหะไปให้ชายหนุ่มจริง ๆ
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปหากลุ่มคนตระกูลหลง
คนที่เดินนำมาด้านหน้าคือชายหนวดเฟิ้มร่างบึกบึน มีนามว่าเฮ่อเหลียนเวย ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ ด้านหลังยังมีผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตและด่านก่อเกิดลมปราณจำนวนมาก และยังมีผู้ฝึกยุทธิ์อีกเกือบร้อย ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ทางซ้ายและขวา อีกทั้งด้านหลังซูเฉินก็มีผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณเดินล้อมเข้ามาทั่วทิศ
เมื่อเห็นเว่ยเหลียนเฉิงเดินเข้ามา ใบหน้าเฮ่อเหลียนเวยก็ปรากฏรอยเหี้ยม “เว่ยเหลียนเฉิง หากเจ้ายอมแพ้และถอนคำสาปให้คุณชาย ข้าจะให้เจ้าได้ตายครบส่วน !”
เว่ยเหลียนเฉิงหัวเราะ “ข้าไม่จำเป็นต้องมีศพครบส่วน อีกทั้งยังไม่ต้องปล่อยให้เจ้าสังหาร”
พูดแล้วร่างก็แวบหายไป พุ่งเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยทันที
“รนหาที่ตาย !” เฮ่อเหลียนเวยเห็นดังนั้นยิ่งมีสีหน้าดุดัน “ลงมือเลย แต่อย่าสังหารมัน ! เราต้องการตัวมันเป็น ๆ!”
“ย่าห์ !” เหล่าทหารทั้งหลายพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงร้องดัง ก่อนที่จะเป็นตอนนั้นเองที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งชูมุกเม็ดหนึ่งขึ้น มันส่องประกายสว่างจ้าออกมา ช่วยสลายความมืดที่อาจรายล้อม เห็นได้ชัดว่านำมาเพื่อรับมือกับกลที่เว่ยเหลียนเฉิงใช้เมื่อครั้งก่อนโดยเฉพาะ
แต่ครั้งนี้เว่ยเหลียนเฉิงไม่ได้ใช้กลเดิม
เขาเพียงพุ่งเข้าไปหากลุ่มคน ในมือมีมีดเหล็ก มันตวัดผ่านอากาศ แสงขาวดั่งหิมะประกายออกมาจากด้ามมีด แล้วทหารคนหนึ่งก็ถูกฟันร่างแยกเป็นสองส่วน เว่ยเหลียนเฉิงยังไม่หยุดเท่านั้น มุ่งหน้าใช้มีดหิมะล่าสังหารต่อไป
เลือดสาดกระเซ็นไปทุกที่
เว่ยเหลียนเฉิงเหมือนพยัคฆ์คลั่ง พุ่งเข้าใส่กลุ่มคนและเริ่มล่าสังหารไม่หยุดมือ
วิชามีดของเขาไร้เมตตา อีกทั้งยังคล่องแคล่วว่องไว ทุกครั้งที่วาดท่ามีดก็จะได้เลือดกระเซ็น
พริบตาเดียวคนเกือบสิบก็สิ้นใจใต้คมมีดเขาแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยยังมีใบหน้าเรียบเฉย ผู้ฝึกยุทธิ์เหล่านั้นเป็นเพียงหทารเดนตาย คล้ายเกราะมนุษย์ ใช้เพื่อทดสอบเว่ยเหลียนเฉิงเพื่อจับตาดูว่าเขาไม่ได้มีกลลวงใดใหม่ ๆ มาใช้อีก
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดซ้ายขวาเริ่มตอบสนองกับการโจมตีของเว่ยเหลียนเฉิง พลังต้นกำเนิดคลื่นหนึ่งพุ่งเข้าใส่เว่ยเหลียนเฉิง แม้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังจะต่ำกว่าเว่ยเหลียนเฉิง แต่เมื่อรวมพลังโจมตีจากคนนับสิบย่อมกดดันเขาได้อยู่บ้าง
หากแต่จู่ ๆ ราวกับถูกภูผาทับ การเคลื่อนไหวของเว่ยเหลียนเฉิงพลันเชื่องช้าหนักหน่วง กระทั่งมีดในมือยังตวัดได้แข็งทื่อ
ฟ้าว ! ฟ้าว !
แสงพลังดาบสองสายพุ่งเข้ามา
ทางหนึ่งมาจากเว่ยเหลียนเฉิงที่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร อีกทางหนึ่งซัดเข้าที่กลางหลัง แม้ทหารที่ซัดพลังถูกตัวเขาจะถูกสังหารในพลัน แต่กลุ่มคนก็ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นพลังก็ซัดเข้ามารุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เว่ยเหลียนเฉิงกำลังถดถอยลงไม่หยุด
แต่ก็ยังต่อสู้ต่อไปไม่ลดละ
เลือดยิ่งสาดกระเซ็นรอบทิศ บ้างจากศัตรู บ้างจากเว่ยเหลียนเฉิงเอง
หากแต่เว่ยเหลียนเฉิงไม่ใส่ใจราวกับไม่รู้จักเจ็บปวด จริง ๆ แล้วบนใบหน้ายังปรากฏรอยยิ้มบางอยู่ด้วย
รอยยิ้มนั้นส่งผลให้เฮ่อเหลียนเวยขนลุกซู่
เขาตะโกนขึ้น “เว่ยเหลียนเฉิง ยังไม่หยุดมืออีกหรือ ? สู้ต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น !”
“ข้าหวังไว้เช่นนั้นเลยล่ะ” เว่ยเหลียนเฉิงเอ่ยช้า ๆ “ความตาย…… ไม่ใช่จุดจบ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นต่างหาก ! คนธรรมดาเช่นพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจได้หรอก !”
พูดจบความเร็วก็เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง พุ่งใส่ วก็เพิผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด้านหน้า มีดในมือน่าเกรงข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสองคนถูกมีดแยกร่างออกเป็นสองแฉก เว่ยเหลียนเฉิงพลันเอื้อมมือซ้ายคว้ากะโหลกผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนนั้นไว้แล้วบีบจนแหลก
ตู้ม !
หอกล่มหนึ่งเสือกเข้ามาที่กลางท้องเว่ยเหลียนเฉิง แต่เขาไม่ใส่ใจ ตั้งมีดแนวนอนเฉือนคออีกฝ่ายจนสิ้นใจ
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีกคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ กรงเล็บส่องประกายด้วยแสงสีม่วง หมายจะโจมตีอกเว่ยเหลียนเฉิง
เว่ยเหลียนเฉิงคว้าคอผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนนั้นด้วยมือซ้าย หากแต่ตอนกำลังจะหักคออีกฝ่ายกลัยถูกดาบตัดแขนซ้ายหลุดไป
เว่ยเหลียนเฉิงไม่อาจหักคออีกฝ่ายได้ จึงเสือกเนื้อแขนที่เหลือทะลวงเข้าคออีกฝ่ายแทน
ด้านหลังมีผู้ฝึกยุทธ์กระโดดเข้ามาพร้อมกัน หอกเหล็กเสือกเข้าใส่หลังเว่ยเหลียนเฉิง มีคนหนึ่งค่อนข้างแกร่ง หอกทะลวงผ่านเนื้อเขาไปได้ จริง ๆ แล้วคือผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนหนึ่งที่แฝงตัวมา
เว่ยเหลียนเฉิงไม่ใส่ใจ มีดในมือขวาตวัดไปด้านหลัง ทำให้ศีรษะคนทั้งสามหลุดจากบ่าในทันที
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีสองฝ่ามือกระแทกเข้ามา ฝ่ามือหนึ่งที่อก อีกฝ่ามือที่ขมับ เกือบแยกกะโหลดเว่ยเหลียนเฉิง
“ไม่ ! หยุดมือ !” หลงชิงเจียงร้องมาจากด้านล่าง
เขาต้องการเว่ยเหลียนเฉิงที่ยังมีลมหายใจ ไม่ใช่ไร้ชีวิต
แต่ในการต่อสู้เอาชีวิตเช่นนี้ยั้งมือได้ยาก แม้จะเป็นคำสั่งจากผู้นำตระกูลหลง แต่เมื่อสถานการณ์คับขันก็ไม่อาจทำให้ทหารเหล่านี้เชื่อฟังได้ ด้วยหากฟังก็นับว่ารนหาที่ตาย
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่โจมตีเว่ยเหลียนเฉิงเข้าที่ศีรษะชะงักไปเล็กน้อยหลังได้ยินเสียงร้องหลงชิงเจียง พริบตาต่อมา เว่ยเหลียนเฉิงส่งลูกเตะอัดเข้าใส่จนอีกฝ่ายกระเด็น
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกระโดดเข้ามา ใช้ดาบใหญ่ฟันขาเว่ยเหลียนเฉิงจนทรุดลงไป เหลือพียงหนึ่งแขนหนึ่งขา ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะทรงตัวอีกต่อไป
แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ กระโจนพุ่งขึ้น กรีดมีดเป็นวงกลม ปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายออกมา
จนเฉือนศีรษะคนไปได้อีกสามเขาจึงจะล้มลงกับพื้นเสียงดังตึง
และครั้งนี้ก็ไม่ขยับกายอีก
“ไม่!” เมื่อเว่ยเหลียนเฉิงล้มลงไป หลงชิงเจียงก็ร้องโหยหวนขึ้นมา “หากมันตายไปแล้วบุตรชายข้าเล่า ? ข้าจะทำอย่างไรดี ?”
ซูเฉินนั่งมองภาพเหตุการณ์จากที่ไกล
พักใหญ่ ๆ กว่าจะเอ่ยขึ้น “เรื่องจบแล้ว ไปเถอะ”
เขากลับมายังรถม้าตนเอง
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปตามทางถนนคดเคี้ยวอีกครั้ง
พวกเขายังคงถูกทหาร ข้ารับใช้ และแขกจากตระกูลหลงล้อมรอบไว้ ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปทางรถม้า แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครลงมือ
จากนั้นขบวนรถม้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวจนลับตาไป