ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 3 สี่ที่ราบ
บทที่ 3 สี่ที่ราบ
ขบวนหลังรถม้ายิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้งนี้ขบวนดูซับซ้อนกว่าเดิมมาก พวกโจรกว่าร้อยคนถูกมัดเข้าด้วยกันและถูกบังคับให้เดินตามหลังรถม้าราวกับเป็นพวกทาสที่กำลังถูกนำไปขายในตลาด
เหอเสี่ยวฉานมองไปยังเหล่าโจรด้วยความตื่นเต้น “ท่านปู่ ท่านดู ๆ”
“ข้าเห็นแล้ว เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก” ผู้อาวุโสเหอตอบเสียงกระชาก
เหอเสี่ยวฉานไม่ลืมที่จะคอยกระทุ้งบอกเขาอยู่ตลอด เขารู้กระทั่งว่าหลานสาวคนนี้จะพูดอะไรออกมาอีกด้วยซ้ำ
เหอเสี่ยวฉานยกมือขึ้นกุมอกแล้วเอยขึ้น “คุณชายซู ท่านนี่เก่งกาจจริง ๆ!”
ผู้อาวุโสเหออดถอนใจออกมาไม่ได้ เขามีเพียงความคิดเดียวคือการเดินทางให้ถึงอำเภอสี่ที่ราบให้เร็วที่สุด ทำงานให้เสร็จสิ้น แล้วพาหลานสาวจากไปเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบซูเฉิน แต่เป็นเพราะความแกร่งของชายหนุ่มกดดันผู้อาวุโสเหอที่คิดอยากหลีกหนีไปเท่านั้นมากพอสมควร
ขบวนโจรที่ตามหลังรถม้ามาน่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แปลกที่ระหว่างทางจะไม่มีโจรใดกล้าขวางทางอีก
ซูเฉินไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ดังนั้นจึงใช้วิชาปิดขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าหมู่เมฆบดบังเพื่อซ่อนเหล่าโจรไว้ เขาเรียนรู้วิชาอาร์คาน่านี้จากผ้าเท่อลั่วเค่อ ปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้นี้เชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าอยู่ไม่น้อย มีอีกฝ่ายอยู่ด้วยคล้ายกับมีหอตำราโบราณติดตัวตน หากแต่ทักษะต้นกำเนิดทั้งหลายต้องฝึกใช้นับพันครั้งเพื่อให้เชี่ยวชาญและส่งผลได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีวิชาอันใดมากมายนัก ชายหนุ่มจึงมุ่งฝึกฝนเพียงทักษะต้นกำเนิดที่เขาสามารถใช้ได้เท่านั้น
หลังจากถูกวิชาซ่อนสายตาไปแล้ว คนธรรมดาก็ไม่อาจเห็นพวกโจรได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงมีพวกโจรกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาขวางทางอีกหลายกลุ่ม
มีคนอีกราว 23 สิบคนถูกเพิ่มเข้าขบวนหลังรถม้า
ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นไม่มาก เป็นเพราะพวกโจรนั้นมีอยู่ 2 กลุ่ม พวกที่ต้องการแต่เงินไม่คิดสังหารคน ซึ่งหากเป็นกลุ่มนั้นซูเฉินก็จะปล่อยไป
เมื่อยามราตรีมาถึง รถม้าก็เดินทางถึงอำเภอสี่ที่ราบในที่สุด
อำเภอสี่ที่ราบเป็นอำเภอขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่กำแพงล้อมรอบ อีกทั้งยังไม่มีทหารคุ้มกัน มีเพียงที่ว่าการอำเภอเก่า ๆ และโรงยาสภาพดูไม่ได้เท่านั้น
เมื่อเดินทางมาถึงยังอำเภอสี่ที่ราบ ซูเฉินก็คลายวิชาบังตา จากนั้นค่อย ๆ เดินทางเข้าอำเภอเมืองไป
คนที่เดินตามหลังรถม้ามามีไม่น้อยกว่า 150 คน โดยแบ่งออกเป็นสองแถว ซึ่งในอำเภอสี่ที่ราบนับว่าเป็นภาพที่อลังการนัก ดังนั้นจึงดึงฝูงชนเข้ามาได้ในทันที
อีกทั้งทุกคนยังถูกมัดมือไว้ เหล่าชาวบ้านมุงทั้งหลายเห็นทั้งชุดและอาวุธที่คนทั้งหมดพกมาได้เป็นอย่างดี ซูเฉินไม่ได้ริบอาวุธของพวกมันไป ดังนั้นชาวบ้านคนอื่น ๆ จึงรู้ทันทีว่าเหล่าผู้ที่ถูกจับมาเหล่านี้มาจากที่ใด
“เป็นพวกโจรป่านี่นา !”
“ถูกต้อง ข้าเคยเห็นหน้าพวกมันบางคนมาก่อน พวกมันเป็นโจรภูเขา เคยเอาของที่ปล้นได้มาขายในเมืองมาก่อน”
“นั่นมันกุยต้าซาน ? หัวหน้าค่ายโจรกระดองเต่าไม่ใช่หรือ”
“เจ้ามั่นใจหรือ ?”
“มั่นใจ ! ดู ค้อนยักษ์นั่นเป็นอาวุธคู่กายเขา เหตุใดจึงถูกจับมัดไปด้วยเล่า ? เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตนี่”
“ไม่ได้มีเพียงเขา ข้าง ๆ นั่นมันรองหัวหน้าค่ายเฉิงแห่งค่ายโจรกระดองเต่าไม่ใช่หรือ ? เขาเป็นคนที่ปล้นเถ้าแก่ฉางเมื่อปีนั้นตอนเถ้าแก่ฉางออกไปส่งของ การตายของเถ้าแก่ฉางน่าเวทนาจริง ๆ”
“หัวหน้าค่ายสามเฟิง หัวหน้าค่ายสี่หลี่ หัวหน้าค่ายห้าจิน เขาจับโจรทั้งค่ายโจรกระดองเต่าตามมาหมดเลย !”
“ในรถม้านั่นเป็นใครกันแน่ ? สามารถทลายรังโจรได้ภายในพริบตาเช่นนี้”
“เจ้ายังต้องถามอีกเหรอ ? ก็คงจะเป็นผู้ยอดฝีมืออย่างไรเล่า อำเภอสี่ที่ราบของเราต่อจากนี้คงจะสงบสุขแล้วกระมัง”
พวกชาวบ้านต่างพากันพูดคุยเรื่องเหตการณ์ใหม่กันอย่างครึกครื้น รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปเรื่อยยิ่งดึงความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เหอเสี่ยวฉานไม่ค่อยได้เป็นศูนย์กลางจุดสนใจเช่นนี้บ่อยนัก นางยืดอกเงยหน้าอย่างผู้กำชัย หากแต่ผู้อาวุโสเหอคอยดึงหลานสาวตนลงมาตลอด พยายามนั่งก้มหน้าก้มตา ไม่อยากให้ใครจำหน้าพวกเขาได้
รถม้าตรงเข้าไปยังที่ว่าการอำเภอ ด้านหน้ามีทหารยืนอยู่สองคน
ทหารคนหนึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็ว วิ่งมาทางพวกเขาแล้วตะโกนขึ้น “มีคนจับพวกโจรบนเขามาได้ อีกทั้งยังทำลายค่ายโจรกระดองเต่า ตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว ดูท่าจะอยากนำพวกโจรมาส่งที่ที่ว่าการอำเภอ”
ทหารทั้งสองที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเมื่องครู่สะดุ้งเฮือกแล้วมองไปยังที่ไกล พบว่ากำลังมีคนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้ามาจริง
ทหารทั้งสองเหลือบมองกัน คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แล้วเจ้าจะยังยืนทำอะไรอยู่อีก ? รีบเข้าไปบอกให้เบื้องบนทราบสิ”
ทหารอีกคนจึงพุ่งเข้าด้านในที่ว่าการไปด้วยความตื่นตระหนก
สักพักทหารทั้งหลายก็พุ่งออกมาจากที่ว่าการอำเภอ มีหัวหน้านำเหล่าทหารราวสิบคนเดินถือไม้ตรงไป ซึ่งเมื่อเห็นว่ามีขบวนหนึ่งกำลังดำเนินมาก็ตกใจ ที่ว่าการอำเภอจะจัดการคนมากเท่านี้ไหวได้อย่างไร ? มากเช่นนี้คงปิดประตูคุกไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่แม้จะปิดประตูไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ จับโจรมาได้มากมายเช่นนี้นับว่าเป็นผลงานใหญ่มากอย่างไม่ต้องสงสัย
หากแต่มีโจรมามากเช่นนี้คงจะต้องจ่ายเงินรางวัลสูงมากกระมัง คนเป็นหัวหน้าไม่รู้ว่าต้องจ่ายเงินออกไปมากเท่าไร แต่ความคิดจะเชิดเงินไม่อยู่ในหัวเขาแม้แต่นิด ผู้ที่สามารถกวาดต้อนกองโจรมาได้มากเช่นนี้คงไม่ใช่คนที่เขาสามารถล่วงเกินได้
ในตอนที่กำลังคำนวณอยู่นั่นเอง รถม้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
ทหารทุกนายในที่ว่าการอำเภอตั้งแถวยืนอยู่ด้านนอก ส่วนหัวหน้าก็กำลังจะก้าวออกไปทักทายขบวนนั้นพร้อมรอยยิ้ม หากแต่รถม้ากลับเคลื่อนผ่านเขาไปและยังคงมุ่งหน้าทางเดิมต่อ
มันเคลื่อนผ่านหน้าเขาไปเช่นนั้น
หืม ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?
ทหารทั้งหมดจ้องรถม้าด้วยสีหน้ามึนงง
รถม้ายังเคลื่อนต่อไปไม่หยุด ลากชบวนโจรตามหลังไปด้วย ผ่านที่ว่าการอำเภอไปโดยไม่หยุดสักนิด
พวกเขาไม่เห็นหรือ ?
คนเป็นหัวหน้าคิดดังนั้นก็ตะโกนขึ้น “นายท่านบนรถม้า ที่ว่าการอำเภออยู่ตรงนี้ !”
กังเหยียนหันมามองครั้งหนึ่งแล้วหันกลับไป
รถม้าเคลื่อนตัวต่อไปอีก
เขาถูกเมิน
คนเป็นหัวหน้ามองรถม้าที่จากไปพร้อมกับขบวนโจรนิ่ง จนกระทั่งคนทั้งหมดลับสายตาไปเขาถึงได้เข้าใจ
อีกฝ่ายไม่คิดจะส่งพวกโจรให้เขาตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากรถม้าผ่านที่ว่าการอำเภอไป มันก็มาหยุดอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก
ผู้อาวุโสเหอเอ่ยขึ้น “คุณชายซู ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในอำเภอสี่ที่ราบ ในเมื่อคุณชายถึงจุดหมายแล้วก็นับว่าข้าทำงานสำเร็จเสร็จสิ้น”
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ส่วนนี่คือค่าจ้างที่ตกลงกันไว้” ซูเฉินโยนถุงเงินถุงเล็กให้ผู้อาวุโสเหอ
ผู้อาวุโสเหอลองเขย่าถุงเงินดูแล้วก็ชะงักค้างไป “คุณชายซู เหมือนจะให้มากไปกระมัง ?”
“ข้าเพียงจ่ายชดเชยที่ท่านต้องกังวลมาตลอดทางเท่านั้น หากท่านกลับไปแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย ท่านก็ใช้เงินนี่ไปหาที่อยู่ใหม่ได้” ซูเฉินเข้าใจถึงความกลัวของผู้อาวุโสเหอดี
อีกฝ่ายคงจะกลัวว่าพวกโจรจะกลับมาแก้แค้นเขา
เงินที่ซูเฉินมอบให้ผู้อาวุโสเหอนั้นเพียงพอกับการไปตั้งรกรากในถิ่นใหม่ได้
ผู้อาวุโสเหอเห็นดังนั้นจึงได้แต่ขอบคุณเสียงเบา
ก่อนจากกัน เหอเสี่ยวฉานยังคงรั้งรอไม่อยากจากไป นางดึงแขนเสื้อซูเฉินไว้ “คุณชายซู หากมีเวลาท่านต้องมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะเจ้าคะ ?”
“อืม” ซูเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
หากแต่ทุกคนรู้ดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
หลังจากกังเหยียนจัดเครื่องเรือนในห้องเสร็จก็ออกไปไล่พวกโจรให้ไปอยู่ที่หลังโรงเตี๊ยม พวกมันเป็นเพียงเชลยทั้งนั้น ไม่มีสิทธิ์นอนในโรงเตี๊ยม ให้นอนกลางดินไปก็ดีแล้ว
เมื่อผู้อาวุโสเหอเห็นพวกโจรถูกไล่ออกมาแล้วก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอดถามออกมาไม่ได้ “คุณชายซู ท่านคิดจะจัดการพวกมันอย่างไร ? จะเก็บไว้เป็นนักโทษหรือท่านจะ…… สังหารพวกมันทิ้ง ?”
“สังหารหรือ ?” ซูเฉินเหลือบมองนักโทษทั้งหลาย จากนั้นหันกลับมายังผู้อาวุโสเหอแล้วหัวเราะ “สังหารพวกมันหรือ ? ข้าไม่ทำหรอก ! มือข้าไม่เปื้อนเลือดจากการสังหารคนหรอก มีเพียง……”
“ทดลองผิดพลาดก็เท่านั้น”