ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 47 ติดต่อ (3)
บทที่ 47 ติดต่อ (3)
ส่วนเรื่องพวกเขาได้ทักษะนี้มาอย่างไรหรือมันมีวิธีใช้อย่างไร หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อไม่ได้พูดและซูเฉินก็ไม่ได้ถาม
ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นจะต้องกล่าวสิ่งใด ท้ายที่สุดแล้ว ความไว้วางใจของพวกเขาทั้งสองนั้น ก็มีพื้นฐานมาจากความเกลียดชังในตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่เหมือน ๆ กัน
หลังจากเข้าใจสถานการณ์ระหว่างแม่น้ำตะวันตกกับเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงแล้ว ซูเฉินก็อธิบายเกี่ยวกับความขัดแย้งของเขากับตระกูลสายเลือดชั้นสูงให้อีกฝ่ายเข้าใจคร่าว ๆ เช่นกัน
ทว่าการโอ้อวดด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ เขาจึงปล่อยให้กังเหยียนเป็นผู้บอกเล่าเรื่องนี้แทน
หลังจากได้ยินว่าซูเฉินสังหารเจ้ากรมพลังต้นกำเนิด แล้วเข้าควบคุมกรมพลังต้นกำเนิด จากนั้นก็ได้กวาดล้างท่าเรือเมืองธารน้ำใสด้วยเลือด สายตาของกลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับจ้องไปที่ซูเฉิน ก็ยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
เฒ่าฉาเล่อกล่าวอย่างตื่นเต้น “ผู้จัดการความรู้ซู เมื่อพวกเราล้วนมีความเกลียดชังต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหมือนกัน ก็นับได้ว่าเราเป็นพันธมิตรกัน ! หากรวมพลังกัน เราจะต้องสามารถต่อกรกับขุนนางชั่วเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน !”
ซูเฉินยิ้ม “ข้าคิดว่าหัวหน้าหมู่บ้าน อาจเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป”
“สิ่งใดที่ข้าเข้าใจผิดไป ?”
ซูเฉินตอบว่า “ข้าไม่เคยกล่าวว่าข้าเป็นศัตรูกับตระกูลสายเลือดชั้นสูง ทั้งหมดที่ข้าพูดคือ พวกมันต้องการที่จะสังหารข้าอยู่ตลอดเวลา”
ฉาเล่อสับสน “มันแตกต่างกันหรือ ?”
“แน่นอนมันแตกต่าง ในฐานะผู้จัดการความรู้ของกรมพลังต้นกำเนิด ทุกสิ่งที่ข้าทำไปนั่นก็เพื่อความรุ่งโรจน์ของดินแดน เงินเดือนของข้ารับมาจากราชวงศ์ดังนั้นความภักดีของข้าจึงเป็นของพวกเขา”
“แต่วิธีจัดการสิ่งต่าง ๆ และการกระทำของข้า ทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นไม่พอใจและลงมือโจมตีมา มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ แม้ข้าจะไม่ชอบใจในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามในความคิดของข้า มันยังไม่นับว่าเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับพวกนั้น แต่เป็นเพียงเรื่องของธุรกิจ ดังนั้นหากคนเหล่านั้นหยุดสร้างปัญหาให้กับข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปสร้างปัญหาให้กับพวกมัน”
ทุกคนที่นั่นตกตะลึงไปกับคำพูดเหล่านี้
ด้วยชายหนุ่มทำให้พวกเขาผิดหวัง
แต่เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลย
ถึงแม้พวกชาวบ้านจะธรรมดา แต่พวกเขาก็มีไหวพริบในแบบของตัวเอง การที่ฉาเล่อเอาแต่พูดว่าเขาและซูเฉินมีศัตรูคนเดียวกัน นั้นก็เป็นเพียงการพยายามจะทำให้ซูเฉินตกลงทำงานฟรีให้กับพวกเขา หรือก็คือ เสี่ยงชีวิตแทนโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ
หากเป็นผู้อื่นบางทีพวกเขาอาจจะเห็นด้วยไปแล้ว
และหากอีกฝ่ายยากจนมากจนไม่สามารถให้มอบผลประโยชน์ใด ๆ ตอบแทนให้แก่ซูเฉินได้ บางทีเขาก็อาจตกลงที่จะช่วยเหลือพวกเขา
อย่างไรก็ตาม คนที่พวกเขาพบนั้นคือซูเฉินและพวกเขาก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้น
อย่างน้อยที่สุดในสายตาของซูเฉิน ก็มองว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่บนความมั่งคั่งโดยที่ไม่ได้รู้ตัว
ความมั่งคั่งนี้ไม่ได้หมายถึงทรัพยากรในป่าแม่น้ำตะวันตก แต่เป็นวิธีการต่อสู้กับคำสาป และทักษะลับที่พวกเขาใช้ในการควบคุมสัตว์อสูรเหล่านั้นต่างหาก
ซูเฉินให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
ถึงอีกฝ่ายจะมีบางสิ่งที่เขาสนใจ แต่ซูเฉินก็ไม่ได้คิดที่จะบอกกล่าวออกไปให้พวกเขารับรู้
ฉาเล่อกังวลเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำปฏิเสธของซูเฉิน “ผู้จัดการความรู้ซู ท่านสังหารเทพอสูรผู้พิทักษ์ของเราไปตัวหนึ่งดังนั้น … ”
เขาไม่ได้กล่าวถึงราคาที่ต้องการให้ชดเชย แล้วทำเพียงแค่เรียกร้องขอค่าตอบแทน พฤติกรรมแบบนี้ช่างชวนให้ผู้คนไม่พอใจจริง ๆ
กังเหยียนส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ แม้ซูเฉินเองก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่เขายังคงกล่าวตอบไปด้วยรอยยิ้ม “โอ้ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ควรจะทำตามสิ่งที่ข้าสัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ สัตว์อสูรระดับยอดไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีค่าพอสมควร ที่ด้านนอกนั้นสัตว์อสูรระดับยอดพวกนี้มีราคาอย่างน้อย 2,000 หินพลังต้นกำเนิด แต่เนื่องจากเจ้าตัวนี้ได้ถูกเจ้าฝึกมาแล้ว เช่นนั้นราคามันก็จะสูงขึ้นอีกมาก งั้นข้าจะบวกเพิ่มไปให้อีกสิบเท่า ราคานี้นับว่าไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแต่อย่างใด”
ในขณะที่พูดซูเฉินก็เอาหินพลังต้นกำเนิด 20,000 ก้อนออกจากแหวนต้นกำเนิดของเขาและจ่ายให้อีกฝ่าย
ค่าตอบแทนที่เท่ากับ 20,000 หินพลังต้นกำเนิดไม่ใช่ราคาที่เล็กน้อย ในสถานการณ์ปกติพวกเขาอาจจะถูกอีกฝ่ายต่อรองราคาให้เหลือเพียงประมาณ 8,000 หินพลังต้นกำเนิด กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะมองยังไง ก็ไม่มีอะไรที่จะมาใช้กล่าวว่าสิ่งที่ซูเฉินทำนั้นไม่เหมาะสมเลยสักนิด
อย่างไรก็ตามหัวหน้าหมู่บ้านดูเหมือนจะไม่มีความสุขกับหินพลังต้นกำเนิดแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาดูราวกับว่าคนที่กำลังจะร้องไห้
ตอนนี้พวกเขาถูกตระกูลสายเลือดชั้นสูงปิดกั้นการซื้อขายทุกเส้นทาง ดังนั้นเงินเหล่านี้จึงไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา
เป็นความจริงที่หินพลังต้นกำเนิดสามารถช่วยในการบ่มเพาะได้ แต่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้มีผู้ฝึกตนอยู่มากนัก และถึงจะมี พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนหินเหล่านั้นให้กลายเป็นความแข็งแกร่งได้ในทันที ท้ายที่สุดแล้วพวกมันก็แทบไม่มีประโยชน์เท่ากับการที่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจถึง 2 คนมาอยู่ข้างเดียวกับพวกเขา
ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ใจกว้างให้เงินอีกฝ่ายไปอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพื่อที่จะได้ล้างความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นกับเขา และทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น
ชายหนุ่มถามต่อว่า “ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเจ้าแล้วใช่ไหม ?”
เมื่อซูเฉินกล่าวจบเขาก็ทำท่าว่าจะจากไป
ฉาเล่อที่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มร้อนรนและรีบพยายามหยุดอีกฝ่ายไว้ “ผู้จัดการความรู้ซู เราไม่ต้องการเงินเพียงแค่ขอให้ท่านช่วยเรา อันที่จริงคนของตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้มาถึงที่ป่าแม่น้ำตะวันตกนี้เรียบร้อยแล้ว 2-3 วันที่ผ่านมาพวกมันเข้ามาโจมตีเราอยู่ตลอดเวลา เราทุกคนทำได้แค่พึ่งเทพอสูรผู้พิทักษ์เพื่อต่อต้านพวกมัน ทว่าตอนนี้พวกมันได้ร้องขอกำลังเสริมไป ไม่ช้าก็เร็วพวกข้าคงไม่สามารถต้านไว้ได้อีกแล้ว”
“ผู้จัดการความรู้ซู ท่านกับตระกูลเหล่านั้นก็นับเป็นศัตรูกัน หากท่านช่วยปกป้องเราจากอีกฝั่ง มันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านเช่นกัน ! ด้วยการทำให้ศัตรูอ่อนแอลง ก็นับได้ว่าเป็นการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน !”
ชายชราคนนี้ช่างรู้จักพูดจริง ๆ ‘การทำให้ศัตรูอ่อนแอลงก็นับเป็นการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน’ อย่างงั้นหรือ
ซูเฉินส่ายหัว “ต้องขอโทษด้วย ในแผนของข้าไม่มีพวกเจ้าและไม่ว่ามันจะมีหรือไม่ มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อข้ามากขนาดนั้น”
หลังเขาพูดอย่างนั้นจบ ชายหนุ่มก็หันจากไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่สนใจแม้แต่น้อยชายชราก็ตะโกนว่า “ได้ หากท่านยินดีที่จะอยู่และช่วยเหลือพวกข้า ข้าจะมอบวิธีต่อต้านคำสาปแก่ท่าน !”
ซูเฉินก็หยุดลงและหันกลับมามองชายชราอย่างเย็นชาและเหยียดหยาม “หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อ ข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องการที่จะทำร้ายข้ากัน”
ฉาเล่อประหลาดใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
“ข้าสนใจวิธีการต่อต้านคำสาปของพวกเจ้า แต่หากเจ้าลองคิดดูก็จะรู้ได้ว่าเรื่องนี้อาจมีข้อจำกัดอยู่มากมาย เป็นไปได้ว่าข้อจำกัดเหล่านั้น คือสาเหตุที่ทำให้พวกเจ้าไม่สามารถออกจากป่านี้ไปนาน ๆ ได้ และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ใช้มัน มิฉะนั้นมันจะมีความจำเป็นอะไรให้พวกนั้นทำธุรกิจกับเจ้าต่อ แทนที่จะให้วิธีต้านคำสาปแล้วมาเก็บเกี่ยวทรัพยากรเหล่านั้นด้วยตัวเอง ?”
ฉาเล่อชะงัก เขาไม่คิดว่าซูเฉินจะอ่านขาดได้ถึงขนาดนี้
ซูเฉินกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าพูดกับข้าตรง ๆ แล้วงั้นข้าก็จะพูดตรง ๆ กับเจ้าเช่นกัน เจ้าต้องการให้ข้าช่วยจัดการกับตระกูลสายเลือดชั้นสูง ? ย่อมได้ แต่ข้าต้องการอยู่ 2 อย่าง หนึ่งวิธีต้านคำสาปและสองทักษะที่ใช้ควบคุมสัตว์อสูร ไม่สามารถขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้”
“ไม่มีทาง ! พวกเราไม่สามารถให้ทักษะที่ใช้ควบคุมเทพอสูรผู้พิทักษ์ของเราแก่มันได้ !” หัวหน้านักรบตะโกนขึ้น
ซูเฉินไม่โกรธ
ท้ายที่สุด สิ่งนี่ก็คือรากฐานของการอยู่รอดของพวกเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายจะไม่เต็มใจที่จะยอมมอบให้ง่าย ๆ
ซูเฉินพยักหน้า “ไม่ต้องกังวลไป พวกเจ้ายังมีเวลาให้คิด อย่างไรเสียข้าก็ยังคงอยู่ในป่านี้อีกสัก 2-3 วัน พวกเจ้าตัดสินใจที่จะยอมรับเงื่อนไขของข้าได้เมื่อไหร่ ก็แค่มาบอกให้ข้ารู้ก็พอ”
ฉาเล่อรีบกล่าวอย่างกังวลใจ “คำสาปในป่าแม่น้ำตะวันตกนี้น่ากลัวและอันตรายกว่าคำสาปปกติมาก ผู้จัดการความรู้ซูอาจจะสามารถต้านทานมันได้ แต่ก็คงไม่นานนัก ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะอยู่ที่นี่นาน ๆ เว้นแต่ท่านจะอยู่ในหมู่บ้านของเรา …”
จู่ ๆ ชายชราก็ปิดปากที่กำลังพูดอยู่ลงกลางคัน
ซูเฉินไม่ได้สนใจมากนัก เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “ทุกคนมีโชคชะตาของตัวเอง หากข้าไม่สามารถจัดการกับคำสาปได้ ข้าก็ไม่มีสิทธิ์บ่นหากข้าตาย แน่นอนตราบใดที่ข้ายังคงอยู่ ข้อเสนอก่อนหน้าของข้าก็ยังคงใช้ได้เสมอ”
ชาวบ้านพูดไม่ออก
จากนั้นซูเฉินก็พูดต่อ “และแน่นอนว่าหากเราไม่สามารถทำธุรกิจนี้ได้ แต่ข้าคิดว่าเราก็ยังสามารถทำธุรกิจอื่นได้ อาทิเช่น หากพวกเจ้าต้องการขายสินค้า ข้าก็สามารถซื้อได้ ข้ายังสามารถนำสิ่งจำเป็นบางอย่างที่เจ้าต้องการกลับมาให้ได้อีกด้วย ตราบเท่าที่ปริมาณมันไม่มากเกินไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวหน้าหมู่บ้านฉาเล่อก็ถอนหายใจ เขาเข้าใจว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะสามารถรับได้แล้วในสถานการณ์เช่นนี้
คืนนั้นซูเฉินฉาเล่อได้แลกเปลี่ยนสินค้ากันไปสองสามชุด ในราคาที่สูงกว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะเต็มใจจ่ายถึง 5 เท่า
ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ยังคงซื้อสินค้าชุดนี้ ในราคาต่ำกว่ามูลค่าตลาดถึง 20 เท่า
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาต้องการเพิ่มรากฐานการบ่มเพาะของตน ซูเฉินก็ต้องการเดินทางไปกลับระหว่างป่าแม่น้ำตะวันตกกับเมืองธารน้ำใส เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายทรัพยากรเหล่านี้อยู่เช่นกัน