ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 50 สงคราม (1)
บทที่ 50 สงคราม (1)
หมู่บ้านสราญรมย์
สงครามกำลังปะทุขึ้น
ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดดำนับร้อยถือโล่และดาบพุ่งตรงเข้าใส่หมู่บ้าน
ชาวบ้านที่ยืนอยู่บนกำแพงชักคันธนูขึ้นรั้งสายยิงลูกศรออกไป ลูกศรบินออกไปและตรงลงมาปะทะเข้ากับโล่เสียงดัง ทว่าก็มีเพียงไม่กี่ดอกเท่านั้นที่เข้าเป้าจริง ๆ ซึ่งธนูที่พวกเขาใช้ก็ไม่ได้เสริมพลังเอาไว้ ทำให้เป้าหมายที่ถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บไปเพียงแค่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้กับกองทหารเช่นกัน ฝนธนูคลุมฟ้าที่น่ากลัวนี้เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูช้าลง การโจมตีบางส่วนเองก็หยุดชะงัก แม้แต่ผู้ที่หันหลังเพื่อล่าถอยไปก็ยังมี
เวลานั้นเอง เหล่าหัวหน้ากองทหารก็ได้ลงมือโจมตี หลังจากสังหารศัตรูที่ล่าถอยสองสามคน ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เริ่มโจมตีผลักดันกลับไปอย่างช้า ๆ
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง !” ซือจงเหว่ยที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ข้างหลังตะคอกอย่างเย็นชา
ในฐานะผู้ที่รับผิดชอบภารกิจปราบปรามป่าแม่น้ำตะวันตก ซือจงเหว่ยจึงต้องออกมาดูแลกำกับการบุกจู่โจมเป็นธรรมดา
คนนับสิบที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่แท้จริง
“ใช่ ข้าขอพูดตรง ๆ นะการส่งพวกมันมาที่นี่มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่ได้ต่างอะไรกับการผายลมเลยจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการคนมากมายขนาดนั้น ถ้าเราออกไปยึดหมู่บ้านพวกนั้นด้วยตัวเองเสีย มันก็จบเรื่องแล้ว” ผู้เชี่ยวชาญผมเหลืองกล่าว
“เจ้าจะมารู้อะไร ?” ผู้เชี่ยวชาญผมม่วงในชุดขาวกล่าว “กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีหลายร้อยคน ยังสามารถกำจัดผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณได้ง่าย ๆ ถึง 7-8 คน เช่นนั้นการกำจัดผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็เป็นมนุษย์ ถึงเราจะสามารถควบคุมพลังอันทรงพลังได้ แต่พลังชีวิตพื้นฐานของเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป มันไม่มีทางที่เราจะต้านผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้”
“ใช่ !” อีกคนกล่าวเสริม “เว้นเสียแต่ว่าระดับการฝึกฝนของเจ้าจะไปถึงด่านสู่พิสดาร แล้วสามารถโจมตีเขย่าสวรรค์และปฐพี เข้าและออกจากมิติว่างเปล่าได้ตามใจนึก และพลังชีวิตของเจ้าเพิ่มไปถึงจุดที่สามารถสร้างแขนสร้างขาสร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่ได้ การมีกองกำลังให้ใช้งานก็ย่อมมีประโยชน์เสมอ”
“แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเอง หากต้องเผชิญกับกองทหารของผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต ก็ยังต้องถอยหนี เว้นแต่ฐานการฝึกฝนของเจ้าจะสูงกว่าคู่ต่อสู้ถึง 3 เท่า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีทางที่จะเพิกเฉยต่อจำนวนคู่ต่อสู้ได้”
“เพราะเหตุนี้ผู้อาวุโสของตระกูล จึงได้ตัดสินใจที่จะใช้ชาวบ้านเหล่านี้ฝึกทหารของเรา ผู้ฝึกยุทธ์ 400 คนรวมกับพวกเรา แค่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารไม่คนามือนักหรอก” ใครบางคนกล่าวอย่างมั่นใจ
“ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ? ช่างเพ้อฝันไปไกลเสียจริง” หนึ่งในกลุ่มหัวเราะขึ้นอย่างดูถูก
ด่านสู่พิสดารเป็นขีดจำกัดที่เผ่ามนุษย์จะสามารถเข้าถึงได้ ทว่าคนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ไกลเกินกว่าจะบรรลุไปถึง
นั่นก็เป็นความจริงเช่นกัน ถ้ามีคนอย่างอาสิบเอ็ดหรือฉือไคฮวงอยู่ที่นี่ พวกเขาก็สามารถกำจัดทุกคนในที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
ต่างจากระดับการฝึกฝนอื่น ๆ ด่านสู่พิสดารเป็นเหมือนกำแพงระหว่างด่านและความแข็งแกร่งที่แตกต่างจากด่านก่อนหน้าอย่างมาก หากใครสักคนเลือกใช้ช่องว่างระหว่างด่านก่อเกิดลมปราณกับด่านกลั่นโลหิต หรือช่องว่างระหว่างด่านกลั่นโลหิตกับด่านทะลวงลมปราณ เพื่อประเมินด่านสู่พิสดาร ก็นับได้ว่าเขาได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม พูดคำที่สร้างความเสียหายต่อขวัญกำลังใจเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้
ในสนามรบการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
ภายใต้การบีบบังคับของผู้บังคับบัญชา ผู้ฝึกยุทธ์เริ่มกลับมาบุกโจมตีกำแพงหมู่บ้านอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันชาวบ้านด้านบนก็เริ่มขว้างหอกสั้นลงมาใส่ศัตรู
ปลายหอกสั้นพวกนี้ถูกเคลือบเอาไว้ด้วยยาพิษที่หนักและคมยิ่งกว่าลูกธนู เมื่อชาวบ้านใช้หอกเหล่านี้การโจมตีของพวกเขาจึงน่ากลัวมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์บางคนที่ถูกหอกแทง พบว่าบาดแผลของพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นกรีดร้องออกมาอย่างน่าสยดสยอง ขณะที่พยายามปิดบาดแผล แต่ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เบื้องหลัง ก็ยังคงผลักดันพวกเขาออกไปข้างหน้า
ตราบใดที่ยังไม่ตายพวกเขาก็จะถูกบังคับให้โจมตีต่อไป จนยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขาจะตายในการต่อสู้หรือตายด้วยน้ำมือของผู้เป็นนาย
หากนายพลที่ชำนาญการฝึกทหารได้เห็นฉากนี้ เขาคงจะส่ายหัวและสบถสาปแช่งอย่างแน่นอน นี่มันเป็นการฝึกบ้าบอแบบไหนกัน ?
บังคับให้พวกเขาบุกอย่างไม่กลัวความตาย ? หากเรียกสิ่งนี้ว่าการฝึกทหาร เช่นนั้นมันก็ง่ายเกินไป
ความจริงก็คือไม่ใช่ทุกคนในตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่จะรู้วิธีฝึกทหาร ด้วยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน จนทำให้พวกเขาไม่เข้าใจถึงวิธีสั่งการทหาร ดังนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การฝึกทหาร แต่รวมถึงตัวผู้บังคับบัญชาการเองด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นแรงกดดันจากผู้ฝึกยุทธ์เกือบ 400 ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ชาวบ้านจะต้านทานไหว
แม้กองกำลังที่โจมตีเมืองไม่แข็งแกร่ง ทว่าผู้ที่ปกป้องเมืองเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น
เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่มีคลื่นผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยบุกโจมตีเช่นนี้ ก็ทำชาวบ้านหลายคนหวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง หลายคนเริ่มรู้สึกเสียใจที่พยายามต่อต้านตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขามีทักษะการควบคุมสัตว์อสูรเป็นไพ่เหนือกว่า พวกเขาอาจจะถูกกำจัดไปแล้ว
ถึงกระนั้นควันไฟก็ยังคงพวยพุ่งออกมาจากกำแพงหมู่บ้าน
เมื่อเห็นเช่นนั้นฉาเล่อก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
เขาไม่ได้เสียใจที่เลือกต่อต้านตระกูลสายเลือดชั้นสูง แต่เพราะเขาเสียใจที่ไม่ได้ฟังคำแนะนำของซูเฉิน
10 วันก่อนหน้านี้ ซูเฉินได้เตือนฉาเล่อเอาไว้ว่า หลังจากที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้พยายามไปหลายครั้งแล้ว คราต่อไปจะโจมตีเต็มรูปแบบอย่างแน่นอน หากหมู่บ้านต่าง ๆ ในป่าแม่น้ำตะวันตกไม่ร่วมมือกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะถูกทำลายลงทีละแห่ง
อย่างไรก็ตามการรวมหมู่บ้านทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่สะดวกอย่างไม่น่าเชื่อ ชาวบ้านที่ถูกตัดขาดจากเสบียงด้วยฝีมือของพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูง ไม่สามารถทนรับความทุกข์ทรมานไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ฉาเล่อจึงลังเลที่จะตัดสินใจ
ในความเป็นจริงเขายึดมั่นกับความหวังอันริบหรี่ในใจว่า ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะไม่ลงมือทำสิ่งที่รุนแรงเช่นนี้ พวกเขาก็แค่ขอเพิ่มราคาเป็น 3 เท่าของราคาเดิม อีกฝ่ายคงจะไม่ถึงกับต่อสู้กับพวกตนเพื่อผลกำไรเพียงเล็กน้อยนี้ ความล้มเหลวของการโจมตีครั้งแรกได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อรองราคาให้เพิ่มขึ้นได้
นี่เป็นวิธีที่คนอ่อนแอหลายคนคิด พวกเขามักจะหวังว่าตัวเองจะโชคดี แม้จะกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย และมักจะเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เมื่อความหวังที่พังทลายลงปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้น มันก็สายเกินไปแล้ว
เมื่อมองไปที่กองกำลังของตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่ต่อสู้กับพวกตน ความหวังเดียวของฉาเล่อ ก็คือคนที่เขาส่งไปขอความช่วยเหลือ จะมาช่วยพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ตราบเท่าที่เขาสามารถช่วยทุกคนได้ ฉาเล่อก็ยินดีที่จะยอมรับเงื่อนไขทุกประการ
“หัวหน้าหมู่บ้าน มีผู้ฝึกยุทธ์บุกมาจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือ !” ชาวบ้านวิ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
“ส่งคนไปขวางตรงนั้น เร็วเข้า !” ฉาเล่อตะโกนตอบ
ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งไปอย่างเร่งรีบ แต่เมื่อพวกเขาไปถึง ผู้ฝึกยุทธ์นับโหลก็ได้ฝ่าขึ้นมาบนกำแพง และเริ่มเข้าโจมตีแล้ว
กำแพงหมู่บ้านหมู่บ้านสราญรมย์ เต็มไปด้วยรูขนาดใหญ่มากมาย ทำให้ศัตรูทะลักเข้ามาจากทุกที่
“หัวหน้าหมู่บ้านส่งเทพอสูรผู้พิทักษ์ออกไปเถอะ !” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกน “เรากำลังจะต้านพวกมันไม่ไหวแล้ว”
“แต่ … ” ฉาเล่อมองไปยังเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่อยู่ห่างออกไป
ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน อย่างน้อยเขาก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นได้ ซึ่งฉาเล่อก็รู้ดีว่าทันทีที่เทพอสูรผู้พิทักษ์ปรากฏตัว ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นก็จะเคลื่อนไหวทันที
ด้วยจำนวนและความโหดเหี้ยมของเหล่าผู้เชี่ยวชาญ สัตว์อสูรไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน จนพานทำให้การต่อสู้ถึงบทสรุปเร็วขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ พวกเขาก็จะถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อออกไปได้นานขึ้น
ทว่าการเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป
เปลวไฟลุกโซนไปทั่วหมู่บ้าน ชาวบ้านถูกสังหารไปคนแล้วคนเล่า
เสียงกรีดร้องที่น่าเศร้าดังก้องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ผู้คนทยอยล้มลงเพิ่มขึ้นทุกชั่วขณะ
ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คุ้นเคย พวกเขาจ้องมองมาที่เขาจนกระทั่งแสงสุดท้ายจางหายไปจากดวงตา ราวกับสงสัยว่าเหตุใดหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเขาถึงยังไม่ยอมส่งเทพอสูรผู้พิทักษ์ออกไป
สิ่งที่ควรทำ ในบางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เช่นกัน เจตจำนงของคนคนเดียวอ่อนแออย่างมากเมื่อเทียบกับแรงบีบบังคับของกลุ่มคน และฉาเล่อเองก็กำลังถูกบังคับให้ทำมัน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่ควรก็ตาม
ฉาเล่อไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป เขาหลับตาลงและพูดเพียงแค่ว่า “ปล่อยเทพอสูรผู้พิทักษ์”
“โฮก !”
เสียงร้องโหยหวนของสัตว์อสูรดังขึ้น
2 เงาขนาดใหญ่ทาบทับปกคลุมกำแพงหมู่บ้านและแนวโจมตีของศัตรู
หลังจากการปรากฏตัวของสัตว์อสูรทั้งสอง แนวทัพของผู้ฝึกยุทธ์ก็ถูกทำลาย กลิ่นเหม็นของเลือดลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ก่อนที่ชาวบ้านบนกำแพงจะตะโกนพร้อมกันอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว