ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 55 เผยกล (3)
บทที่ 55 เผยกล (3)
เมื่อพุ่งออกมาจากป่าแล้ว เหล่าจินก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยและซูเฉินที่ถอดหน้ากากออกแล้ว
เหล่าจินเองเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นซูเฉินก็ชะงักไปเช่นกัน
แต่ที่ตกตะลึงกว่าคือสิ่งที่ซูเฉินพูดออกมาต่างหาก
คิดประมือกับด่านผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสองคนเดียวตัวคนเดียวงั้นหรือ ?
ใช่แล้ว ในทวีปต้นกำเนิดนั้นเห็นคนด่านกลั่นโลหิตที่มีฝีมือสูงส่งเอาชนะผู้ที่มีขั้นพลังต่างกันด่านหนึ่งได้ไม่ยากนัก แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตคนนั้นจำต้องมีสายเลือดระดับสูงที่เหนือกว่าอีกฝ่ายเท่านั้น
แต่ซูเฉินน่ะหรือ ?
เขาก็แค่คนไร้สายเลือดธรรมดาตนหนึ่ง ไม่มีกระทั่งสายเลือดผสมด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นยังนับว่าตนฝีมือทัดเทียมคนสายเลือดระดับสูงได้อีกหรือ ? โอหังสิ้นดี !
เหล่าจินโกรธนัก
ดังนั้นยามที่ซูเฉินเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา เหล่าจินจึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่ามีฝีมือมากพอจะทำเช่นนั้นได้หรือ ?”
“ฝีมือมากพอหรือไม่ หากไม่เริ่มสู้ก็คงไม่รู้กระมัง ?” ซูเฉินตอบกลับ
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็มาเริ่มจากข้าก่อนก็แล้วกัน” เหล่าจินหัวเราะเย็น “เฮ่อเหลียนเวย ศึกนี้ระหว่างข้ากับเขา เจ้าไม่เกี่ยว”
แต่กลับไร้เสียงตอบกลับ
เหล่าจินสะดุ้งเฮือก เขาหันไปมอง พบว่าเฮ่อเหลียนเวยจ้องเขากลับมาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่ขยับกายสักนิด
“เฮ่อเหลียนเวย เกิดอะไรขึ้นน่ะ ?”
เฮ่อเหลียนเวยไม่ตอบ
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น ซูเฉินตวัดมือปล่อยระเบิดเหยี่ยวเพลิงออกมาแล้ว
หากแต่เหยี่ยวเพลิงลูกนั้นกลับดูน่าประหลาด มันทะยานออกไปแล้วระเบิดออกไปเอง จากนั้นสะเก็ดไฟก็กระเด็นมาทางเหล่าจิน แต่เพราะมันสูญสิ้นซึ่งพลังไปแล้วจึงไม่ทำให้เขาบาดเจ็บแต่อย่างใด ราวกับเล่นตลกกันเสียมากกว่า
เหล่าจินเห็นดังนั้นก็ชะงักไป ก่อนเป็นเฮ่อเหลียนเวยที่พลันหัวเราะขึ้น “เหล่าจิน ตื่นแล้วหรือ ? แสดงว่าภาพมายาไม่อาจทำอันตรายใดได้ หากถูกพลังโจมตีเข้าหน่อยก็ฟื้นขึ้นมาได้แล้ว”
ว่าอะไรนะ ?
วิชามายาอะไรกัน ? เจ้าต่างหากที่ถูกวิชามายาไม่ใช่หรือ ?
เหล่าจินโกรธเกรี้ยวนัก กำลังจะอ้าปากเอ่นก็พลันเห็นเฮ่อเหลียนเวยเดินเข้ามาส่งหมัดเข้าใส่
เหล่าจินไม่ทันระวังตัว ปัดป้องไม่ทันการณ์ ทำให้ถูกหมัดเข้าไปเต็ม ๆ แม้จะไม่แรงนัก แต่ก็ยังทำให้โกรธได้ “เฮ่อเหลียนเวย เจ้าโง่ ต่อยข้าทำไมเล่า ?”
“นี่ข้าช่วยท่านอยู่นะ” เฮ่อเหลียนเวยตอบ
เหล่าจินได้ยินคำตอบก็ยิ่งโกรธ เขารู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยถูกมายาของซูเฉินลวงเข้าให้แล้ว
วิชามายาของซูเฉินไม่นับว่าสูงส่งนัก ไม่อาจเทียบกับ จินหลิงเอ้อร์และคนอื่น ๆ ในการลวงจิตคนได้เลย
แต่กลวิธีของเขานั้นเฉียบคมกว่านัก
เขาไม่อาจใช้ภาพมายาควบคุมใครได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็สามารถใช้มันเพื่อเลือนความจริงได้
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเห็นว่าเหล่าจินตกอยู่ในการควบคุมของซูเฉิน ก็หมายความว่าเขาได้ตกหลุมพรางมายาของซูเฉินไปแล้ว เป็นตอนนั้นเองที่ทุกอย่างที่เขาเชื่อเป็นเพียงภาพมายาในหัว ไม่ใช่ความเป็นจริง
เมื่อซูเฉินปลดภาพมายาออก การเคลื่อนไหวของเฮ่อเหลียนเวยก็จะไม่อยู่ในจินตนาการเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการเคลื่อนไหวจริง การโจมตีก็จะกลายเป็นของจริงไปด้วย
เหล่าจินไม่รู้จักวิชามายาของซูเฉิน เขารู้เพียงว่าตอนนี้เฮ่อเหลียนเวยตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซูเฉินไปแล้ว
แต่เขาก็ยังยั้งมือไว้ ไม่โต้กลับไป
แต่เมื่อเฮ่อเหลียนเวยโจมตีเป็นครั้งท่าสอง เหล่าจินก็โกรธจัด ดังนั้นจึงโต้กลับมาด้วยหนึ่งหมัด
ทำให้งานเขาง่ายขึ้นมาก
เฮ่อเหลียนเวยที่ถูกหมัดก็โกรธจัด “เหล่าจิน บัดซบเอ๊ย ท่านเสียสติไปแล้วหรือ ? นี่ท่านต่อยข้าจริงหรือ ?”
ซูเฉินยังคงใช้ภาพมายาในจังหวะทันการณ์อยู่ตลอด ตอนนั้นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเห็นนัยน์ตากระหายเลือดของเหล่าจิน ราวกับว่าอีกฝ่ายได้สูญสิ้นสติไปแล้ว
แต่เขาไม่รู้ว่าเหล่าจินที่เขาเห็นคือภาพลวงตา เหล่าจินตัวจริงนั้นถูกภาพมายาทำให้มีหน้าตาคล้ายซูเฉิน ดังนั้นเมื่อเขาเข้าโจมตีซูเฉินเต็มกำลัง แท้จริงแล้วก็คือสู้อยู่กับเหล่าจินนั่นเอง
สำหรับซูเฉิน นี่นับเป็นส่วนที่ยากที่สุด
วิชามายาของเขาสามารถสร้างภพมายาและทำให้สับสนกับความเป็นจริงได้ แต่ไม่อาจใช้ควบคุมใครได้โดยตรง ด้วยพลังของวิชาสรรพสิ่งลวงตา อาจกล่าวได้ว่าเขาไม่อาจหลอกให้เฮ่อเหลียนเวยเห็นเหล่าจินเป็นซูเฉิน และให้อีกฝ่ายซัดพลังโจมตีออกมาโจมตีเหล่าจินในโลกแห่งความจริงได้เลย
แต่โชคดีที่ซูเฉินยังรู้จักอยู่อีกวิชาหนึ่ง
วิชาป่วนจิต !
ในปีนั้น จินหลิงเอ้อร์สอนวิชาป่วนจิตให้เขา มันเป็นวิชาที่มีข้อเสียเรื่องจำนวนคนที่สามารถควบคุมเช่นเดียวกัน แต่ก็สามารถลวงความจริงได้ส่วนหนึ่ง
เมื่อครั้งนั้น คนตระกูลไป๋เข้าโจมตีพ่อบ้านตระกูลตนเองเป็นเพราะผลจากวิชาป่วนจิตนั่นเอง
เงื่อนไขในการใช้วิชาป่วนจิตนั้นค่อนข้างสูง ซูเฉินไม่อาจใช้มันทำอะไรได้มากนักเพื่อส่งผลกระทบต่อจิตเฮ่อเหลียนเวย แต่ก็โชคดีที่เขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยถูกวิชาสรรพสิ่งลวงตา ซูเฉินก็ใช้วิชาป่วนจิตซ้อนเข้าไปเพื่อล่อเฮ่อเหลียนเวย อีกทั้งเขายังไม่ได้บังคับให้เฮ่อเหลียนเวยเห็นเหล่าจินเป็นซูเฉิน แต่ใช้วิธีสร้างเงาร่างของซูเฉินบนร่างเหล่าจินต่างหาก หากเฮ่อเหลียนเวยมองดูให้ดีเสียตั้งแต่คราแรก ก็จะพบว่า ‘ซูเฉิน’ ที่ตนกำลังจ้องอยู่ดูเลือนรางอยู่เล็กน้อย ราวกับมีคนกำลังสร้างภาพทับไว้อยู่
เสียดายที่เขาไม่สังเกตให้ดี และเมื่อวิชาป่วนจิตของซูเฉินหลอกล่อเฮ่อเหลียนเวยได้สำเร็จ ก่อนจะใช้วิชาบัวมืดเพื่อทำให้การมองเห็นย่ำแย่ลงไปอีกเข้าเสริม อีกฝ่ายจึงไม่อาจรู้ความจริงได้เลย
ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าจินก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองตกอยู่ภายใต้วิชาสรรพสิ่งลวงตา
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเฮ่อเหลียนเวย วิชาสรรพสิ่งลวงตาที่ใช้กับเหล่าจินจะส่งผลต่อการรับรู้ของเขามากกว่า ดังนั้นเหล่าจินจึงไม่รู้ความจริงว่าแก่นแท้ของวิชามายาที่ซูเฉินใช้เป็นอย่างไร คิดไปแต่เพียงว่ามันสามารถใช้ควบคุมจิตใจคนได้ ไม่ใช่ทำได้แต่เปลี่ยนแปลงความจริงบางอย่างเท่านั้น
ความเข้าใจผิดนี้ทำให้เขาพลาดโอกาสในการปลุกเฮ่อเหลียนเวยจากภาพมายา สุดท้ายจึงกลายเป็นต้องต่อสู้ดุเดือดกับเฮ่อเหลียนเวยแทน
สิ่งที่ซูเฉินไม่คาดคิดคือเหล่าจินปิดบังพลังที่แท้จริงของตนไว้ ด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเขา แท้จริงแล้วคือด่านทะลวงลมปราณขั้นสูง
ดังนั้นเมื่อใช้วิชาบัวมืดเต็มกำลัง จึงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอสูรยักษ์ ก่อนอ้าปากกลืนภาพพยัคฆ์ปีกทองของเฮ่อเหลียนเวยลงไปได้ นับว่าจบเรื่องแล้ว
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยก็หลุดออกจากภาพมายา
“เหล่าจิน……” เขาพึมพำออกมา
“เฮ่อเหลียนเวย ในที่สุดก็ตื่นแล้วหรือ ?” เหล่าจินตอบเสียงหอบพร้อมลูบอกตน “เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว อย่าได้ถูกลวงไปอีกเล่า”
จากนั้นเขาก็เดินไปกอดเฮ่อเหลียนเวย ใส่พลังต้นกำเนิดลงไปในร่างอีกฝ่าย แม้พลังซัดเมื่อครู่จะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้สังหารเฮ่อเหลียนเวย ทำไปเพื่อให้เฮ่อเหลียนเวยไม่อาจทำการต่อสู้ต่อได้ชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อเหล่าจินเห็นเฮ่อเหลียนเวยดีขึ้นแล้วก็ถอนหายใจโล่งอก
แต่เมื่อคิดจะแบ่งพลังต้นกำเนิดให้เฮ่อเหลียนเวยอีกครา เขาก็เห็นว่านัยน์ตาเฮ่อเหลียนเวยแข็งค้างไปอีกครั้ง
แย่แล้ว !
ถูกลวงเข้าโลกมายาอีกแล้ว !
เหล่าจินร้องลั่นภายในใจ
แต่ตอนที่กำลังจะถอยไปนั่นเอง ก็มีคลื่นพลังรุนแรงระเบิดออกมาจากร่างเฮ่อเหลียนเวย
“ไม่นะ !”
เหล่าจินร้องโหยหวน
แรงระเบิดบ้าคลั่งนั่นกลืนกินเขาเข้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“อ๊ากกก !” หลังจากเยงร้องลั่นยาวนาน แรงระเบิดก็บรรเทาลง เหลือเพียงร่างสีดำเมี่ยมเท่านั้น
“ซูเฉิน !” เหล่าจินเอ่ยเสียงแห้ง ทว่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ยังไม่ตายอีกหรือ ?”
ซูเฉินนวดขมับตน รู้สึกเริ่มปวดหัวอยู่เล็กน้อย
ที่ปวดหัวไม่ใช่เพราะความหนังเหนียวของเหล่าจิน แต่เป็นเพราะเขาใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาติดต่อกันมากเกินไป ดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานจิตไปมาก
แม้การใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาเพื่อทำให้สับสนกับความเป็นจริงจะได้ผลดีนัก แต่ก็ใช้พลังงานจิตสูงมาก หากไม่ใช่เพราะซูเฉินมีพลังงานจิตสูงกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั่วไปแล้วละก็ เขาก็คงไม่อาจใช้วิชาได้มากถึงเพียงนี้
แต่การเอาชนะด่านผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสองคนโดยไม่ใช้พลังกายก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ
ไม่สิ ดูท่าจะต้องใช้กำลังกายสักหน่อยแล้วกระมัง
ซูเฉินเอ่ย สายตามองเหล่าจิน “ข้านับถือการปรับตัวของท่านจริง ๆ ช่างน่าเสียดายนัก…… ลาก่อน !”
เขาวาดมือ ระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงพุ่งทะยานออกไป เปลวเพลิงโหมลุกท่วมตัวเหล่าจินในพลัน
ครั้งนี้เขาไม่อาจรอดชีวิตอีก