ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 56 สังหารหมู่
บทที่ 56 สังหารหมู่
ภายในหมู่บ้านสราญรมย์
เมื่อมองซุนเฉินกระโจนพาผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสองคนจากไป กังเหยียนก็ส่ายหน้าหัวเราะ “ครานี้ตาเราแล้ว”
“ยโสโอหังนักนะ !” ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตคำรามเสียงเกรี้ยว “เฉียนซาน ซุนเฉิน ฉางมู่ พวกเจ้า 3 คนไปจัดการมัน !”
ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต 3 คนกระโจนออกไป
หนึ่งในนั้นสะบัดแขน ปล่อยพลังเยือกแข็งเข้าปะทะกังเหยียน
คลื่นพลังเยือกแข็งเหล่านั้น เมื่อถูกเกราะหลอมทองก็กลายเป็นน้ำแจ็งเกาะตัวไว้อย่างรวดเร็ว น้ำแข็งค่อย ๆ ชอนไชไปตามรอยแยกชุดเกราะ หากแต่มันไม่ได้หมายจะแช่แข็งร่างกังเหยียน ทว่าทำไปเพื่อสกัดพลังรุนแรงจากร่างเขาต่างหาก ข้อต่อต่าง ๆ ในชุดเกราะเริ่มขยับยากขึ้น ส่งผลให้กังเหยียนขยับตัวยากขึ้นเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนั้น คนที่สองก็ลงมือ เขาวาดมือ พื้นดินรอบกายกังเหยียนกลายเป็นดินโคลน ทำให้กังเหยียนเหยียบลงไปแล้วขาครึ่งหนึ่งก็จมลงโคลนไป เขาขยับตัวได้ยากมากแล้ว เมื่อถูกโคลนดูดลงไปเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเชื่องช้าลงไปอีก
คนที่สามโจมตีได้น่ากลัวที่สุด อีกทั้งยังรวดเร็วเป็นพิเศษ เขาใช้พื้นที่ป่าให้เป็นประโยชน์ กระโดดจากบนยอดไม้แล้วซัดลูกดอกเข้าใส่ไม่หยุด ลูกดอกปะทะเข้ากับเกราะเกิดเสียงดังเคร้งไม่หยุด และแม้จะไม่แกร่งขนาดทำลายเกราะได้ แต่พลังที่มาพร้อมกับตัวลูกดอกสามารถซึมผ่านตัวเกราะปะทะร่างกังเหยียน สะเทือนร่างต่อเนื่อง กระทั่งกังเหยียนยังยากที่จะรับมือ
เมื่อขยับกายได้ยากก็ยิ่งคล้ายเป็นเป้านิ่ง ลูกดอกนับไม่ถ้วนมาจากทั้งซ้ายทั้งขวา เขาทำได้เพียงใช้แขนสกัดมันเท่านั้น
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะประมือกับคน 6 คนไปด้วยตัวคนเดียว ไม่เกรงกลัวคนด่านทะลวงลมปราณแต่อย่างไร หากแต่ตอนนี้กลับถูกผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิต 3 คนกดดันจนแทบติดผนัง
เป็นผลจากการจำกัดเขานั่นเอง
นับกันเรื่องพละกำลังแล้ว กังเหยียนไม่เกรงกลัวผู้ใด ดังนั้นจะสู้กับคนที่แกร่งกว่าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ศัตรูกลับเล็งโจมตีจุดอ่อนเขาเช่นนี้ ส่งคนมาถึง 3 คน โดยหนึ่งเชี่ยวชาญไอเย็น อีกคนเชี่ยวชาญพลังดิน อีกคนก็ว่องไวนัก ใช้ความเร็วต้านพละกำลังของเขา และใช้ธาตุสกัดการเคลื่อนไหวเช่นนี้กดดันเขาได้ง่ายทีเดียว
ผู้ที่นำผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายหัวเราะเสียงดัง “ดูสิว่าจะยังทำโอหังไปได้อีกสักเท่าไร !”
กังเหยียนปัดลูกดอกทิ้งไปไม่หยุด หัวเราะชั่วร้ายตอบกลับไป “คิดใช้วิชาเท่านี้ต่อกรกับข้าหรือ ? ยังอ่อนหัดนัก !”
“โอ๋ ? เช่นนั้นเจ้ายังมีดีอะไรอีกหรือ ?” ผู้นำผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด มีนามว่า เจียงเสี่ยวจวิน หัวเราะ
“เห็นแล้วเดี๋ยวรู้เอง” กังเหยียนตอบ
สะบัดมือครั้งหนึ่ง ในมือก็ปรากฏขวดยา เขายกมันดื่มลงไปทันที
จากนั้นก็อีกขวด
เจียงเสี่ยวจวินเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร แต่ก็รู้ว่ามันคงพลิกสถานการณ์ได้เป็นแน่ เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าคนตัวยักษ์ผู้นี้จะมีของเช่นนี้อยู่ด้วย
แม้จะสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตทั้งสามเข้าโจมตีกังเหยียนในทันทีเพื่อสกัดการดื่มยา หากแต่ทั้งสามไม่ใช่สายต่อสู้ดุดัน จึงยากที่จะล้มกังเหยียน ส่วนจะให้เข้าโจมตีดุดัน บีบให้กังเหยียนเลิกดื่มยานั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งมันก็สร้างจังหวะให้กังเหยียนฉวยโอกาส ดึงเอาแมลงสีทองตัวยักษ์ออกมา
แมลงผู้พิทักษ์ !
มีแมลงผู้พิทักษ์เป็นของตนเองด้วยหรือนี่ !
แม้เจ้าแมลงนี้จะมีพลังโจมตีต่ำมาก(มันเกลียดการต่อสู้) แต่เปลือกมันแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังใช้เป็นเกราะให้เจ้านายมันได้เป็นอย่างดี
เมื่อใช้เจ้าแมลงช่วยป้องกันการโจมตีทั้งหลายแล้ว กังเหยียนจึงสามารถกลืนยาทั้ง 5 ขวดลงไปได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ตะโกนก้อง “ไอ้พวกขยะทั้งหลาย ไสหัวไปให้พ้น !”
ตู้ม !
ราวกับข้างหูมีเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ทุกคนชะงักงันไปทันที เปิดให้กังเหยียนกระโจนขึ้นไปบนอากาศ หลบหนีจากโคลนดูดไปได้
กระโจนครั้งนี้สูงนับสิบจั้ง จากนั้นเขาก็เร่งความเร็วจนสุดเพื่อไล่ตามฉางมู่ที่คล่องแคล่วว่องไว
ฉางมู่ไม่คิดว่ากังเหยียนจะสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึงเพียงนี้
“เจ้า……” ในตาเขาฉายชัดถึงความตกตะลึง
“กระโดดหนีต่อไปสิ !” กังเหยียนเอ่ยเสียงน่าขนลุก
หลังจากเสียง ‘กร๊อบ’ ดังขึ้น กังเหยียนก็บีบคอฉางมู่ไว้
ตอนที่เอื้อมมือคว้าคอฉางมู่ ทั้งสองยังอยู่กลางอากาศ และเมื่อเท้าแตะพื้น ฉางมู่ก็กลายเป็นศพแล้ว
เขาโยนร่างไร้ชีวิตทิ้งไปแล้วเอ่ยคลี่ยิ้ม “คนที่ใช้โคลน เจ้าเป็นรายต่อไป !”
เขาชี้ซุนเฉินที่ใช้วิชาโคลนเมื่อครู่
ซุนเฉินตกใจ รีบถอยห่าง อีกทั้งยังใช้วิชาโคลนขั้นสูงสุด
แต่กังเหยียนไม่แม้แต่จะไล่ตาม
เขาคำรามลั่นคราหนึ่งแล้วกระแทกหมัดลงกับพื้น
คลื่นพลังรุนแรงเริ่มคลื่นไปตามใต้ดิน เดิมทีกังเหยียนไม่อาจควบคุมทิศทางที่คลื่นพลังจะเดินทางไปได้ แต่เพราะซุนเฉินยังใช้วิชาโคลนไม่หยุด ดังนั้นจึงสร้างเส้นเชื่อมโยงระหว่างเขากับโคลนบนพื้น ทำให้เมื่อกังเหยียนส่งหมัดลงที่โคลน มันก็จึงสามารถโจมตีใส่อุโมงพลังงานที่เชื่อมต่อกันได้
คลื่นพลังรุนแรงไร้ขอบเขตพุ่งเข้าไปตามอุโมงค์พลัง กระแทกเข้าร่างซุนเฉินในทันใด
ซุนเฉินกระเด็นไปราวกับถูกกังเหยียนซัดเข้าใส่โดยตรง
กังเหยียนไม่คิดไล่ล่า ใช้มือซ้ายเอื้อมไปคว้าขอนไม้ด้านหลังก่อนเขวี้ยงเข้าใส่ที่อกซุนเฉิน
ซุนเฉินร้องลั่น ก่อนจะตายคาที่
เหลือเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนามเฉียนซานที่กำลังสับฝีเท้าวิ่งสุดชีวิต ด้วยกำลังเกรงกลัวสุดหัวใจ
ถึงตอนนี้เขาไม่มีแก่ใจจะใช้พลังเยือกแข็งผนึกการเคลื่อนไหวของกังเหยียนแล้ว และเมื่อไร้ข้อจำกัด กังเหยียนก็พุ่งตัวตามไปพร้อมเสียงหัวเราะลั่น เคลื่อนกายได้รวดเร็วกว่าเฉียนซานเสียอีก
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอีก 2-3 คนพุ่งเข้าใส่จากด้านข้าง เป็นลูกน้องของเจียงเสี่ยวจวินที่ได้รับมอบหมายให้มาจัดการกังเหยียนนั่นเอง
ทว่ากังเหยียนไม่สนใจพวกเขา ยังคงพุ่งตามไปอย่างป่าเถื่อน แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 2-3 คนที่พยายามรั้งตัวเขาไว้ ก็ถูกซัดพลังใส่จนล้มกลิ้ง
ร่างใหญ่เช่นภูผากระโจนเข้ากระแทกหลังเฉียนซาน
เฉียนซานกระอักเลือด กระดูกสันหลังหักทันที
“เผ่าหินผา !” ตาของเจียงเสี่ยวจวินหรี่เล็กลง
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าคนสวมเกราะหนักคนนี้คือเผ่าหินผา
มีเพียงเผ่าหินผาเท่านั้นที่จะมีพละกำลังน่าเกรงขามเช่นนี้
“ฮ่าห์ !” กังเหยียนคำรามเหี้ยม
“โจมตีมันพร้อมกันเลย !” เจียงเสี่ยวจวินตะโกน
ในหมู่อสูรร้ายระดับสูงทั้งสอง ตัวหนึ่งถูกสังหารไปแล้ว ส่วนอีกตัวก็บาดเจ็บหนักใกล้สิ้นใจ ส่วนข้ารับใช้เงาทั้งสี่ แม้จะโจมตีไปหายตัวไปได้ แต่ก็มีฝีมือด้อยกว่า ปรากฏตัวมาโจมตีแล้วก็ถูกบีบให้ต้องหายตัวไปอีกครา หากศัตรูแข็งแกร่งหรือมีจำนวนนับร้อยก็จะรับมือได้ยากยิ่ง
ในสนามรบแบบเปิดเช่นนี้ ที่น่ากลัวที่สุดคือนักรบบ้าคลั่งเช่นกังเหยียน หากเขาได้ลองสู้เต็มกำลังแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าไม่อาจโค่นล้มได้ สามารถสังหารทุกคนให้สิ้นได้ไม่ยาก
ดังนั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใช้ความสามารถเต็มสูบไม่ได้ !
เป็นสิ่งที่เจียงเสี่ยวจวินคิดไว้
จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้คิดผิดไปเท่าไร
แล้วก็ไม่ได้ทำผิดพลาดด้วย
แต่น่าเสียดาย แม้จะไม่ได้ทำพลาด แต่บางคราก็ไม่อาจเอาชนะได้จริง ๆ
กังเหยียนมองผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายกระโจนเข้าใส่คนเอง ด้วยเขามีตัวคนเดียวและได้ยามาเสริมพลัง สู้กับคนเป็นร้อยในคราเดียวคงจะต้องใช้พลังจนหมดเป็นแน่
แต่กังเหยียนก็ดูจะไม่คิดอะไรมาก
กลับหัวเราะออกมา “จะโจมตีพร้อมกันงั้นหรือ ? แบบนี้ข้าชอบ”
จากนั้นเขาก็ทำท่าเขวี้ยงบางอย่างไป เป็นเพลิงอัสนีหลายลูกปลิวไปในอากาศ
ตู้ม ๆ!
ท่ามกลางฝูงศัตรูพลันเกิดเปลวเพลิงโหมลุกขึ้น
เพลิงอัสนีเหล่านี้ให้ผลเป็นวงกว้าง เพราะมันไม่ได้มุ่งโจมตีจุดใดจุดหนึ่งจึงไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็สามารถใช้รับมือผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาเป็นกองทัพได้ อีกทั้งบางลูกยังเป็นเพลิงอัสนีรุ่นปรับปรุงที่ซูเฉินพัฒนามาแล้วด้วย
ท่ามกลางเสียงระเบิดและควันไฟ ได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังระงมไม่หยุด
พริบตาเดียว คนนับสิบก็ถูกเพลิงอัสนี มีคน 7-8 คนได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที
ที่น่ากลัวคือไม่ใช่กังเหยียนคนเดียวที่มีมัน ข้ารับใช้เงาเองก็มีพวกมันไว้ใช้เช่นเดียวกัน
หลังจากกังเหยียนใช้เพลิงอัสนี ข้ารับใช้เงาทั้งสี่เองก็ราวกับได้รับคำสั่ง เริ่มโยนเพลิงอัสนีเข้าไปเช่นเดียวกัน
พริบตาเดียว สมรภูมิการต่อสู้ก็ถูกเปลวเพลิงกลืนกิน คนทั้งหลายถูกไฟโลกันตร์ไหม้ร่าง
หัวหน้าพ่อบ้านเหลาแห่งตระกูลเหลียนเคยสงสัยมาก่อนว่าซูเฉินมีไพ่ตายอะไรซุกซ่อนไว้
การประชุมแนวร่วม เขาก็ค้นพบหนึ่งในไพ่ตายนั้น
หากเขาอยู่ด้วยก็คงได้พบอีกหนึ่งไพ่ตาย
นั่นก็คือความแข็งแกร่ง
เมื่อกังเหยียนและข้ารับใช้เงาเริ่มขว้างเพลิงอัสนีออกไปซ้ายทีขวาทีอย่างบ้าคลั่ง ข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนจึงไร้ค่าไปในทันที
ครั้งกังเหยียนได้เจ้าแมลงกินเหล็กมาช่วยป้องกัน ทั้งยังได้ยาเสริมพลังมา ก็ทำให้เขาสามารถพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มคนอย่างไม่เกรงกลัว กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาก็ยังคล้ายกับเป็นเพียงลูกแกะรอถูกเชือด
ไม่แน่ว่าการใช้จำนวนคนเข้าช่วยอาจพอทำอะไรได้บ้าง แต่ข้อแม้คือต้องมีจำนวนคนมากจริง ๆ มาตั้งแต่เริ่มแรก
ทว่าเห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่นำมามีจำนวนไม่พอจะอุดรูนี้ และเมื่อเผชิญกับกังเหยียนที่กระโจนเข้าใส่ราวพยัคฆ์น่าเกรงขาม ผลที่ออกมาจึงมีแต่ความสิ้นหวัง