ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 73 ภัยคุกคามจากคนด่านสู่พิสดาร
บทที่ 73 ภัยคุกคามจากคนด่านสู่พิสดาร
“เจ้าจะบอกว่าพวกเขาใช้เจ้านี่หลอกพวกเจ้าไปได้หรือ ?” ซูเฉินดูท่าจะถามไปอย่างนั้น ในมือก็ถือเหรียญตราอันเล็กไว้ชิ้นหนึ่ง
กองทหารเกราะโลหิตด้านล่างกล่าวเสริม “นี่เป็นตราของท่านเจ้าเมือง ตรวจสอบแล้วว่าเป็นของจริง ไม่รู้ว่าสิงซาเป่ยได้มันมาอย่างไรขอรับ”
“แล้วคนออกคำสั่ง ?”
“เขาเป็นคนจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง หลอกเราสำเร็จก็ฆ่าตัวตายทันที”
“เป็นงั้นหรือ” ซูเฉินพึมพำ ไม่เอ่ยอะไรอีก
ครู่หนึ่งจึงโบกมือ “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้า พวกเจ้าทำตามคำสั่งเท่านั้น ออกไปได้แล้ว”
กองทหารเกราะโลหิตค่อย ๆ เดินจากไป
หมิงชูคำรามต่ำ “นายน้อย กองทหารเกราะโลหิตผิดปกติ ถึงจะได้รับคำสั่งกะทันหัน แต่ก็ควรต้องแจ้งท่านก่อนไม่ใช่หรือ ? จากไปไม่บอกกล่าวเช่นนี้ไม่ควรมีข้ออ้าง ใครเห็นก็รู้ว่าผิดปกติ”
“ก็ใช่ แต่ถ้ามีแล้วอย่างไร ? ให้ข้าสังหารหมดเลยดีหรือไม่ ?” ซูเฉินตอกกลับ
หมิงชูจึงโต้กลับไม่ถูก
“พวกเขาไม่ใช่คนของเรา ไม่แปลกที่จะพึ่งพาไม่ได้ ที่ข้ากังวลคือเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ต่างหาก”
“นอกจากอันซื่อหยวนแล้วจะมีใครสั่งกองทหารเกราะโลหิตได้อีกเล่า ?” หมิงชูเอ่ยเสียงขุ่น
“ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น อาจมีคนหวังให้เราคิดเช่นนั้นก็ได้” ซูเฉินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “มีคำกล่าวว่ากระต่ายตายแล้วจึงฆ่าเอาเนื้อสุนัขล่าเนื้อกิน หมดประโยชน์แล้วจึงกำจัดทิ้ง ในวันนี้สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังได้เปรียบเรื่องความแกร่ง แม้จะลดทอนลงบ้างแล้ว ท่านเจ้าเมืองคงยังไม่คิดรีบตัดแขนขาตนเองทิ้งหรอก แต่หากความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าเมืองเกิดรอยร้าวก็จะตกลงสู่กับดักศัตรูทันที”
“แต่กองทหารเกราะโลหิต……”
ซูเฉินยกมือขึ้นหยุเขา “ส่วนตัวแล้ว ข้าคิดว่าเรื่องกองทหารเกราะโลหิตคงมีคนลงมือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน จริงหรือไม่ไม่สำคัญ หวังว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายเป็นพอ แต่เรื่องนี้ทำให้ข้าฉุกคิดว่ายืมกำลังคนนอกมาไม่ยั่งยืน ได้เวลาหาจังหวะสร้างกำลังของตนเองได้แล้ว”
“นายน้อยก็มีกองกำลังสามสายธารอยู่แล้วนี่ ?”
“กองกำลังสามสายธารเป็นกองกำลังลับ ไม่อาจเปิดเผยความสัมพันธ์กับข้าได้ เรายังต้องมีกองกำลังที่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็นเพื่อต่อกรกับคนพวกนั้นได้ด้วย”
“นายน้อยหมายความว่า……”
ซูเฉินลุกขึ้นเดินกลับไปมาหลายครั้ง “สิงซาเป่ยถูกจัดการแล้ว กรมพลังต้นกำเนิดกลับมาอยู่ในมือข้าอีกครั้ง ข้าจะเริ่มสร้างกองกำลังของข้าเองโดยใช้กรมพลังต้นกำเนิดเป็นหลัก หลี่ชู่ !”
“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ”
“เขียนจดหมายส่งไปคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองใช้ชื่อผู้จัดการความรู้แห่งกรมพลังต้นกำเนิด กล่าวว่าช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองธารน้ำใส กรมพลังต้นกำเนิดจึงต้องการกำลังเพิ่ม ข้าจะรับคนเพิ่ม”
นี่คือการหาลูกน้องโดยการใช้ชื่อกรมพลังต้นกำเนิดและทรัพยากรของทางการ !
นับเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
“ท่านต้องการคนเท่าไหร่ขอรับ ?” หลี่ชู่ถาม
“ผู้ฝึกยุทธ์ 800 คน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 100 คน”
ซูเฉินโลภมากนัก คิดทำให้กำลังคนของกรมพลังต้นกำเนิดเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า
การเพิ่มคนในกรมก็ต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นอันซื่อหยวนอาจจะยังไม่อาจยอมได้
แต่เมื่อมีเรื่องกองทหารเกราะโลหิตแล้ว นับว่าเป็นจังหวะดีที่จะออกปากขอกับอันซื่อหยวน หากพลาดไปอันซื่อหยวนอาจไม่คิดว่าเรื่องนี้ต้องคิดเป็นหนี้กันอีก
ในขณะที่ทุกคนกำลังทำภัยพิบัติหลิงหยวนให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ซูเฉินก็ค่อย ๆ สร้างความแข็งแกร่งของตนเองขึ้นมา
สามวันถัดมา คำสั่งเจ้าเมืองอันซื่อหยวนก็ออกมา ยอมรับแผนการขยายกรมพลังต้นกำเนิด
มีการปิดประกาศวันเวลาในการรับคนของกรมพลังต้นกำเนิด โดยประกาศว่ารับสมัครผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทุกคนในใต้หล้า
ในช่วงเดียวกันนั้น อันซื่อหยวนก็เขียนจดหมายแนะนำให้ซูเฉินขึ้นเป็นเจ้ากรมอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนสิงซาเป่ยก็ถูกกาหัวไว้ว่า ‘สูญหาย’ จากนั้นคดีก็ถูกปัดตกไป
แม้จะรู้ว่าซูเฉินสังหารสิงซาเป่ย แต่ก็ไม่อาจเปิดปากบอกได้
จากนั้นก็ไม่มีใครรื้อฟืนเรื่องราวอีก
เพราะหากมีเรื่องแล้วเรื่องทั้งหมดเปิดเผยขึ้นมา ซูเฉินก็อาจไม่กระทบอะไร แต่สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงคงจะต้องไม่พบเรื่องสบายใจแน่
————————————————
ภายในห้องทดลองมีแสงส่องสว่างและกว้างขวาง ซูเฉินกำลังนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว
ผ้าเท่อลั่วเค่อโผล่ขึ้นมาจากหินที่อยู่ไม่ไหลราวกับภูตผี
จริง ๆ แล้วก็นับว่าเขาเป็นผีตนหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นเงียบเชียบไม่มีเสียงเตือน เผยกลิ่นอายดำทะมึนลึกล้ำ
ตัวเขาราวกับกลุ่มควันดำที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ ยืนมองซูเฉินอยู่เช่นนั้น “นายน้อยของข้า หากไม่ทดลองแล้วคิดอะไรอยู่กัน ?”
ซูเฉินลูบคาง “คิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่ มีวิธีทำให้คนแกร่งขึ้นได้มากมาย แต่ข้าไม่รู้จะเลือกวิธีใดดี”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าต้องการอะไรไม่ใช่หรือ ?”
“ความแกร่ง แกร่งพอจะรับมือศัตรูฝีมือฉกาจได้” ซูเฉินตอบ
“ฉกาจเพียงไหน ?”
“ท่านมีความเห็นเรื่องคนด่านสู่พิสดารอย่างไร ?”
ร่างผ้าเท่อลั่วเค่อสะดุ้ง “ล้อเล่นหรือไม่ ? กำลังเจ้าในตอนนี้ยังอยู่ด่านกลั่นโลหิต แต่กลับคิดรับมือกับคนด่านสู่พิสดารเสียแล้ว ?”
“ข้ารู้แล้ว ๆ กำลังของข้าในตอนนี้ อาจจะพอรับมือคนสายเลือดจักรพรรดิอสูรที่ขั้นพลังเท่ากันหรือน้อยกว่าได้ แต่หากประมือกับคนด่านทะลวงลมปราณจะสู้ได้แค่กับพวกสายเลือดผสมหรืออ่อนแอกว่าเท่านั้น”
“พูดง่าย ๆ คือข้าสู้ได้แค่คนด่านทะลวงลมปราณนั่นล่ะ และหากไปเจอคนด่านทะลวงลมปราณที่มีสายเลือดอสูรกายระดับสูงหรือมากกว่านั้นเข้าก็ไม่มีโอกาสชนะเลย แน่ล่ะว่าใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาพลิกสถานการณ์ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จตลอด ขึ้นอยู่กับไหวพริบของศัตรูด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่วิธีที่แน่นอน ส่วนคนด่านสู่พิสดาร…… ข้าสิ้นหวังเลยทีเดียว กระทั่งคนด่านสู่พิสดารที่ฝีมือห่วยที่สุดยังสังหารข้าโดยนิ้วเดียวได้”
“เจ้ารู้ก็ดี”
“แต่ข้าก็ต้องเตรียมตัว” ซูเฉินว่า “สิงซาเป่ยกับศิษย์พี่พวกนั้นจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นพากำลังคนมากมายมาสังหารข้า สุดท้ายล้มเหลว หากไม่โง่เหมือนหมู ครั้งหน้าที่ลงมือต้องรุนแรงกว่าแน่นอน ข้าเชื่อว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ด่านทะลวงลมปราณหรือด่านสู่พิสดาร 10 คน อย่างหลังใช้รับมือข้าได้ง่ายกว่าอีก ท่านว่างั้นหรือไม่ ? ถึงข้าจะอยากให้เป็นอย่างแรกก็ตามแต่”
ถึงจะไม่อาจเอาชนะคนด่านทะลวงลมปราณ 10 คนได้ แต่อย่างน้อยก็ยังหนีได้
แต่หากเป็นคนด่านสู่พิสดารซึ่งขั้นพลังสูงกว่าเขาถึง 2 ด่านเต็ม เช่นนั้นเขาก็คงไร้แม้แต่โอกาสหนี
“เป็นเช่นนั้นเอง” ผ้าเท่อลั่วเค่อหลุดลงสู่ภวังค์ความคิด “ข้ามีคำถาม ในเมื่อสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีคนด่านสู่พิสดารอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังไม่ส่งมาจัดการเจ้าเล่า ?”
ซูเฉินตอบทันควัน “สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีคนด่านสู่พิสดารจริง แต่ไม่ใช่แขกตระกูล เป็นเสาหลักที่ได้รับความเคารพต่างหาก ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารของแต่ละตระกูล ไม่เป็นผู้อาวุโสก็เป็นผู้นำตระกูลหรือผู้ก่อตั้ง เป็นบรรพบุรุษที่ได้รับความเคารพยิ่ง หรือก็คือทั้งตระกูลนั้นต้องรับใช้คนคนเดียวก็ว่าได้”
“ในสายตาคนสำคัญเหล่านั้น คนในตระกูล แขก ทหารยามทั้งหลายก็เป็นได้เพียงลูกน้องไว้ใช้งาน หากเกิดเรื่องในหมู่ลูกน้อง แต่ลูกน้องบอกให้หัวหน้าเป็นคนจัดการเอง สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ? ให้ผู้นำตระกูลรับใช้ลูกน้องหรือ ? หน้าที่กลับกันแล้วกระมัง ? ดังนั้นหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางลงมือเองหรอก”
“แต่กลับกัน หากลูกน้องพบปัญหา สุดท้ายทำงานได้ประโยชน์น้อยลง เช่นนั้นก็เปลี่ยนคนเสียเท่านั้น ไม่เพียงประหยัดกำลัง แต่ยังเสริมให้ลูกน้องทำหน้าที่ให้ดี วิธีเช่นนี้ดีที่สุดเลยกระมัง ?”
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะยังกังวลเรื่องอีกฝ่ายส่งคนด่านสู่พิสดารมาสังหารเจ้าไปเพื่ออะไร ?”
“คนที่ไม่วางแผนอะไรสุดท้ายจะเจอปัญหา แม้ในทางทฤษฎี ตาแก่เหล่านั้นอาจไม่ลงมือเอง แต่หากมีคนที่ชอบตามใจลูกน้องเล่า ? หากมีคนที่พบปัญหาจากข้า พร้อมยอมแลก ไปงอแงต่อหน้าตาแก่เหล่านั้นสักหน่อย อาจมีตาแก่สักคนยอมเสียหน้าออกมารับมือกับข้าเองก็เป็นได้ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็มีโอกาส อีกทั้ง……”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “ข้าใช้ชาวบ้านจากหมู่บ้านสราญรมย์เพื่อประโยชน์ตนเอง จากนั้นจัดการพวกโจรสลัดเพื่อแก้ปัญหาทางเดินเรือสินค้า ส่งผลต่อรากฐานพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงในระดับหนึ่ง ไม่ช้านานตาแก่พวกนั้นคงนั่งไม่ติดที่”
“เช่นนั้นแล้วต่อไปก็รามือลงหน่อย เรียกอาจารย์เจ้ามาเป็นอย่างไร ?”
“ข้าเรียกเขามาได้ แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตาแก่เหล่านั้นจะลงมือ จะเป็นโจรใช้เวลานานได้ แต่จะให้คอยระวังโจรตลอดเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งหากข้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองไม่อาจรับมือคนด่านสู่พิสดารได้จริง ?”