ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 8 การปะทะ
บทที่ 8 การปะทะ
หลังออกจากกรมพลังต้นกำเนิดมา ซูเฉินก็ไม่ได้รีบร้อนกลับ ยังคงเดินทอดน่องอยู่ที่ถนน
เมืองธารน้ำใสไม่ใหญ่โต แต่มีดินอุดมสมบูรณ์ ประชาชนทั้งหลายจึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และเพราะมีธารน้ำใสไหลตัดผ่านเมือง ดังนั้นการค้าจึงสะดวกยิ่ง ตลาดจึงมีผู้คนวุ่นวายอยู่เสมอ
ซูเฉินเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนขายของร้องตะโกนขายสินค้า ที่น่าตกใจคือบางคนถึงกับขายวัตถุดิบระดับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเสียด้วยซ้ำ
แม้พวกมันจะเป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปอย่างเกาลัดเขาทองหรือมาลัยแปดใบ แต่พวกมันก็ปรากฏในมือของคนธรรมดาได้ยาก ไม่แปลกที่ผู้คนจะกล่าวว่ามณฑลอีกาดำมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ก็เพราะมีสมุนไพรยาเติบโตอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากนั่นเอง
เป็นเพราะที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดและถูกขายโดยชาวบ้านทั่วไป สมุนไพรและวัตถุดิบยาเหล่านี้จึงมีราคาถูกกว่าทั่วไป บางชิ้นกระทั่งถูกกว่าราคาในเมืองฉางผานกว่า 10 ส่วน ดังนั้นซูเฉินจึงเดินซื้อสมุนไพรไปไม่น้อย
ทันใดนั้น ซูเฉินก็พลันหยุดฝีเท้าแล้วมองหญิงชราเบื้องหน้าตน
ในตระกร้าของหญิงชรามีหญ้าเถาเงิน ส่วนผสมที่นักปรุงยาใช้กันทั่วไปอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปถาม “ท่านยาย ขายหญ้าเถาเงินเท่าไร ?”
หญิงชราตอบเสียงสั่น “ต้นละ 1 เหรียญเงิน หากซื้อหมดก็ 1 ตำลึงทอง”
หญิงชรามีหญ้าเถาเงินไม่มากนัก เพียง 10 ต้นเท่านั้น อาจเพราะนางไม่กล้านำมามากเกินไป กล้านำของมูลค่าเท่า 1 ตำลึงทองติดตัวมาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดเรื่องได้
ซูเฉินหัวเราะก่อนยื่นมือไปหยิบหญ้าเถาเงินต้นหนึ่ง “ท่านดูนี่ หญ้าเถาเงินนี่มีเส้นใยสีเงินอยู่ด้วย หมายความว่ามันพัฒนาไปเป็นหญ้าสายเงินแล้ว หญ้าสายเงินมีค่ากว่าหญ้าเถาเงินกว่าราวร้อยเท่าเชียว”
เขาวางหญ้าสายเงินลงบนมือหญิงชรา “ต้นนี้ อย่างน้อยก็ 10 ตำลึงทอง ท่านอย่าได้ขายมันราคาถูกไป”
หญิงชราจ้องซูเฉินสีหน้างุนงง ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจ สะบัดแขนเสื้อจากไป
หญิงชรารีบเอ่ย “ขอบคุณคุณชายที่ชี้แนะ !”
หากแต่นางกลับรีบเก็บตะกร้าแล้วจากไป เห็นได้ชัดว่าราคา 10 ตำลึงทองทำให้นางตกใจนัก จึงไม่กล้านำมันออกขายที่นี่ และคิดหาทางอื่นขายมันจะดีกว่า
คนอ่อนแอย่อมมีวิธีเอาตัวรอดของตน ซูเฉินไม่ห่วงหญิงชราคนนั้น แต่ที่นางร้องเรียนเขาว่า ‘คุณชาย’ นั้นทำให้เขาหัวเราะ
เขายังคงมุ่งหน้าต่อไป ฉับพลันก็ได้ยินเสียงดังตูมที่ด้านหลัง
เขาหันไป พบว่าด้านหลังมีคลื่นพลังหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา คนหลายคนถูกมันซัดกระเด็นจนลอยไปราวกับถูกลมพายุซัด
คลื่นพลังนั้นซัดคนไปกว่าสิบ รวมถึงหญิงชราคนนั้นด้วย ร่างนางกระเด็นหมุนไปแล้วกระแทกลงกับพื้น ด้วยชราภาพมากแล้วนางจึงสิ้นใจทันที มือยังคงกำหญ้าสายเงินไว้แน่นแม้จะหมดลมหายใจแล้ว
ซูเฉินพบว่าต้นพลังคือชายสองคนที่กำลังต่อสู้พัวพันกันอยู่
ทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ดังนั้นทุกกระบวนท่าจึงเต็มไปด้วยพลัง เศษหินกระเด็นไปทั่วทุกที่ พลังที่ปล่อยออกมาเป็นระลอกคลื่น ไม่มีใครรู้ว่ามีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการประมือกันครั้งนี้ไปเท่าไร
แต่สองคนนั้นไม่สนใจรอบกาย ทำเพียงต่อสู้ต่อไปให้สมใจเท่านั้น ขณะสู้ยังสาดคำใส่กันไปมาไม่หยุด “อวี๋เฉิงสุ่ย อยู่แต่กับสตรีจนหมดพลังแล้วหรือ ? จะใช้พลังน้อยเท่านั้นประมือกับข้าเนี่ยนะ ?”
“หุบปากไปเลย ซุนเม่า ถึงข้าจะใช้เวลากับสตรีนับ 10 คนก็ยังคว่ำเจ้าได้ก็แล้วกัน”
“ไร้สาระ ! ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว เจ้าก็แสดงให้ข้าดูหน่อยว่าจะคว่ำข้าอย่างไร !”
ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
หมัดหลายหมัดถูกส่งออกไป คลื่นพลังระเบิดออกมาจนทั่ว กิจการร้านค้าข้าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วย คนหาบเร่ยังพอวิ่งหนีไปได้ แต่คนที่เปิดร้ายก็ได้แต่หาที่หลบภัย ปล่อยให้คลื่นพลังปะทะร้านจนพังราบ
ซูเฉินเห็นแล้วก็อารมณ์วูบวาบเลยทีเดียว
ในฐานะผู้จัดการความรู้ เขามีหน้าที่รับมือกับการทะเลาะเบาะแว้งของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่ถึงไม่มีหน้าที่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยสถานการณ์นี้ผ่านไปอยู่แล้ว
ชายหนุ่มกระแทกหนึ่งฝ่ามือส่งไปยังทิศคนทั้งสอง ดูเป็นท่าฝ่ามือธรรมดา แต่เมื่อปลดปล่อยออกมาแล้วสภาพอากาศโดยรอบที่ปั่นป่วนก็สงบลง คลื่นคลายลงในที่สุด จากนั้นเขาก็ตะโกนบอก “สู้กันกลางถนน ทำร้ายคนบริสุทธิ์เช่นนี้งั้นหรือ ? หยุดมือเดี๋ยวนี้ !”
เขาไม่คิดว่าคนทั้งสองจะหันมาแล้วกระแทกเสียงพร้อมกัน “ไอ้หนูนี่มาจากไหน ? อย่างยุ่งเรื่องคนอื่น !”
จากนั้นก็ซัดพลังใส่ซูเฉินทันที
ยามคนเรามีพลังอำนาจ เป็นการยากที่จะไม่เย่อหยิ่งทระนงตน มักดูถูกคนธรรมดาเป็นดั่งมดตัวเล็ก เช่นนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
เหตุผลที่คนแกร่งยังไม่ขึ้นครองทุกสรรพสิ่ง ใช้กำลังอำนาจควบคุมคนอ่อนแอไว้ นั่นก็เพราะคนผู้นั้นยังมีศัตรู ยังมีคนที่แกร่งกว่าอยู่อีก
แต่ถึงกระนั้น ในยุคนี้ที่คนพาลทั่วเมือง หลาย ๆ คนจึงมองคนธรรมดาเป็นเพียงผักหญ้า สังหารไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร
สองคนนี้ย่อมไม่ต่าง เห็นได้ชัดว่าไม่ศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ปางไหน แต่ก็ยืนกรานจะสู้กันกลางตลาดร้านค้าเช่นนี้ ไม่สนใจว่าพวกตนจะสร้างความเสียหายมากเท่าไร จิตใจชั่วร้ายนัก แม้ซูเฉินจะพยายามหยุดแต่ก็ถูกโจมตีกลับมาทันที
ไอสังหารในตาซูเฉินพลันเผยแวว “รนหาที่ตายหรือ ?”
ด้านหลังยังมีคนอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดหลบพลังซัดทั้งสอง แต่เปิดใช้เกราะรบเหล็กกล้ารับการโจมตีไว้ แล้วโบกมือวูบหนึ่งสร้างระเบิดเหยี่ยวเพลิง ส่งมันเหินขึ้นฟ้าพุ่งเข้าใส่อวี๋เฉิงสุ่ย
เขาคุมพลังที่ปล่อยออกมาอย่างระมัดระวัง ดังนั้นจึงไม่เห็นคลื่นพลังสะท้านออกมา ด้วยพลังทั้งหมดถูกกักไว้ในร่างของเหยี่ยวเพลิง
อวี๋เฉิงสุ่ยส่งเสียงคำรามในลำคอ กระแทกฝ่ามือออกมา แสงสีเข้มเย็นวาบพุ่งเข้าใส่เหยี่ยวเพลิง จังหวะที่ปะทะกัน แสงสีเข้มของอวี๋เฉิงสุ่ยก็หายไปทันที หากแต่เหยี่ยวเพลิงยังคงพุ่งทะยานเข้าใส่อวี๋เฉิงสุ่ย
“บัดซบ !” อวี๋เฉิงสุ่ยสบถด่า เขาเหินร่างขึ้น ไม่สนใจว่าพลังซัดของซูเฉินจะซัดไปโดนใครเข้า หากตนเองหนีรอดก็นับว่าพอ
เหยี่ยวเพลิงพุ่งผ่านใต้ร่างเขาไป ตอนที่คิดว่าหลบได้แล้ว เขากลับรู้สึกว่าแผ่นหลังร้อนผ่าว ดังนั้นจึงรีบรวมพลังไปไว้ที่หลัง แต่เสียงตู้มก็ดังขึ้น เหยี่ยวเพลิงปะทะเข้าใส่หลังเข้าอย่างจัง เปลวเพลิงโอบร่างอวี๋เฉิงสุ่ยแทบจะทันที เขากรีดเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซูเฉินไม่สนใจ เพราะอย่างไรก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด เท่านั้นไม่ตายหรอก
ซุนเม่าพุ่งเข้ามาแล้ว ตอนนี้กำลังใช้มีดลับแทงเข้าที่สีข้างของซูเฉิน
ชายหนุ่มพลันบิดตัวหลบแล้วคว้าข้อมือซุนเม่าไว้ ทั้งสองยื้อยุดกันครู่หนึ่ง ทว่าซุนเม่าไม่อาจสะบัดข้อมือตนหลุด ทำให้ถูกซูเฉินเตะเข้าที่หัวเข่าอย่างจัง ทำให้ซุนเม่าต้องคุกเข่าลงแล้วร้องเสียงดังออกมา
“รู้จักคุกเข่าร้องขอความเมตตาด้วยหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ จากนั้นโบกมือขวา ซัดระเบิดเหยี่ยวเพลิงอีกลูกใส่อวี๋เฉิงสุ่ยที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้ จากนั้นก็พลิกมือซ้าย จับกุมตัวซุนเม่าไว้
“เจ้า !” ซุนเม่าตะโกนลั่น มือซ้ายของเขาเริ่มมีสีดำปรากฏ จากนั้นก็ใช้ท่าดัชนีใส่ซูเฉิน
ดัชนีผลาญของเขาทรงพลังไม่น้อย แต่ใช้พลังเยอะเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าใช้มันออกมาโดยง่าย ประมือกับอวี๋เฉิงสุ่ยเมื่อครู่ก็ยังไม่ใช้ แต่ถึงตอนนี้เขายอมเสี่ยงทุกอย่างแล้ว !
เคราะห์ร้ายที่ท่าดัชนีกลับถูกมือขวาตนเองเข้า เปิดให้ซูเฉินดึงแขนซุนเม่ามาใช้สกัดการโจมตีได้พอดิบพอดี
“อ๊ากกกก !” ซุนเม่าร้องโหยหวน แขนขวากลายเป็นเนื้อเหลวทันที
“ร้ายกาจจริง” ซูเฉินเลิกคิ้วสูง ท่าดัชนีนี้ไม่เลวเลย หากถูกเข้าก็คงบาดเจ็บหนักพอตัว