ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 82 ความน่ากลัวของด่านสู่พิสดาร
บทที่ 82 ความน่ากลัวของด่านสู่พิสดาร
หลังศึกที่บึงหลิงหยวน อำนาจในมือกลุ่มโจรสลัดต่าง ๆ ก็ถึงคราวสับเปลี่ยนมือ
กองกำลังขุนเขาหยกและกองกำลังวิทูรกระจ่างเสียหายใหญ่หลวง กองกำลังสามสายธารหลบซ่อนตัว ส่วนกองกำลังสายธารมืดก็หายไปอย่างน่าประหลาด
เมื่อ 4 กองกำลังหลักบนน่านน้ำหายไปตาม ๆ กันเช่นนี้ มันก็ส่งผลให้กองกำลังเล็ก ๆ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันวุ่นวายเป็นการใหญ่
หากแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับซูเฉินอีกต่อไป
หลังออกคำสั่งให้หยุดกองกำลังสามสายธารไว้ชั่วคราว และส่งถังหมิงกับคนอื่น ๆ กลับไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปทำการทดลองดั่งเช่นทุกวันดังเดิม มีบ้างที่แวะไปที่กรมพลังต้นกำเนิดเพื่อจัดการธุระงานหรือเรื่องเบาะแว้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังเพื่อยับยั้งความโอหังของเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูง
วันเวลาผ่านไปอย่างมั่นคงไร้เหตุการณ์ใด
ซูเฉินทำการทดลองของเขาไปเช่นดังเดิม
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ ดังมาจากไกล ๆ
ดังนั้นจึงวางขวดน้ำยาในมือลง รีบเดินออกจากห้องทดลองทันที “เกิดอะไรขึ้น ?”
“ข้าไม่แน่ใจขอรับ แต่ฟังดูแล้ว น่าจะเกิดขึ้นไกลมาก ไม่น่าเกี่ยวกับเรา” หลี่ชู่ตอบ
ซูเฉินปีนขึ้นไปบนภูเขาจำลอง มองลงไปยังเมืองเบื้องล่าง เห็นคน ๆ หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ รอบข้างมีหมอกดำกำจายอยู่ทั่ว
“เซินอวิ๋นหง ไสหัวออกมา !”
จากนั้นเสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้น “ฉื่อจ้งหลิน เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า ?
“เซินอวิ๋นหง เจ้าต่างหากที่ล้ำเส้น ! เอาชีวิตหลานชายข้าคืนมา !”
แขนของชายชราที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันใหญ่ขึ้น หมอกดำเบื้องหลังเริ่มกลายร่างเป็นผีหลายตนพุ่งลงมาพลางเปล่งเสียงโหยหวน
ผีเหล่านี้น่าผวานัก แม้จะสร้างขึ้นจากหมอกดำ แต่ก็มีร่างจริงที่ เปลี่ยนท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทได้ และเมื่อผีร้ายพุ่งลงไป มันก็ตามมาด้วยเสียงร้องตื่นตกใจ ก่อนที่เพียงพริบตาเดียว ศิษย์ตระกูลเซินกว่าสิบคนจะตายคาที่ ถูกดูดโลหิตจนร่างแห้งเหี่ยว ราวกับเป็นศพมาแล้วพันปี
เซินอวิ๋นหงทั้งตกใจทั้งโมโห “ฉื่อจ้งหลิน เจ้ากล้าหรือ !”
ฝ่ามือยักษ์พุ่งลงมาจากฟ้า กดลงบนร่างฉื่อจ้งหลินจนราวกับถูกภูเขาทับ
ชายชราอ้าปากพ่นหมอกดำสายหนึ่งที่ก่อร่างเป็นมนุษย์ออกมา มันดูคล้ายเพลิงเงายักษ์ของซูเฉิน ทว่ามันสูงและทรงพลังกว่าไม่รู้กี่เท่า ซึ่งเมื่อมันก่อร่างขึ้นกลางอากาศเสร็จ มันก็พลันปล่อยหมัดออกปะทะกับท่าฝ่ามือของเซินอวิ๋นหงที่ราวกับจะปิดฟ้า จนเกิดคลื่นพลังปั่นป่วนหนาแน่นจนแทบจะกลั่นเป็นหยดน้ำ แล้วจึงกลายเป็นคลื่นพลังจากแรงปะทะขนาดใหญ่แผ่ออกมา
คลื่นพลังหลายระลอกซัดออกทั่วทุกทิศ สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน จนพวกเขาต่างร้องตกใจวิ่งหนีกันกระเจิง
ต่อหน้าพลังอันแข็งแกร่งของคนด่านสู่พิสดาร ทุกสิ่งอย่างกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสียได้
กระทั่งซูเฉินยังไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนหน้านี้อาสิบเอ็ดต่อสู้ระวังตน ทำให้พลังไม่กระจายออกทั่ว แม้พลังที่แท้จริงของมันอาจจะยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่ผลกระทบและรูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่นเท่า นี่นับเป็นตัวอย่างชั้นดีว่าด่านสู่พิสดารมีพลังทำลายล้างเท่าไร
แท้จริงแล้ว ความต่างของด่านสู่พิสดารและด่านทะลวงลมปราณมีมากเกินไปต่างหาก
การทะลวงขั้นพลังของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นไม่ง่ายเช่นการคิดคำนวณตัวเลข แต่มันเป็นกระบวนการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คล้ายกับการ ‘วิวัฒนาการส่วนบุคคล’
ด้วยแม้ด่านสู่พิสดารจะเป็นด่านที่สูงกว่าเพียงด่านหนึ่ง แต่ก็เป็นเครื่องหมายแทนความก้าวหน้าสูงส่งของพลังชีวิตของตัวบุคคล เนื่องจากความต่างระหว่างด่านสู่พิสดารและด่านทะลวงลมปราณนั้นมีมากกว่าความต่างระหว่างด่านที่ต่ำลดหลั่นกันลงไป 3 ด่านมากทีเดียว
ซูเฉินจึงไร้โอกาสเอาชนะคนด่านสู่พิสดารได้ อย่าน้อยก็ในตอนนี้… และถึงแม้จะอยู่ด่านทะลวงลมปราณแล้ว แต่การจะทะลวงฝ่าไปถึงด่านสู่พิสดารก็ทำได้ยากยิ่ง
การปะทะกันของสองคนด่านสู่พิสดารสร้างความแตกตื่นครั้งใหญ่ในเมืองธารน้ำใส หมาล่าเนื้อและนกอินทรีถูกปล่อยออกไป ทำให้ทั่วเมืองตกอยู่ในความโกลาหล
“ใครกล้าก่อปัญหาในเมืองธารน้ำใส ? ไม่รู้จักกฎการต่อสู้ผู้เชี่ยวชาญพลังหรือไร ?” น้ำเสียงโมโหโกรธาดังขึ้นเหนือเมืองธารน้ำใส คือเสียงอันซื่อหยวนนั่นเอง
อันซื่อหยวนยืนอยู่กลางอากาศ เผยศีรษะล้านเลี่ยนขนาดใหญ่ให้เห็นชัดเจน ราวกับยักษ์ที่มองชายชราทั้งสองด้วยความเกรี้ยวกราด
กฎการต่อสู้ผู้เชี่ยวชาญพลังถูกเขียนขึ้นร่วมกันโดยเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด บัญญัติไว้ว่าคนด่านสู่พิสดารทั้งหลายขึ้นไปห้ามต่อสู้กันในเมือง หากจะสู้ก็ต้องคุมพลังที่ปล่อยออกมา อาสิบเอ็ดและคนอื่น ๆ เองก็ทำตามกฎนี้ ไม่เพียงจดจ่อกับพลังต้นกำเนิด แต่ยังควบคุมระยะแรงโจมตีด้วย หากแต่ตาเฒ่าทั้งสองในวันนี้เพิกเฉยต่อกฎ เข้าห้ำหั่นกันไม่สนใคร ไม่แปลกที่อันซื่อหยวนจะโกรธนัก
พูดจบ อันซื่อหยวนก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป
เทียบกับพลังโจมตีของชายชราทั้งสองแล้ว การโจมตีของอันซื่อหยวนนั้นดูไม่สง่าเท่า แต่ก็แกร่งไม่แพ้กัน หมัดนี้เล็งที่ฉื่อจ้งหลินซึ่งรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดี หมอกดำทั้งหลายเริ่มสลายหายไป กลายเป็นเกราะคล้ายกระดองเต่าสกัดการโจมตีไว้ได้ ฉื่อจ้งหลินร้องขึ้น “ข้ามาล้างแค้นให้หลานชายข้า !”
“ข้าไม่สนว่าท่านจะล้านแค้นให้ใคร แต่ท่านต้องเคารพกฎเกณฑ์ที่ข้าตั้งไว้ในเมืองธารน้ำใส แม้ท่านจะโคนข้าได้ แต่จะโค่นทั้งอาณาจักรหลงซางได้หรือ ?” อันซื่อหยวนว่า น้ำเสียงราวสายฟ้าคำราม เป็นคำที่พุ่งทะลวงใจคนชราทั้งสอง ทะลวงเข้าสู่ใบหูของคนทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั่น
เขานับเป็นเจ้าเมืองที่ชาญฉลาด แม้พวกชาวบ้านจะตกใจกลัว แต่เขาก็ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป ยังมีคนที่ออกมาปกป้องพวกชาวบ้านได้อยู่ คนพวกนั้นไม่อาจทำอะไรตามใจชอบได้ !
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาณาจักรหลงซาง’ ฉื่อจ้งหลินก็ชะงักไปก่อนตะโกนต่อ “แค้นใจนัก ! คนแซ่เซิน เรายังไม่จบกันหรอกนะ !”
พูดจบเขาก็ลอยจากไป
“ถึงอยากจบ ข้าก็ไม่ให้จบหรอก !” เซินอวิ๋นหงคำรามโกรธ
ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินที่ฉื่อจ้งหลินเอ่ยว่ามาเพื่อล้างแค้นให้หลานชาย ด้วยมาตอนนี้เซินอวิ๋นหงรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นตอนที่เขาปล่อยฉื่อต้วนจางไปแล้ว แต่มาตอนนี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนนับไม่ถ้วน หากคิดโต้เถียงว่าเขาไม่ได้สังหารฉื่อต้วนจางจะแสดงถึงความอ่อนแอ อีกทั้งฉื่อจ้งหลินยังโอหังนัก สังหารศิษย์ตระกูลเขาไปตั้งมาก มีหรือเขาจะปล่อยให้เหล่าศิษย์ต้องตายเปล่า ?
ฉื่อจ้งหลินทำแผลให้คนของตนเสร็จ เรื่องคำอธิบายก็ไม่จำเป็นแล้ว สำคัญคือหนี้เลือดครั้งนี้ต้องมีคนชดใช้
เขามองฉื่อจ้งหลินบินจากไป ก่อนเป็นเซินอวิ๋นหงที่มิวายตะโกนไล่หลังแล้วไล่ตามไป ชายชราสองคนไล่ล่ากันกลางอากาศ ก่อนเงาร่างทั้งสองจะจางหายไป ดูท่าจะไปสู้กันที่อื่นต่อ
ซูเฉินมองทั้งสองหายไปแล้วก็ค่อย ๆ ปีนลงจากภูเขาจำลอง เหมือนจะคิดอะไรอยู่ในใจ
“นายท่าน ?” กังเหยียนเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าอีกฝ่าย ก็รู้ว่ากังเหยียนคิดอะไรอยู่ พลันหัวเราะขึ้น “คิดว่าข้ากลัวพวกเขาหรือ ?”
กังเหยียนชะงักไป
คนด่านสู่พิสดารปะทะกันสะท้านทั้งสวรรค์และโลกา สะเทือนสิ่งที่กังเหยียนคิดว่าตนเคยรู้ราวกับพลิกโต๊ะ ซูเฉินจะกลัวหรือไม่เขาไม่รู้ แต่ตัวเขาเองนั้นตกใจมาก
ทว่าซูเฉินเอ่ยอย่างใจเย็น “อาจารย์เองก็อยู่ด่านสู่พิสดาร ข้าจะไม่รู้ซึ้งถึงพลังพวกเขาได้อย่างไรกัน ? มีพลังเท่านี้คิดข่มขู่ข้าได้หรือ ? ยังน้อยเกินไป ข้าเพียงคิดว่าเซินอวิ๋นหงตามไปแล้ว ตระกูลเซินคงจะไม่ว่างชั่วขณะ ฉวยเอาจังหวะนี้จัดการตระกูลเซินเลยเป็นไร ?”
อะไรนะ ?
กังเหยียนได้ยินคำซูเฉินก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก
โชคดีที่ซูเฉินส่ายหน้า “ช่างเถอะ เซินอวิ๋นหงอาจยังไม่ตายก็ได้ อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาปะทะกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหลาย ปล่อยไว้ก่อนคงมีประโยชน์กว่า”
กังเหยียนเหงื่อเย็นไหลท่วมหน้าผาก
ส่วนซูเฉินกลับไปทำการทดลองต่อยังห้องทดลองของตน