ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 84 เผ่าวิญญาณ (2)
บทที่ 84 เผ่าวิญญาณ (2)
เดิมทีบนทวีปต้นกำเนิดนั้นไม่มีวิญญาณ เมื่อคนตายก็คือตาย ไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่อีก
ก่อนที่จะมีเผ่าวิญญาณปรากฏขึ้น เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเรื่องเล่าเหนือจริงเท่านั้น
แต่เมื่อมีเผ่าวิญญาณ ในใต้หล้าก็มีผีวิญญาณขึ้นมาจริง ๆ
เผ่าวิญญาณนั้นไม่เหมือนกับเผ่าอื่น ๆ มันคือเผ่าที่ถูกสร้างขึ้นมา
หากได้กลายเป็นเผ่าวิญญาณก็จะสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมาก ๆ ได้
และไม่มีใครรู้ว่าชีวิตยืนยาวนี้จะจบลงหรือไม่ เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีเผ่าวิญญาณแก่ตายมาก่อน ผ้าเท่อลั่วเค่อเอง มองมุมหนึ่งก็คือเผ่าวิญญาณ แต่สถานการณ์แตกต่างกว่า จิตไม่ได้มีร่างทางกายภาพเอง เป็นแผ่นหินที่ทำให้เขายังคงอยู่ต่อไปได้ แต่นอกจากนั้น เขาก็ไม่ต่างจากเผ่าวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมีชีวิตอยู่นับหมื่นปีโดยไร้ปัญหา
อีเก๋อเน้ยซิวซือรู้ว่าตนยังสามารถพัฒนาเครื่องมือกลายวิญญาณต่อไปได้ และสุดท้ายก็จะสามารถนำมาใช้กับชาวอาร์คาน่าได้ กระทั่งเหล่าคนที่ได้จากไปแล้วก็ตามแต่ ก่อเกิดความเป็นนิรันดร์อันหลากหลายขึ้นมา
แต่สุดท้ายเขาก็พบกับทางตัน
จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เขาก็ไม่อาจปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการเครื่องมือกลายวิญญาณออกได้
ความบ้าคลั่งต่อความเป็นนิรันดร์ เมื่อล้มเหลวซ้ำหลายครั้งเข้าก็จางหายไป มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ยอมแพ้ ทำการค้นคว้าสูญเปล่าต่อไป กลายเป็นว่าทำให้เผ่าวิญญาณแกร่งขึ้นโดยไม่ตั้งใจไป
หลังอาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลาย เผ่าจิตวิญญาณทมิฬที่นำโดยผู้ที่ถูกแปลงจิตแล้วและผู้ที่รอมาเนิ่นนานก็เข้ายึดครองเครื่องมือกลายวิญญาณ
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬ เมื่อมีเครื่องมือกลายวิญญาณแล้วก็แตกคอกันเรื่องการนำเครื่องมือไปใช้
บ้างอยากทำลาย ปลดปล่อยเผ่าจิตวิญญาณทมิฬจากความทุกข์ทรมาน แต่ก็มีคนที่แปลงจิตแล้วบังคับให้คนอื่น ๆ ทำตามด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นนิรันดร์และเพิ่มความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิด แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือไม่อาจมีลูกหลานและสูญเสียความสุขสมทางเพศไป
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬจึงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬกลุ่มหนึ่งยังคงอยู่อย่างสันโดษ พวกเขากลับไปอาศัยอยู่ใต้ดินไม่ถูกแสง อาศัยอยู่ได้หลายปีร่างกายก็ปรับตัว ตาสามารถมองเห็นในความมืดได้ พวกเขาอับอายกับ ‘ความอัปลักษณ์’ ของตนเอง ดังนั้นจึงเรียกแทนตนเองว่า เงาหรือราตรีชน แทนที่จะเรียกตนว่าเผ่าจิตวิญญาณทมิฬ
อีกกลุ่มเดินตามรอยเท้าผู้เบิกทาง ยอมใช้เครื่องมือกลายวิญญาณให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นดวงจิตไป
นี่คือเผ่าวิญญาณ
และเพราะร่างกายพวกเขาคือพลังต้นกำเนิดที่ถูกกลั่นจนบริสุทธิ์ เผ่าวิญญาณจึงมีความสามารถในการคุมพลังต้นกำเนิดสูง ดังนั้นจึงมีความแกร่งเหนือกว่าอีก 5 เผ่า กระทั่งกล่าวได้ว่ากลายเป็นสิ่งมีชีวิตต้นกำเนิดไปแล้วก็ว่าได้ พวกเขามีพลังชีวิตที่ไม่เสื่อมคลาย ไม่ตายเพราะความชรา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาต่างเป็นทหารที่มีพลังยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น
ชีวิตนิรันดร์และพลังอันสูงส่ง เมื่อรวมสองอย่างเข้าด้วยกันก็มากเกินพอที่จะสร้างเผ่าที่แข็งแกร่งและรุ่งโรจน์ที่สุดขึ้นมาได้
โชคยังดีที่เผ่าวิญญาณมีข้อด้อยหลัก ๆ อยู่สองข้อ
หนึ่งคือไม่อาจสืบพันธุ์ได้
ผู้ที่คอยคงจำนวนเผ่าวิญญาณไว้คือเผ่าจิตวิญญาณทมิฬที่ยอมพ่ายแพ้ไปจนต้องแปลงจิตกลายวิญญาณ และหลังจากนั้นก็จะถูกนำมาไว้ยัง ‘ตำหนักอุบัติชีวา’ อันเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งความมืดมน ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็น ‘มารดาผู้ให้กำเนิด’
สองคือพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบการปลีกวิเวก
ช่วงชีวิตที่ยาวนานทำให้พวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด ดังนั้นจึงชอบทำเพียงล่องลอยไปทั่ว
นอกจากนั้นแล้วก็ยังไม่เคยหยุดแสวงหาเรื่องพลังต้นกำเนิดเลย
เผ่าวิญญาณชอบทำการทดลองเพราะได้รับสติปัญญาของอาร์คาน่าสืบทอดมา ความเป็นนิรันดร์ของพวกเขาไม่อาจหยุดลง ดังนั้นเผ่าวิญญาณหลาย ๆ คนจึงออกตามหาและค้นหาความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับใต้หล้านี้
และด้วยความที่รักสันโดษเป็นปกติ ดังนั้นจึงไม่ติดต่อใครเป็นเวลานาน ทำให้ในยามต่อสู้ใหญ่ ๆ จึงมีกำลังอ่อนแอเพราะขาดความสามัคคีในเผ่า ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงมักใช้ประโยชน์จากสถานที่ มักทำการต่อสู้กลุ่มเล็กเพ่อจะได้สำแดงพลังตนออกมาได้เต็มที่
และในปีที่ 8300 ของยุคดาราใหม่ เรื่องราวครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในเผ่าวิญญาณ
เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่ใจกลางเมืองหลักของเผ่าวิญญาณเพราะทำการทดลอง ตำหนักอุบัติชีวาถูกทำลายสิ้น มารดาผู้ให้กำเนิดเกือบถูกสังหารไปทั้งหมด
และเพื่อรักษาผ่าวิญญาณให้ยั่งยืนต่อไป เผ่าวิญญาณจึงถูกบังคับให้ยื่นกิ่งมะกอกให้เหล่า ‘ราตรีชน’ ที่เป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ให้พวกเขาส่งมารดาผู้ให้กำเนิดชุดใหม่มาให้
แต่ถึงกระนั้น ราตรีชนพัฒนาร่างมาเป็นเวลานาน จึงแตกต่างจากเผ่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง ทำให้เด็ก ๆ จากมารดาผู้ให้กำเนิดเผ่าราตรีชนนั้นมีพลังด้อยกว่าทั้งในเรื่องโอกาสในการแปลงจิตได้สำเร็จและความแกร่งหลังจากนั้น
ความรุ่งเรืองของเผ่าวิญญาณจึงเริ่มเสื่อมถอยลง
นับแต่นั้นมา เผ่าวิญญาณก็เริ่มทำการค้นคว้าใหม่ นั่นคือการฟื้นคืน ตำหนักอุบัติชีวา
—–
เมื่อซูเฉินได้ยินเรื่อง ‘ปีศาจส่งเด็ก’ ก็รู้ว่าคงเกี่ยวข้องกับเรื่องเผ่าวิญญาณที่ทำการทดลองเรื่องการสืบต่อเผ่าพันธุ์นั่นเอง เรื่องเว่ยเหลียนเฉิงและแก้วเคลือบม่วงเองก็เป็นหลักฐานชั้นดี
ยิ่งได้ยินจีหานเยี่ยนเอ่ย ซูเฉินหัวเราะ “ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเผ่าวิญญาณในปาโจวเป็นคนเดียวกับเผ่าวิญญาณในเมืองธารน้ำใสหรือไม่”
“เรื่องนั้นพูดยาก เจ้าพวกไม่ใช่ผีไม่ใช่คนพวกนี้ชอบทำลับ ๆ ล่อ ๆ เรื่อง ตำหนักอุบัติชีวา ก็เป็นประเด็นสำคัญของพวกเขามาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีเผ่าวิญญาณถึง 2 กลุ่มมาทำการทดลองเรื่องนั้นในแถบเดียวกัน” จีหานเยี่ยนตอบ
“แต่เจ้าคงไม่มายังมณฑลอีกาดำอย่างไร้เหตุผล” ซูเฉินว่า
“ข้าไม่ได้มาจัดการเรื่องเผ่าวิญญาณ แต่มาหาคนต่างหาก”
“ใคร ?”
“ราวหนึ่งปีครึ่งก่อน รองเจ้ากรมแห่งปาโจว คนที่พบศพในถ้ำ จู่ ๆ ก็หายตัวไป ก่อนหายตัวไปเขาทิ้งจดหมายไว้ บอกว่าเขาค้นพบเบาะแสหลายอย่างเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณและจะทำการออกตามหา จากนั้นมาก็ไม่มีใครได้ข่าวคราวเขาอีก กรมวินิจฉัยคดีแห่งปาโจวออกค้นหาตัวเขามานานแต่ก็ไม่พบคน ตอนนั้นพวกเราก็จบจากสถาบันพอดี ข้าเลยถูกส่งไปรักษาตำแหน่งรองเจ้ากรมที่นั่น”
จีหานเยี่ยนอธิบายสถานการณ์ชัดเจน “เมื่อไปถึงปาโจว ข้าก็ทำการสืบสวนการหายตัวไปของรองเจ้ากรมคนก่อน แต่ไร้เบาะแสจึงวางมือไป แต่ลูกชายของเขา เว่ยเสี่ยวเฟิง ไม่ยอม ยังคงออกตามหาจนทั่ว และเมื่อ 3 เดือนก่อน ข้าก็ได้รับแจ้งจากเว่ยเสี่ยวเฟิงว่ามีคนพบบิดาของเขาในมณฑลอีกาดำ ดังนั้นจึงจะออกตามหา ตอนนั้นข้าไม่ใส่ใจ แต่ไม่นานเว่ยเสี่ยวเฟิงก็หายตัวไปเช่นกัน ก่อนกายไปเขาก็ทิ้งเบาะแสชี้ว่าเผ่าวิญญาณน่าจะอยู่ในบริเวณมณฑลอีกาดำ”
“เป็นเช่นนี้เอง” ซูเฉินพึมพำ “เช่นนั้นเผ่าวิญญาณในมณฑลอีกาดำและในปาโจวดูจะเป็นกลุ่มเดียวกัน”
“เราไม่ตัดความเป็นไปได้นั้นออก แต่ตอนนี้เรามุ่งหาตัวเว่ยเสี่ยวเฟิงก่อน หากพบเขาก็จะพบเผ่าวิญญาณ”
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเว่ยเสี่ยวเฟิงยังไม่ตาย ?”
“เว่ยเสี่ยวเฟิงมาจากตระกูลมีสายเลือด แม้จะเป็นสายเลือดธรรมดา แต่ก็มีพลังพิเศษที่สามารถทิ้งร่องรอยไว้ บอกได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น แต่รอยสายเลือดที่เขาทิ้งไว้ยังทำให้เราประมาณการได้ว่าคนที่ทิ้งรอยไว้อยู่ที่ใด ระยะนี้รอยจากสายเลือดของเขาแสดงให้ข้าเห็นว่าเว่ยเสี่ยวเฟิงอยู่ใกล้กับเขตธารน้ำใส ดังนั้นจึงรีบรุดเดินทางมา และแวะมาพบเจ้าระหว่างทางเสียหน่อย”
“เป็นงั้นหรือ” ซูเฉินพยักหน้าก่อนเอ่ยถามตามปกติ “ใช่แล้ว รองเจ้ากรมคนก่อนมีนามว่าอะไรเล่า ?”
“เขามีนามว่าเว่ยเหลียนเฉิง”