ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 89 เปิดร้าน
บทที่ 89 เปิดร้าน
สามวันถัดมา ซูเฉินก็ก้าวเท้าออกมาจากห้องทดลองอีกครั้ง
เมื่อเห็นซูเฉิน หลี่ชู่ก็รีบเดินเข้ามาทันที “นายน้อยออกมาเสียที”
“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ?” ซูเฉินว่า พลางใช้วิชาทำความสะอาดร่างกายที่สกปรกมอมแมมของตน
“รองผู้บัญชาการจีกับอวิ๋นเป้ามาขอพบ แต่ไม่ได้มาด้วยเรื่องสำคัญใด กรมพลังต้นกำเนิดเองก็เรียบร้อยดี มีเรื่องเกิดขึ้นบ้าง แต่อวิ๋นเป้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ใครก็รู้ว่ากองกำลังปฏิบัติการลับอยู่ข้างนายท่าน พวกเขามีอิทธิพลมาก กระทั่งตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังต้องกลัว……”
“เลือกเล่าเฉพาะเรื่องสำคัญ” จากนั้นเขาก็เริ่มจัดการกับเล็บมือและผมเผ้า
“เซินอวิ๋นหงกลับมาเมื่อ 2-3 วันก่อนขอรับ”
“อ้อ ? ไม่ตายหรือ ?” ซูเฉินเลิกคิ้ว “น่าเสียดาย”
แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ตาแก่ตระกูลเซินไม่ตายเช่นนี้ทำให้ชายหนุ่มผิดหวังอยู่บ้าง
“ไม่ตาย แต่ก็น่าจะบาดเจ็บสาหัสขอรับ กลับมาถึงก็ประกาศว่าจะเก็บตัวทันที”
“ประกาศว่าจะเก็บตัวหรือ ?” ซูเฉินชะงักไป “ประกาศสู่สาธารณะเลยหรือ ?”
“ขอรับ !”
“เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ แสดงว่าบาดแผลไม่สาหัส เพียงแต่วางกับดักไว้เท่านั้น ใครที่กล้าเข้าโจมตีพวกเขาตอนนี้ก็รนหาที่ตาย”
หลี่ชู่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนตั้งสติได้ “นายน้อยสติปัญญาเฉียบคมนัก ! กลยุทธ์นี้เรียกว่าแสร้งทำอ่อนแอต่อหน้าศัตรู !”
“อา ช่างมันเถอะ สู้กับหอยกาบแล้วชาวประมงได้ประโยชน์เช่นนี้ขึ้นอยู่กับดวง หากไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องบนน่านน้ำเล่า ?”
“คุณชายเจียงมุ่งหน้าไปยังบึงหลิงหยวนแล้ว กองกำลังสามสายธารเริ่มก่อตั้งขึ้นใหม่ รวมขุมกำลังเล็กน้อยที่นั่นไว้ด้วยกัน เมื่อ 2-3 วันก่อนข้าได้ยินว่าพวกเขากวาดล้างกลุ่มพันธมิตรโจรสลัดไป 3 กลุ่ม ทำให้พวกตระกูลชั้นสูงสั่นคลอน เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงมีคนด่านสู่พิสดารออกมาอีก”
“ไม่เป็นไร เขามีสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์ ถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร เจียงซีสุ่ยก็ยังรับมือไหว ตราบเท่าที่พวกเขาไม่เอาคนด่านนั้นที่มีสายเลือดเจ้าอสูรหรือสูงกว่านั้นมาละก็นะ อีกทั้งเจ้าตัวมีเบื้องหลังเช่นนั้น ถึงแพ้ก็คงมีไม่กี่คนที่กล้าสังหาร” ซูเฉินดูไม่เป็นกังวลมากนัก
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง……” หลี่ชู่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าพูด
ซูเฉินเหลือบมองอีกฝ่ายแปลก ๆ “หากมีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
หลี่ชู่เอ่ย “เราเหลือเงินไม่มากแล้วขอรับ”
“เหลือไม่มาก ?” ซูเฉินชะงักไป “แล้วเหลือเท่าไหร่ ?”
“น้อยกว่า 3 ล้านขอรับ”
“น้อยกว่า 3 ล้านหรือ ?” ซูเฉินพึมพำ
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินได้เงินมากว่า 40 ล้านจากการขายตำราเปิดพลังไคฮวง จากนั้นก็ได้มาเป็นก้อนอีกหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ใช้เงินไวนัก ทุกการทดลองใช้หินพลังต้นกำเนิดไปนับหมื่นนับพัน เมื่อใช้เงินมือเติบแต่ไม่หาเพิ่มเช่นนี้ เงินจึงร่อยหรอลงไปทุกเดือน
เวลา 7-8 ปีที่ผ่านมาเขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้มากมายเช่นนี้ก็เป็นเพราะเขาแทบจะเผาเงินทั้งหมดทิ้งไปแล้วนั่นเอง
กระทั่งทายาทคนสายเลือดจักรพรรดิอสูรหรือคนในราชวงศ์ยังไม่ใช้เงินไปกับการบ่มเพาะพลังมากมายเช่นนี้
ซึ่งหินพลังต้นกำเนิดที่ยังเหลืออยู่ 3 ล้านก้อนนั้น มันก็มาจากฝีมือในการบริหารจัดการของหลี่ชู่นั่นเอง
เมื่อเห็นสีหน้าซูเฉินไม่พอใจเท่าไร หลี่ชู่จึงรีบเอ่ย “ข้าสาบานด้วยชีวิตว่าข้าไม่ได้ยักยอกเป็นของตนสักนิดขอรับ”
ซูเฉินเห็นแล้วก็หัวเราะ “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้ ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า เพียงแต่เสียใจที่ต่อไปคงไม่ได้ทำการทดลองติดต่อกันได้อีก ผลการทดลองคงช้าคล้ายเต่าคลาน คงถึงเวลาคิดเรื่องหาเงินบ้างแล้ว”
ซูเฉินคิดครู่หนึ่ง “บอกเจียงซีสุ่ยให้ปล้นให้มากหน่อย ชิงเอาสินค้าของตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งธารน้ำใสมาให้ข้าทั้งหมด ไม่ต้องส่งไปขายในราคาต่ำที่เกาะใจหยกอีก ส่งมาให้ข้า เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“นายน้อยจะจัดการอย่างไรหรือ ?” หลี่ชู่ถาม
“ก็จะเปิดร้านขายอย่างไรเล่า เดี๋ยวเจ้าไปดูที่ถนนสักหน่อย หาหน้าร้านสวย ๆ มาสักหลายร้าน” ซูเฉินตอบ “ใช่แล้ว เปิดร้านขายยาสักหลายร้านก็น่าจะดี”
พึ่งเพียงสายเลือดเจียงซีสุ่ยอย่างเดียวคงไม่พอ ซูเฉินจึงตั้งใจจะใช้ของที่เขาสรรค์สร้างขึ้นเองมาเสริมด้วย คงถึงเวลาปรุงยาขายแล้ว
ถึงตนนี้เขาจะเป็นเพียงนักปรุงยาระดับชำนาญ ทว่าอีกหนึ่งก้าวก็จะเป็นระดับปรมาจารย์แล้ว ซึ่งนักปรุงยาระดับเขานั้นใต้หล้าควานหาตัวกันให้วุ่น ระดับฝีมือเช่นเขาแต่ยังไม่ออกหาเงินคงหาได้ยากนัก
ได้ยินซูเฉินเอ่ยเช่นนั้น หลี่ชู่จึงเอ่ยเตือน “เช่นนั้นก็จะบาดหมางกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงอีกครั้งนะขอรับ”
ซูเฉินหัวเราะ “ถูกต้อง บาดหมางกันอีกครั้ง แต่เรามีทางเลือกหรือ ? ใครใช้ให้แขนขาตระกูลสายเลือดชั้นสูงยืดไกลเช่นนั้น ? คุมเอาได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทรัพยากรในป่าแม่น้ำตะวันตกไปจนถึงทางน้ำใช้ขนสินค้าในบึงหลิงหยวน รวมไปถึงร้านค้าต่าง ๆ ในธารน้ำใส ข้ากัดเนื้อส่วนแบ่งจากป่าแม่น้ำตะวันตกและกัดขาพวกเขาในบึงหลิงหยวนมาแล้ว คงถึงเวลาเผชิญหน้ากันในเมืองธารน้ำใสแล้วกระมัง”
“ป่าแม่น้ำตะวันตกกับบึงหลิงหยวนต่างห่างไกลเมืองทั้งคู่ อิทธิพลขยายไปไม่ค่อยถึง แต่ร้านค้าในเมืองธารน้ำใสนั้นอยู่ใกล้นัก หากเราล่วงเกินเขาที่นี่ กองกำลังอีกฝ่ายเองก็อยู่ใกล้เช่นกัน” หลี่ชู่เอ่ยเตือน
ซูเฉินยิ้มบาง “ก็อันตรายอยู่ แต่เราก็ได้ประโยชน์ เจ้าไปลงมือเถอะ หากเกิดเรื่องข้ารับผิดชอบเอง”
“ขอรับ !”
หลี่ชู่เป็นพ่อบ้านมีฝีมือ มักจะคอยเตือนสติหรือหากจำเป็นจริง ๆ ก็จะคัดค้านเจ้านายตนเสมอ แต่เมื่อเจ้านายตัดสินใจแล้ว เขาก็จะทำให้ดีที่สุดไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
หลังจากหลี่ชู่ออกไปทำหน้าที่แล้ว ก็มีร้านค้าหน้าใหม่ผุดขึ้นในเมืองธารน้ำใสหลายร้าน รวมถึงร้านยาหนึ่งร้านและศาลาขายสมบัติอีกหนึ่งร้าน และที่ขายอยู่ก็คือยาที่ซูเฉินปรุงกับเครื่องมือต้นกำเนิดที่ชิงมาได้ พร้อมทั้งมีสมบัติต่าง ๆ ที่ติดมาด้วย
และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่จำเป็น หรือก็คือเพื่อหาเงินอย่างสงบสุขได้สักหลายวันหน่อย หลี่ชู่จึงไม่ได้เติมชื่อซูเฉินไว้ในชื่อร้าน
แต่ละร้านใช้ชื่อแตกต่างกัน กระทั่งผู้จัดการร้านที่เชิญมายังไม่รู้ว่าเจ้าของร้านที่แท้จริงคือผู้จัดการความรู้ซูแห่งกรมพลังต้นกำเนิด
การเปิดกิจการครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบไม่โดดเด่นมาก เริ่มทำการค้าได้อย่างสุขสงบ ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ
ในเวลาเดียวกันนั้น กองกำลังสามสายธารภายใต้การนำของเจียงซีสุ่ยก็เริ่มออกปล้นกองเรือของตระกูลสายเลือดชั้นสูงเมืองธารน้ำใสราวกับบ้าคลั่ง เดิมทีกองกำลังสามสายธารจะควบคุมการกระทำไม่ไปกระตุกหนวดตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาก ทุกเดือนออกปล้นเพียงหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้ 3 วันปล้น 3 ครั้ง ได้สินค้ามามากมายทีเดียว
สินค้าทั้งหมดถูกส่งให้ซูเฉินผ่านกลุ่มอันธพาลฉางชิง นำมาเป็นทรัพยากรให้กิจการของหลี่ชู่ได้มากมาย
กองเรือสามกองมุ่งหน้ามายังเมืองธารน้ำใสถูกปล้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้สินค้าขาด ร้านทั้งหลายเริ่มขึ้นราคาสินค้า ทำให้ชาวบ้านเริ่มกังวลใจ เคราะห์ดีที่มีบางร้านยังขายราคาปกติ ยิ่งทำให้ลูกข้าเพิ่มขึ้น เสริมชื่อเสียงร้านได้ในเวลาไม่นาน
สุดท้ายร้านเหล่านั้นจึงถูกจับตามอง
ในวันนั้นเอง หลี่ชู่อยู่ที่ ‘ร้านค้าขายรุ่งเรือง’ กำลังสอบถามความเป็นไปของกิจการ ร้านนี้เป็นร้านขายของจิปาถะต่าง ๆ แม้จะเป็นของที่มีราคาไม่มาก แต่ก็ขายได้จำนวนมาก ทุก ๆ วันมีลูกค้าเข้ามามากมาย
ตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั่นเอง กลุ่มชายหนุ่มที่ดูจะเป็นกลุ่มอันธพาลก็เดินกร่างเข้ามาในร้าน
เจ้าคนข้างหน้าตะโกนเสียงดังลั่น “ผู้จัดการร้านอยู่ไหน ?”
ผู้จัดการร้านที่หลี่ชู่เชิญมาเอ่ยขึ้น “ข้าชื่อจางหลิ่ว เป็นผู้จัดการร้านแห่งนี้ มีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ?”
ชายหนุ่มแหวกชุดให้ดู เผยให้เห็นลายสักรูปหัวพยัคฆ์ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกว่านับจากนี้ไป ร้านค้าของเจ้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มพยัคฆ์ร้าย ถัดจากเดือนนี้ไปเจ้าก็จ่ายเงิน 1 พันตำลึงทุกเดือน พวกข้าจะดูแลความปลอดภัยให้เอง”