ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 9 จับกุม
บทที่ 9 จับกุม
แม้จะถูกจับกุมตัวไว้แล้ว ความชั่วร้ายของซุนเม่าก็ยังไม่เปลี่ยนตะโกนเสียงดังลั่นออกมา “บัดซบ ! ไอ้เวร ! กล้าแส่เรื่องของข้าแล้วยังทำลายแขนข้าอีกงั้นหรือ ? เจ้าไม่รอดแน่ ! ต้องตาย ได้ยินหรือไม่ !?”
อวี๋เฉิงสุ่ยลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยแผลไหม้ แต่สายตายังคงจ้องซูเฉินด้วยความโกรธแค้น “กล้าโจมตีพวกข้าหรือ ? รู้หรือไม่ว่าพวกเราคือใคร ?”
“ถามข้าก่อนดีหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” ซูเฉินตอกกลับ
เขาดึงจี้หยกออกมาแกว่งหน้าคนทั้งสอง “ข้าคือซูเฉิน ผู้จัดการความรู้แห่งเมืองธารน้ำใสคนใหม่ พวกเจ้าต่อสู้กันกลางตลาด ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย ข้าจะนำพวกเจ้าไปขัง”
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินเป็นผู้จัดการความรู้ ทั้งสองก็ชะงักไป
แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเกรงกลัวแต่อย่างไร บนสีหน้าคนทั้งสองยิ่งมีความดุดันปรากฏ
อวี๋เฉิงสุ่ยเอ่ยตามตรง “เป็นผู้จัดการความรู้คนใหม่นี่เอง ไม่แปลกที่ยื่นมือเข้ามายุ่ง แต่ผู้จัดการความรู้ซู เจ้าไม่คิดสืบหาเลยหรือว่าเรื่อใครยุ่งได้ เรื่องใครยุ่งไม่ได้ ?”
“หือ ? ข้าไม่รู้เลยว่าหน้าที่ผู้จัดการความรู้กรมพลังต้นกำเนิดต้องเลือกเป้าหมายเมื่อไหร่กัน ?”
“ย่อมต้องเลือก เพราะบางคนก็ไม่ควรเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย !” อวี๋เฉิงสุ่ยเอ่ยเสียงเหี้ยม “เคยได้ยินชื่อสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงแห่งเมืองธารน้ำใสหรือไม่ ? ข้ามาจากตระกูลเหล่านั้น จากตระกูลเหลียน หากยอมปล่อยพวกข้าไป ข้าจะคิดเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“ไม่มีทาง !” ซุนเม่าร้องลั่น “มันทำลายแขนข้า มันต้องตาย ! ตาย !”
อวี๋เฉิงสุ่ยเหลือบมองอีกฝ่ายสายตาสมเพช “นั่นมันเรื่องของเจ้า ข้าไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอกนะ”
พูดแล้วก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
ไม่สนใจซูเฉินสักนิด สำหรับเขา แค่พูดว่ามาจากตระกูลเหลียนก็คือเรื่องจบแล้ว
ดังนั้นเมื่อซูเฉินเอ่ยขึ้น อวี๋เฉิงสุ่ยจึงชะงักค้างไป “ข้าบอกว่าให้ไปได้แล้วหรือ ?”
เขาหันกลับมามองซูเฉินด้วยสายตาเย็นชา “อะไร ? คิดอยากล่วงเกินตระกูลเหลียนงั้นหรือ ?”
“พูดมากไปแล้ว”
ชายหนุ่มโบกมือครั้งหนึ่ง หนวดอากาศก็พุ่งเข้ามา รัดร่างอวี๋เฉิงสุ่ยแล้วลากตัวเขากลับมา ส่วนซุนเม่ายังคงตะโกนโหวกเหวก ทำให้ซูเฉินต้องซัดเขาทีหนึ่งจนสลบไป แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมลากคนทั้งสองไว้ด้วยมือข้างหนึ่งตามไปด้วย
ชาวบ้านที่มุงดูกลับไม่ดีใจที่เห็นภาพนี้ บนใบหน้ามีแต่รอยกังวล เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงแทนซูเฉิน
คนหนึ่งกล่าวขึ้น “คนโชคร้ายอีกคนแล้ว”
อวี๋เฉิงสุ่ยร้องโหยหวน “เจ้าล่วงเกินตระกูลสายเลือดชั้นสูง 2 ตระกูลในคราวเดียวเลยหรือ ? พวกข้าต้องสั่งสอนเจ้าแน่ ! ฐานะผู้จัดการความรู้ของเจ้าอยู่ได้ไม่นานหรอก !”
เป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั้นมีพลังมากกว่าคนทั่วไปนัก ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงอยู่เหนือกฎหมาย
เรื่องต่อสู้กันกลางตลาดแล้วเผลอสังหารคนไม่นับเป็นอะไร กระทั่งจงใจสังหารคนอื่น ๆ ยังไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ
แม้ทางการจะพยายามหาทางแก้ด้วยการจับกุมตัวคนกระทำผิด แต่ส่วนมากมักไม่เป็นเช่นนั้น ทางการเพียงควบคุมเรื่องให้อยู่ในความเรียบร้อย ไม่ลุกลามบานปลายเท่านั้น หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรปกติก็จะมองข้ามไป
แต่ถึงกระนั้นทางการก็ยังเป็นทางการ หากทางการจับไม่ได้ เจ้าก็ลอยตัวต่อไป แต่หากจับได้ก็ต้องยอมจำนนแต่โดยดี
ดังนั้นเมื่ออวี๋เฉิงสุ่ยว่าเช่นนั้น ซูเฉินจึงเริ่มสนใจ “อะไรกัน ? ตระกูลสายเลือดชั้นสูงกล้ามีเรื่องกับกรมพลังต้นกำเนิดด้วยหรือ ?”
คนเหล่านี้คงจะมีอำนาจในมืออยู่บ้างกระมัง
แต่ไม่ว่าจะมีมากเท่าไรก็ไม่อาจขัดกับทางการได้ หากมีอำนาจมากถึงขั้นที่สามาถรวมกลุ่มกันบีบให้ทางการยอมปล่อยคนได้ ก็คงได้แต่ยอมรับว่ามณฑลอีกาดำนั้นเกินจะเยียวยาแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว อวี๋เฉิงสุ่ยคำรามขึ้น “ไม่ต้องบุกกรมพลังต้นกำเนิดหรอก แต่จากนี้ไปเจ้าก็ระวังตัวให้ดีเถอะ !”
“งั้นก็เหมือนเคยสินะ” ซูเฉินพยักหน้า
หากไม่บุกทำลายกรมพลังต้นกำเนิดก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเรื่องลงมือลับหลังก็เป็นปกติยิ่ง กระทั่งในเมืองฉางผาน หัวหน้ากองกำลังลับยังถูกลอบสังหารได้ นับประสาอะไรกับมณฑลอีกาดำที่ผู้คนไม่สนกฎหมาย
ไม่ว่าจะคุยโอ้อวดอย่างไรก็ลงมือกับเขาได้เพียงลับ ๆ เท่านั้น
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ ตราบเท่าที่ไม่คิดโจมตีกันซึ่งหน้า ซูเฉินก็ไม่คิดกลัว
ปัญหาใหญ่ที่สุดยามถูกลอบโจมตีเช่นนี้คือการที่ไม่อาจทำอย่างเปิดเผยได้ และหากทำไม่ได้แล้วนั่น มันก็หมายความว่าทุกสิ่งอย่างทุกจำกัด ดังนั้นความแกร่งก็จะลดลงมาก
ชายหนุ่มไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะใช้ลูกไม้ใด กลัวเพียงอีกฝ่ายคิดใช้กำลังซึ่งหน้าบีบบังคับเอาก็เท่านั้น
หากตระกูลจูหรือหกตระกูลใหญ่ กระทั่งอารามนิรันดร์ใช้วิธีการเช่นนั้นกับเขา เขาก็คงตายไปแล้ว
แต่ที่พวกเขาไม่ทำเพราะต้องคอยระวัง อาจมีบ้างที่คิดหลอกลวง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมากลับมีแต่ล่มจม
ซูเฉินไม่สนใจหากอีกฝ่ายคิดวางกับดัก เขาสนใจเพียงหากอีกฝ่ายคิดเผชิญหน้ากับเขาอย่างเปิดเผยต่างหาก
แต่ศัตรูเขาไม่รู้ถึงจุดนี้ คนที่คิดสังหารเขาคิดจะเสียหายฝ่ายตนให้น้อยที่สุด แต่กลับคำนวณผิดพลาด สุดท้ายเสียมากไม่พอ ยังต้องยอมแพ้ไปอีกด้วย
ซูเฉินไม่รู้ว่าสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองธารน้ำใสนั้นแข็งแกร่งเพียงไหน แต่หากฉลาดสักหน่อย พวกเขาก็จะไม่บุกกรมพลังต้นกำเนิดเพื่อสังหารซูเฉินเพื่อคนทั้งสองที่เชิญปัญหาเข้าหาตนเองหรอก ถึงพวกเขาจะเป็นคนจากตระกูลตนเองก็ตาม
เมื่ออวี๋เฉิงสุ่ยเห็นว่าไม่อาจขู่ซูเฉินได้จึงรีบเอ่ย “เชื่อข้าเถอะ เจ้าไม่อยากล่วงเกินสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงหรอก กระทั่งท่านเจ้าเมืองอันซื่อหยวนยังไม่กล้า แล้วเจ้าเป็นใครกัน ?”
“อย่างแรก ข้าไม่ได้ล่วงเกินสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูง ล่วงเกินเพียงเจ้ากับคนที่ชื่อซุนเม่า อย่างที่สอง หากพวกเจ้าทรงพลังนัก เข้าไปแล้วเดี๋ยวก็ออกมาเอง เจ้าจะกลัวอะไรไป ? อย่างสุดท้าย ถึงข้าจะล่วงเกินจริง ข้าก็ไม่สน”
อวี๋เฉิงสุ่ยคำพูดติดอยู่ในลำคอ ซุนเม่าเองก็เริ่มได้สติ
เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยเสียงดุร้ายออกมา “ซูเฉินใช่หรือไม่ ? ข้าจะจำชื่อนี้ไว้ ข้าสาบานว่าจะสังหารเจ้าให้ได้ ตระกูลหลงไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่นอน ไม่มีทาง !”
“ตระกูลหลงหรือ ?” ซูเฉินชะงัก “เจ้ามาจากตระกูลหลง ?”
“อะไรของเจ้า ? รู้จักกลัวแล้วหรือไร ? สายไปแล้วกระมัง !” ซุนเม่าจ้องซูเฉินด้วยความโกรธแค้น เป็นคนที่อารมณ์ร้อนไม่น้อยเลยทีเดียว
“เปล่า ข้าเพียงประหลาดใจกับความบังเอิญนี้ อืม ไม่แน่ข้าอาจต้องเปลี่ยนแผนสักเล็กน้อย” ซูเฉินพูดตัดบท จากนั้นก้มหน้าลงครุ่นคิด ทันใดนั้นก็หยิบยาสองขวดออกมาจากแหวนกักเก็บแล้วกรอกปากคนทั้งสอง
หลังจากนั้น ซูเฉินก็ลากคนกลับกรมพลังต้นกำเนิด
เฉาเจิ้งจวินเห็นเขากลับมาก็คิดถามว่าเกิดอะไรขึ้น กลับพบว่าซูเฉินลากคนกลับมาด้วยสองคน ทำเอาเขาตกใจจนตาแทบถลน
ทว่าซูเฉินไม่รอให้อีกฝ่ายถาม “ต่อสู้กันกลางตลาด กระทบผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตไป 1 คน อีก 3 คนบาดเจ็บสาหัส บาดเจ็บเล็กน้อย 30 ที่ถนนฟากโน้น ทหารอารักขาเมืองน่าจะกำลังเดินทางไป ส่งคนไปติดตามด้วย”
“ข้าหรือ !?” เฉาเจิ้งจวินชี้หน้าตนเองอยากไม่อยากเชื่อ
“ถูกต้อง หากข้าจับคนร้ายได้ ไม่ใช่ว่าต้องมอบให้เจ้าหรือ ?” ซูเฉินถาม
“ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้วขอรับ…… ทว่า……” เฉาเจิ้งจวินพูดตะกุกตะกัก ไม่เอ่ยให้ชัดเจน
ซูเฉินรู้ได้ว่าเฉาเจิ้งจวินรู้จักคนที่เขาจับมาทั้งสองว่ามาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ดังนั้นจึงตกใจและไม่กล้าจับกุมให้เป็นนักโทษ
สีหน้าเขาจึงเครียดขึงขึ้น “พูดติดอ่างอะไรอีก ? กรมพลังต้นกำเนิดไม่ได้รับหน้าที่ดูแลความสงบสุขในเมือง รับมือเรื่องเบาะแว้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดหรือไร ?”
“ถูกต้องแล้วขอรับ แต่……”
“ไม่มีแต่ เอาตัว 2 คนนี้ไปแล้วทำตามกฎ”
ว่าแล้วซูเฉินก็โยนร่างนักโทษ 2 คนกองไว้แล้วจากไป