ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 91 สังหารพยัคฆ์ (2)
บทที่ 91 สังหารพยัคฆ์ (2)
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์ร้าย จินจงอี้ไม่ได้หุนหันดังชื่อกลุ่มแม้แต่นิด
เขารู้ดีว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญเก่งกาจอยู่มากมาย ตัวเขาเองถึงเป็นคนด่านทะลวงลมปราณ แต่ก็ยังมีคนในเมืองธารน้ำใสอีกมากที่สามารถกำจัดเขาด้วยตัวคนเดียวได้
ดังนั้นจินจงอี้ยืดหยุ่นมาโดยตลอด เขาดุร้ายอำมหิต แต่ก็ยังตัดสินใจมีเหตุผลได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ จินจงอี้จึงไม่เคยลังเลหากจะใช้การต่อรองมาแก้ปัญหา
หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดต่อรอง โจมตีเข้าในทันที จินจงอี้ทั้งตกใจทั้งโกรธ บัดซบเอ๊ย ใครเป็นคนร้ายกันแน่ ? เหตุใดเจ้าบึกนี่จึงไร้เหตุผลกว่าพวกข้าอีกเล่า ?
แต่ถึงใจจะโกรธนักก็ยังเตรียมตัวต่อสู้
ภาพมายาพยัคฆ์ดำปรากฏขึ้นเบื้องหลัง พยัคฆ์เปลวดำนั่นเอง
เขาไม่เหมือนหัวหัวหน้ากลุ่มอื่น ๆ ที่มีสายเลือดผสม สายเลือดของจินจงอี้นั้นบริสุทธิ์ ด้วยเคยเป็นหนึ่งในคนตระกูลพยัคฆ์เปลวดำ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเคยล่วงเกินพี่สะใภ้ตนเองแล้วสังหารนางทิ้ง ก่อนจะหนีออกจากตระกูลมา สุดท้ายหนีมาตั้งกลุ่มพยัคฆ์ร้ายอยู่ที่เมืองธารน้ำใส จนถึงตอนนี้ตระกูลก็ยังตามล่าตัวเขาอยู่
สายเลือดพยัคฆ์เปลวดำของเขานั้นบริสุทธิ์นัก ตัวเขาเองก็แข็งแกร่งไม่ใช่น้อย แต่เพราะความใจแคบและโลภมาก อีกทั้งยังขาดลูกน้องฝีมือดี ทำให้กลุ่มพยัคฆ์ร้ายไม่เคยเรืองอำนาจ แต่หากเป็นเรื่องความแกร่งส่วนตนแล้ว เขาก็นับว่าแกร่งกว่าหลี่เยว่แห่งกลุ่มอันธพาลฉางชิง
“หมัดเปลวดำ !” จินจงอี้คำรามโกรธ เพลิงสีดำพุ่งออกมา ทิ้งรอยเถ้าถ่านไว้ตามทาง
กังเหยียนคลี่ยิ้ม “ไม่เลวนี่”
กังเหยียนทำเพียงเงื้อมือขึ้นรับมือกับเปลวเพลิงนี้
จนถึงตอนนี้ เขาใช้เพียงกำลังกายต่อสู้มาโดยตลอดราวกับเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่ง
หากแต่ครั้งนี้มีบางสิ่งแตกต่างออกไป
เมื่อกังเหยียนเงื้อมือขึ้น ภาพมายาเบื้องหลังเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นอายจากร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด หมอกสีเลือดเริ่มแผ่ออกมาจากในร่าง
หมอกสีเลือดนี้แผ่ออกมาจากตามรอยแตกของผิวกายกังเหยียน ดูราวกับทั้งร่างกังเหยียนกำลังมีเปลวเพลิงลุกโชน เมื่อมันแผ่มาแล้วก็ไปรวมกันอยู่ที่แขนกังเหยียน กลายเป็นปากสีแดงขนาดใหญ่
“นี่มัน ?” จินจงอี้ชะงักไป
ปากขนาดยักษ์ที่เกิดจากหมอกสีเลือดอ้ากว้าง เพลิงดำของจินจงอี้เพิ่งจะซัดมาถึงตัว ปากนั่นก็กลืนเอาเพลิงดำทั้งหมดลงไปไม่เหลือสักไฟสักสะเก็ดทันที หมอกแดงหมุนเวียนปั่นป่วนอยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเพลิงดำมอดไปจนหมดแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไร ?” จินจงอี้ร้องลั่น
เมื่อปากแดงนั่นกลืนเพลิงดำลงไป มันยังเรอออกมาอีกต่างหาก จากนั้นก็สลายหายไป กลายเป็นหมอกแดงลอยวนอยู่รอบแขนขวาของกังเหยียน ดูหนาแน่นราวกับจับต้องได้
“หากเจ้าลงมือจบแล้ว ถึงคราวข้าล่ะ” กังเหยียนหัวเราะ จากนั้นก็ยกแขนขวาขึ้นส่งหมัดหนึ่งออกไป
หมอกแดงมารวมตัวกันอยู่ที่แขนขวา ก่อนจะพุ่งออกไปเป็นร่างงู ขู่เสียงฝ่อแล้วพุ่งตัวไปด้านหน้า
จินจงอี้ขนลุกซู่ รีบถอยเต็มกำลังแล้วร้องตะโกนขึ้น “โจมตีสิ ! ไอ้พวกโง่ เจ้าจะยืนมองหาอะไรกัน ? โจมตีมันไปพร้อมกันแล้วสังหารมันเสีย !”
“ฝ่อออ !” งูเหลือมพุ่งลงมาจากฟ้า หมอกแดงที่ก่อขึ้นเป็นร่างมันพลันเปลี่ยนรูปร่างเป็นศรแดงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่
หากมีเจียงซีสุ่ยอยู่ด้วยเขาก็คงรู้ว่านี่เป็นความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างของลั่วโหยว จิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์
ลั่วโหยวเป็นสัตว์อสูรประเภทน้ำ สามารถควบคุมน้ำให้เกิดเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้ จิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์เป็นแก่นกลางของการแปลงร่างเหล่านี้ ดังนั้นเจียงซีสุ่ยมีเพียงจิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์คนเดียวก็สามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทน้ำนับไม่ถ้วนได้
แต่ที่นี่ไร้น้ำสักหยด กังเหยียนจึงใช้หมอกแทนศร
ยาที่เขาดื่มลงไปมาจากการผสมผสานสายเลือดของลั่วโหยวและอสูรเมฆาผนึกสมุทร อสูรเมฆาผนึกสมุทรเองก็เป็นสัตว์อสูรประเภทน้ำ แต่มันเชี่ยวชาญด้านการคุมหมอกมากกว่า มักใช้หมอกที่มีอนุภาคละเอียดกว่าในการกำชัย
กังเหยียนไม่เก่งการสู้บนน้ำ แถบนี้ก็ไม่มีน้ำให้เห็นสักหยด แต่เขามีปราณโลหิตในร่างมาก ดังนั้นซูเฉินจึงแนะให้เขาเปลี่ยนเลือดเป็นหมอก จากนั้นใช้วิถีการต่อสู้ของจิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ผสานความสามารถเฉพาะของทั้งสองสายเลือดไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดทักษะต้นกำเนิดทรงพลังนามว่า ‘กลุ่มดาวปีศาจโลหิต’
ศรหมอกแดงจากแก่นโลหิตและพลังต้นกำเนิดของกังเหยียนนั้นทรงพลังกว่าศรที่สร้างขึ้นจากทักษะต้นกำเนิดประเภทน้ำธรรมดา
ศรทั้งหลายพุ่งเข้าใส่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดในกลุ่มพยัคฆ์ร้ายหลากหลายคน
แม้จะหาทางรับมือมาก่อนแล้ว แต่ศรสีเลือดนี้ เมื่อปะทะเข้ากับเกราะก็เกิดเสียงฉ่า จากนั้นก็เริ่มทำลายเกราะนั้น
เกราะทั้งหลายถูกศรทำลายลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กังเหยียนเองก็กู่ร้องขึ้นมา ส่งกรงเล็บไปด้วยหนึ่งมือ หมอกแดงแผ่ออกจากร่างเริ่มควบแน่น กลายเป็นปลายักษ์เหินขึ้นอากาศ
แม้จะดูเหมือนทักษะต้นกำเนิดระยะไกลธรรมดา แต่มันกลับมีพลังทำลายล้างเดียวกับหมัดเต็มพลังของกังเหยียน ด้วยเพราะมันสร้างจากแก่นโลหิตของเขา มันพุ่งเข้ากระแทกร่างจินจงอี้จนเกิดแสงสว่างวาบ ทำลายเกราะที่เขาสร้างขึ้นมาลงทันที
“ระฆังทองครอบกาย !” จินจงอี้ร้องเสียงดัง
ตามชื่อที่ร้องออกมา ภาพระฆังทองอันใหญ่ก็บังเกิดขึ้นครอบร่างเขาไว้ ช่วยสกัดการโจมตีรุนแรงไว้ได้
“ไม่เลว !” กังเหยียนหัวเราะแล้วเก็บมือกลับมา
หมอกแดงกลับมาอยู่รอบกายกังเหยียนอีกครา กลายเป็นหมัดนับไม่ถ้วนทะยานพุ่งอีกครั้ง
“อยากจะรู้นักว่าจะต้านได้สักกี่หมัด !” กังเหยียนร้องขึ้น จากนั้นก็กระหน่ำหมัดใส่จินจงอี้
จินจงอี้สะดุ้งเฮือก
หากหมัดหนึ่งทรงพลังถึงเพียงนั้น แล้วหมัดกระหน่ำเช่นนี้เขาจะรับมือได้อย่างไร ?
เขาจึงไม่ลังเลที่จะหนี ทว่ากังเหยียนคำรามลั่น “เจ้าอยู่ต่อเสียดีกว่า”
เส้นหมอกแดงกลายเป็นเชือก เลื้อยไปพันขาจินจงอี้แล้วดึงร่างเขากลับมาทางกังเหยียน
หมัดทรงพลังจากหมอกแดงปะทะเข้าอย่างจัง ทำเอาเขาร้องเสียงหลงออกมา
แม้ระฆังทองครอบกายจะเป็นทักษะต้นกำเนิดประเภทป้องกันระดับสูง แต่ก็ยังไม่อาจต้านพลังน่าเกรงขามของกังเหยียนได้
สุดท้ายมันก็แตกออกพร้อมกับเสียงดัง
เมื่อระฆังทองครอบกายถูกทำลายลง คลื่นพลังก็ระเบิดออกจากร่างจินจงอี้ เสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้นพร้อมกับเพลิงดำที่ซัดเข้ามาอีก “ตาย ! หมัดพยัคฆ์คำราม !”
หมัดหนักหมัดหนึ่งกระแทกออกไป !
หมอกแดงปรับรูปร่าง กลายเป็นโล่ขนาดใหญ่กั้นอยู่เบื้องหน้ากังเหยียน
นับเป็นครั้งแรกที่กังเหยียนใช้วิชาประเภทป้องกันออกมา
คนด่านทะลวงลมปราณอย่างไรก็คือคนด่านทะลวงลมปราณ เขามีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังด้อยกว่า จะคิดเพ้อว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน ?
จินจงอี้ร้องโหยหวน “อย่าไปกลัวมัน ! ถึงมันจะแกร่ง แต่ก็ต้องใช้แก่นโลหิตในร่าง ! รั้งไว้ได้ไม่นานหรอก !”
เขาเป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์อย่างแท้จริง แม้การโจมตีช่วงแรกของกังเหยียนจะทำใจไขว้เขว แต่ก็ยังจับจุดสำคัญได้
ใช่แล้ว แม้กลุ่มดาวปีศาจโลหิตของกังเหยียนจะทรงพลังนัก แต่ก็ยังต้องใช้ปราณโลหิต ทุกการโจมตีทำให้เขาอ่อนแอลง และเมื่อใช้ปราณโลหิตหมดลงจนไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้อีกต่อไป เขาก็จะกลายเป็นคนที่พ่ายแพ้เสียเอง
จินจงอี้มั่นใจว่าตนสามารถรั้งไว้จนถึงตอนนั้นได้
คนด่านกลั่นโลหิตจะมีปราณโลหิตสักเท่าไหร่กันเชียว ?
คนด่านกลั่นโลหิตในเมืองธารน้ำใสที่สามารถเอาชนะด่านทะลวงลมปราณนั้นมีเพียงหยิบมือ
และคู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่คนในหยิบมือนั้น !
อีกทั้งเขาเองไม่ใช่คนสายเลือดผสม ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเอาชนะคนด่านทะลวงลมปราณที่มีเลือดแท้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองธารน้ำใสมาก่อน !
อีกทั้งเขายังมีพวกลูกสมุนคอยช่วยอีก !
ดังนั้นจินจงอี้จึงเชื่อว่าฝั่งตนได้เปรียบเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องชนะได้แน่
ตอนนั้นเอง เขาก็เปิดใช้พลังขั้นสุด เพลิงดำยิ่งลุกโชนรุนแรง ไม่ใส่ใจพลังที่ถูกใช้ไปอีก อีกทั้งยังใช้วิชาระฆังทองครอบกาย ลูกน้องคนอื่น ๆ ก็ทำตาม เปิดใช้พลังจนถึงขีดสุดเช่นกัน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
เสียงพลังระเบิดรุนแรงดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างวาบขึ้นเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนในเมืองธารน้ำใส
คนจากกรมพลังต้นกำเนิดได้รับแจ้งแล้วว่าไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว
การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงจุดเปลี่ยน กระทั่งกังเหยียนยังถูกบีบให้ใช้หมอกแดงหลายครั้งติดต่อกันเพื่อป้องกันตน
แต่ถึงกระนั้น หลังถูกพลังระเบิดเข้าหลายครั้ง ระฆังทองครอบกายก็เสียพลัง แต่เขากลับพบว่ากังเหยียนยังยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น ยังมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม หมอกแดงยังคงแผ่ออกจากร่างราวกับไร้ที่สิ้นสุด
เขาจ้องอีกฝ่ายนัยน์ตาเย็นชา หมัดหมอกแดงกระโจนใส่ศัตรู กวาดล้างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่อยู่กับจินจงอี้ไปจนหมด เหลือเพียงตัวจินจงอี้ที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพียงหนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ? เจ้าไม่ได้ใช้แก่นโลหิตหรอกหรือ ? ข้าเคยใช้มาก่อน หมอกนี่สร้างมาจากแก่นโลหิต แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ ? ใช้แก่นโลหิตไปตั้งมากทว่ายังยืนหยัดต่อสู้ไหว ?” จินจงอี้แทบคลั่งเต็มที
ตู้ม !
ระฆังทองครอบกายสลายหายไปอีกครั้งหนึ่ง
กังเหยียนเงื้อมือขึ้น หมอกสีเลือดกลายเป็นมือยักษ์บีบรอบลำคอจินจงอี้ “เจ้าเองก็เห็นมาไม่ผิดหรอก กลุ่มดาวปีศาจโลหิตใช้ปราณโลหิตจริง ๆ แต่เกรงว่าข้ามีทักษะต้นกำเนิดที่ใช้ไขมันฟื้นฟูสภาพร่างได้”
“ใช้ไขมันฟื้นฟูสภาพร่าง ?” จินจงอี้ชะงักไป
ซูเฉินไม่ได้สอนวิชากลืนสวรรค์ให้เพียง หวังโต้วซาน แต่ยังให้กังเหยียนฝึกฝนมันด้วย
เขาไม่เหมือนกับหวังโต้วซานที่สะสมไขมันได้อย่างรวดเร็ว กังเหยียนกินอาหารวันหนึ่งจำกัดปริมาณ เขามองตนเองเป็นทหารคุ้มกันประจำตัวนายท่าน แต่เชื่อมั่นว่าแม้การที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้แกร่งขึ้น แต่ก็จะลดความรวดเร็วลง อาจปกป้องนายตนไม่ทันการณ์ และหากคิดอยากเป็นเกราะคุ้มภัยที่ดีให้เจ้านาย เขาก็ไม่อาจเชื่องช้าเกินไปได้
ดังนั้นกังเหยียนจึงคอยควบคุมการกินของตนมาโดยตลอด
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อาจใช้ไขมันฟื้นฟูร่างกายได้ เพียงแต่ไขมันในร่างเขามีอยู่น้อยกว่า ดังนั้นจึงนำมาใช้ฟื้นฟูได้ไม่มากมายนัก
แต่ในการต่อสู้วันนี้ ไขมันที่เขาสะสมไว้นับว่าเพียงพอแล้ว
“เมต…… เมตตาด้วย” จินจงอี้เค้นเสียงออกมา
“ขออภัยด้วย นายท่านของข้าหวังจะจัดการพวกกลุ่มอันธพาลในเมืองธารน้ำใสด้วยเช่นกัน”
จากนั้นเขาก็บีบมือ ทำให้จินจงอี้ถูกเขาบีบคอจนหักทันที