ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 93 ค้นพบ
บทที่ 93 ค้นพบ
ภายในโถงเก็บของใหญ่ กลุ่มพยัคฆ์ร้าย
อวี๋เวยค่อยๆ ปลดแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดก่อนที่มันจะสว่างจ้าขึ้นมา
เมื่อแสงจ้าขึ้นเรื่อย ๆ ประตูล่องหนที่อยู่บนกำแพงโถงเก็บของใหญ่ก็ค่อย ๆ เปิดออก
อวี๋เวยเผยรอยยิ้มตื่นเต้นขึ้น
โถงเก็บของใหญ่กลุ่มพยัคฆ์ร้ายได้รับการคุ้มกันแน่นหนามาก แม้เขาจะเป็นคนคุ้มกันห้องเก็บของนี้ แต่ก็ไม่อาจชิงเอาของไปได้ง่าย ๆ จริง ๆ แล้วเขามีหน้าที่เฝ้าเพียงห้องโถงชั้นนอกเท่านั้น ส่วนสมบัติภายในนั้นเป็นจินจงอี้คอยดูแลเอง
เมื่อจินจงอี้ถูกสังหารไปแล้ว กลุ่มพยัคฆ์ร้ายก็ตกอยู่ในความโกลาหล รองหัวหน้าทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้ากัน แต่เพราะจินจงอี้มีคนน้อย จึงไร้คนด่านทะลวงลมปราณหรือด่านสูงกว่านั้นมาก่อน ดังนั้นรองหัวหน้าทั้งหมดจึงมีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังใกล้เคียงกัน สุดท้ายไม่มีใครยอมใคร ยังคงสู้กันอยู่ภายในโถงใหญ่ไม่หยุดมือ
ทำให้อวี๋เวยมีโอกาสลอบเข้ามา
และเพราะเขาไม่มีสิทธิ์เข้าถึงโถงเก็บของชั้นใน อวี๋เวยจึงต้องค่อย ๆ ปลดค่ายกลออก
เมื่อเปิดประตูโถงเก็บของชั้นในออกมาได้ อวี๋เวยก็เดินเข้าไป
ภายในไม่มีเงินหรือทองหรือหินล้ำค่าใด แต่มีเครื่องมือต้นกำเนิด 2-3 ชิ้นอยู่ ในสายตาผู้เชี่ยวชาญพลังนั้น มีแต่ของที่เกี่ยวพันกับการบ่มเพาะพลังเท่านั้นจึงจะมีค่า
นอกจากเครื่องมือต้นกำเนิดแล้วยังมีวัตถุดิบในการบ่มเพาะพลังและแร่ของอีกมาก
ยกตัวอย่างเช่น ยาเสริมพลังต้นกำเนิดที่ช่วยประหยัดเวลาบ่มเพาะพลังได้ วัตถุดิบล้ำค่าและทรัพยากรทั้งหลายที่สามารถทำให้ทักษะต้นกำเนิดต่าง ๆ แกร่งขึ้นหรือทำให้คนแกร่งขึ้นได้ และยังมีของอื่น ๆ อีก
หากแต่อวี๋เวยไม่ได้สนใจของเหล่านั้น
เขาเดินเข้าไปยังหีบไม้ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ค่อย ๆ มองดูรอบกายอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเปิดมันออก หยิบผลึกก้อนสีดำทรงกลมออกมาจากด้านใน
“ในที่สุดผลึกแห่งความมืดก็เป็นของข้า !” อวี๋เวยเอ่ยเสียงยินดี
เขาเก็บผลึกแห่งความมืดไป หมุนตัวหมายจะเดินออก แต่ตอนกำลังจะเดินออกนั่นเอง กริชดำก็พลันปรากฏ ก่อนที่เขาจะตวัดมันไปด้านหน้า
ฉัวะ !
เลือดสาดกระเซ็น ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วคะมำลงไป คือข้ารับใช้เงาสองเฟิง บนอกมีรอยแผลยาว หากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองไวก็เฉือนร่างเขาแยก แต่กระนั้นแผลก็ลึกนัก เขาจ้องอีกฝ่ายไม่อยากเชื่อสายตา “เจ้า…… เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน ?”
เป็นครั้งแรกในฐานะข้ารับใช้เงาที่ศัตรูสัมผัสเขาได้ก่อนเขาจะทันลงมือ
อวี๋เวยเอ่ยเสียงเยาะ “นายท่านเจ้าไม่ได้บอกหรือ ? เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างมิติของพลังงานสูญ ทั้งอุณหภูมิ การเต้นของหัวใจ เสียงหายใจ และเสียงฝีเท้า ทั้งหมดต่างเผยตัวตนเจ้าทั้งสิ้น การเร้นกายไม่ใช่ว่าจะเร้นได้ทั้งหมด หากเร้นกายแต่ไร้ความสามารถในการปกปิดสิ่งเหล่านี้ก็เห็นชัดราวกับจุดเทียนในห้องมืดเหมือนก็เหม”
ว่าแล้วก็พลันคำรามออกมาแล้วหันไปอีกด้าน ตวัดอาวุธใส่อากาศรอบตัวอีก
เกิดเสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น แล้วคนอีกคนก็ปรากฏขึ้นเซลงไปอยู่กับพื้น คือกุยต้าซาน
สมัยยังเป็นโจรภูเขา ทุกคนต่างรู้ซึ้งถึงกำลังของกุยต้าซานดี แต่เมื่อรับมือกับดาบของอวี๋เวยก็คล้ายกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ร่างกระเด็นไปไกล แต่เพราะเตรียมตัวมาแล้วจึงไม่บาดเจ็บ เพียงจ้องอวี๋เวยตาค้างเท่านั้น “เป็นไปได้อย่างไรกัน ? เจ้าเป็นแค่คนด่านก่อเกิดลมปราณแท้ ๆ!”
“ฮ่า ๆ!” อวี๋เวยเงยหน้าหัวเราะก้อง “นายท่านของเจ้าก็เอาชนะคนด่านทะลวงลมปราณทั้ง ๆ ที่ตนเองอยู่เพียงด่านกลั่นโลหิตได้ไม่ใช่หรือ ? อะไรกัน ? มีแค่นายท่านของเจ้าหรือไรที่ทำเช่นนั้นได้ ?”
“เจ้ารู้แล้วสินะว่าพวกข้าเป็นใคร ?” อีกคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น คือข้ารับใช้เงาสี่หลี่
“เจ้ากรมซูใช่หรือไม่ ? เขากับข้ารับใช้เผ่าหินผา ไม่ใช่ความลับอันใดเลย” อวี๋เวยตอบ
“นายท่านรอให้เจ้าไปหามาตลอด แต่เจ้าไม่เคยมา” ข้ารับใช้เงาห้าจินปรากฏกายขึ้นเอ่ย ในเมื่อเร้นกายซ่อนสายตาศัตรูไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก
“กล่องชะตาถูกเปิดออกแล้ว พลังงานจิตกระจายไปทั่ว หาเขาแล้วได้อะไรเล่า ? เอาเถอะ บอกว่าข้าจะกลับไปเป็นเพียงการซื้อเวลา นายท่านของเจ้าจะได้ไม่ตามล่าข้า แต่เขาก็ยังหาข้าเจอจนได้”
กุยต้าซานคำราม “ไม่ใช่พวกข้าตามหาเจ้า แต่เจ้ารนหาที่ตายเอง เรื่องราวมันจบลงไปแล้ว นายท่านไม่คิดตามตัวเจ้าอีก แต่ในเมื่อเจ้ากล้าทำร้ายกังเหยียนทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นข้ารับใช้ของนายท่าน มีหรือที่นายท่านจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ?”
“ก็แค่ข้ารับใช้ หากซูเฉินจะหาใหม่ ข้าส่งไปให้เขาอีกสักหลายคนก็ได้” อวี๋เวยตอบ
แม้เขาจะเป็นหุ่นเชิดเผ่าวิญญาณ แต่ท่าทางการพูดนั้นราวกับคนชั้นสูง
ข้ารับใช้เงาสองเฟิงเอ่ยเสียงเหี้ยม “เจ้าก็ยังต้องชดใช้อยู่ดี”
“ด้วยการใช้คนเท่านี้น่ะหรือ ?” อวี๋เวยมองกุยต้าซานและคนอื่น ๆ ไม่เดือดร้อนใจ
หากเป็นเรื่องพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง กุยต้าซานและข้ารับใช้เงาสองเฟิงนั้นอยู่ขั้นสุดด่านกลั่นโลหิต ข้ารับใช้เงาสี่หลี่และข้ารับใช้เงาห้าจินอยู่ขั้นสุดด่านก่อเกิดลมปราณ ได้คำชี้แนะและการฝึกฝนจากซูเฉินแล้วกำลังของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นมาก
หากแต่อวี๋เวยเหมือนไม่ใส่ใจ “ก็แค่ขยะ 4 ชิ้น ไม่ต้องคิดทำตนเก่งกาจต่อหน้าข้าเลย หากไม่อยากตายก็ไสหัวไป สมบัติและเครื่องมือต้นกำเนิดกับส่วนผสมล้ำค่าพวกนั้นเป็นของเจ้าทั้งหมด”
หากเป็นแต่ก่อน ของเท่านี้ก็คงมากพอจะติดสินบนพวกเขาได้แล้ว
หากแต่หลังได้ติดตามซูเฉินมาปีกว่า พวกเขาก็รู้ว่าซูเฉินเป็นเช่นไร มีแผนอะไรบ้าง ดังนั้นจึงมั่นใจในอนาคตตนมาก ไม่กล้าคิดหักหลังชายหนุ่ม
คำเตือนของอวี๋เวยมีแต่ทำให้คนทั้งสี่เผยอาวุธแล้วพุ่งเข้าใส่
“รนหาที่ตาย !” อวี๋เวยเผยแววดุดันจากนัยน์ตา กริชดำในมือตวัดโจมตี เกิดเป็นกรงเล็บมืด
เขาอยู่เพียงด่านก่อเกิดลมปราณ ดังนั้นพลังจากสายเลือดจึงด้อยกว่ากุยต้าซานและคนอื่น ๆ แต่ตวัดกริชครั้งนี้กลับมีพลังอย่างน่าประหลาด
กุยต้าซานพลันรู้สึกมึนงงไปทั่วร่าง การตอบสนองช้าลง พอทันได้ขยับตัวกริชก็ตวัดเข้ามาเสียแล้ว
“พี่ใหญ่ระวังด้วย !”
ข้ารับใช้เงาสองเฟิงกระโจนเข้ากระแทกร่างเขา กระเด็นหลบการโจมตีไปได้อย่างหวุดหวิด
ข้ารับใช้เงาสองเฟิงร้องขึ้น “ทุกคนระวังด้วย มันมีวิชาสะท้านวิญญาณ ทำให้การตอบสนองเราช้าลง ก่อนหน้านี้ข้าถูกวิชานี้ของมันเข้า”
อวี๋เวยหัวเราะเสียงเย็น “คิดว่าระวังตนแล้วจะรอดพ้นหรือ ?”
เขากันกลับมาตวัดการโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นข้ารับใช้เงาห้าจิน
อย่างเขาว่า แม้ข้ารับใช้เงาห้าจินในใจจะเตรียมพร้อม แต่การตอบสนองยังเชื่องช้ากว่า อาการมึนงงในจิตต้านทานได้ยากนัก ข้ารับใช้เงาสี่หลี่รุดเข้ามาจากด้านข้าง บีบให้อวี๋เวยต้องใช้อาวุธป้องกันตน ข้ารับใช้เงาห้าจินจึงรอดพ้นไปได้
หากแต่ข้ารับใช้เงาสี่หลี่กลับตกอยู่ในอันตรายแทน และเป็นกุยต้าซานเข้ามาช่วยไว้
อวี๋เวยผู้นี้ตวัดกริชใส่ข้ารับใช้เงาคนละที การโจมตีไม่ร้อนใจบีบให้คนทั้งสี่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ต้องพึ่งจำนวนคนที่มากกว่าเพื่อช่วยเหลือกันและรั้งศัตรูเอาไว้
คนด่านกลั่นโลหิตสองคน ด่านก่อเกิดลมปราณสองคน กระทั่งมีโทเทมโลหิตสลายก็ยังยากจะรับมือกับคนด่านก่อเกิดลมปราณเพียงหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกตะลึงจนต้องประเมินศัตรูเสียใหม่ ด้วยตอนนี้รับมือมันได้ยากลำบากนัก
อวี๋เวยขมวดคิ้ว “พวกเจ้าสู้ข้าไม่ได้แท้ ๆ แต่ก็ยังพยายามยื้อเวลา ดูท่าจะรอกำลังเสริมสินะ เช่นนั้นก็คงปล่อยไว้ไม่ได้อีก แต่ก็ดี จัดการพวกเจ้าได้เร็วขึ้นปัญหาข้าก็น้อยลง”
ว่าแล้วก็ตวัดแขนผ่านอากาศใบหน้าสงบ เกิดเป็นอักขระยันต์บนอากาศ จากนั้นเขาก็ประทับฝ่ามือลงบนพื้น เกิดควันดำพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นไม่หยุด
นี่คือวิชาที่เว่ยเหลียนเฉิงใช้ตอนที่จัดการคนตระกูลหลง
แม้ข้ารับใช้เงาในตอนนั้นยังไม่ทันได้ลงมือ พวกเขาเป็นไพ่ตายของซูเฉิน ติดตามซูเฉินไปไหนมาไหนตลอด ดังนั้นจึงเห็นการต่อสู้ในวันนั้นเต็มตา
ข้ารับใช้เงาสองเฟิงเห็นดังนั้นก็รู้ว่าแย่แล้ว รีบร้องขึ้นทันใด “ระวัง ถอยก่อน !”
และภายใต้หมอกดำนั้น เสียงร่ำร้องก็เริ่มดังขึ้น