ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 10 ถูกพบ
บทที่ 10 ถูกพบ
“วิ่ง !”
ซูเฉินร้องอยู่ในใจตอนที่เผ่าเกล็ดทรายร้องคำว่า “สายลับ !” ออกมา
เฮ่อซื่อรู้ว่าตนแย่แล้ว รีบหันหลังหนีไปทันที
“ตามมันไป !”
เผ่าเกล็ดทรายทั้งหมดในนั้นพุ่งตามไปทันที พวกเขาร้องลั่นเสียงบ้าคลั่ง ทว่าจูเซียนเหยาเพียงเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ เท่านั้น จูไป๋อวี่มองจูเซียนเหยาที่ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะกลับไปยังที่นั่งตนเอง
ส่วนปัวเอ่อร์นั้นเพียงคำรามต่ำออกมา “หนูตัวจ้อยรึ ? กลับกล้าเข้ามาในปราสาทของข้าได้ ? จับมันเสีย เราจะได้เอามันมาคุยให้หนำใจสักหน่อย”
ฝูงคนเผ่าเกล็ดทรายวิ่งไล่ล่าเฮ่อซื่อ เขาได้แต่วิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เขาหนีไม่รอดแน่” ฉือหมิงเฟิงหน้าซีดนัก
ถึงตอนนี้ หากเฮ่อซื่อหนีออกมาได้ เผ่าเกล็ดทรายทั้งหมดก็ฆ่าตัวตายไปเสียเลยดีกว่า ที่เฮ่อซื่อยังหนีไปมาได้เช่นนี้เป็นเพราะพวกเผ่าเกล็ดทรายที่แข็งแร่งนั้นไม่ชอบลงมือเอง แต่หากเขาหนีออกไประยะหนึ่ง เช่นนั้นคนพวกนี้ย่อมลงมือแน่
ซูเฉินตะโกนใส่กระจก “เฮ่อซื่อ เจ้าฟังข้า อย่าวิ่งออกนอกปราสาท พวกมันไม่ปล่อยเจ้าแน่ ! ตอนนี้เจ้าวิ่งวนรอบปราสาทไปก่อน พยายามถ่วงเวลาไว้ พวกเราจะไปช่วยเจ้าเอง”
“ช่วยข้า ? ท่านล้อเล่นหรือ ?” เฮ่อซื่อตอบกลับมา
“ไม่ เพราะข้ากำลังจะเข้าไปแล้ว !” ซูเฉินว่า
ระหว่างที่ตะโกนบอก เขาก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังปราสาทแล้ว
ฉือหมิงเฟิงตะลึงไป “เสียสติไปแล้วหรือ !? หากเข้าไปตอนนี้ก็รนหาที่ตายเท่านั้น ! แผนเราล่มแล้ว ที่ต้องทำคือรีบจากไปเดี๋ยวนี้ !”
“ก็ใช่ แต่เราต้องเอาเขาออกมาก่อน” ซูเฉินพุ่งไปด้านหน้า ไม่คิดแม้แต่จะหันกลับมา
ไม่นานเขาก็มาถึงที่กำแพงนอกปราสาท รูที่เฮ่อซื่อสร้างไว้ยังคงอยู่
แต่มันเล็กมาก
“ผ่านขั้นแรกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ” ฉือหมิงเฟิงเอ่ย
จากนั้นเขาก็เห็นซูเฉินหยิบยาขวดหนึ่งออกมากระดกหมดขวด พริบตาต่อมาร่างกายเขาก็ยืดยาวขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?”
ฉือหมิงเฟิงแทบพูดไม่ออกไปทันใด
มันเป็นวิชาจากสายเลือดของเฮ่อซื่อ แล้วซูเฉินใช้มันได้อย่างไร ?
หรือเขาจะสามารถบรรลุวิชาได้ภายในเวลาไม่กี่วันนี่น่ะหรือ ?
ใช่แล้ว ซูเฉินทำได้จริง ๆ!
กระบวนการการวิเคราะห์สายเลือดของเฮ่อซื่อนั้นเป็นไปได้ด้วยดีมาก ซูเฉินสามารถแยกสสารต้นกำเนิดจากสายเลือดที่ช่วยเปลี่ยนรูปร่างของเฮ่อซื่อออกมาได้สำเร็จ จากนั้นก็บรรลุการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของมัน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือเขาไม่อาจใช้มันได้อย่างสมบูรณ์ ได้แต่ใช้ได้ชั่วคราวด้วยการดื่มยาลงไปเท่านั้น
และเท่านี้ก็นับว่าใช้ได้แล้ว
พริบตาต่อมา ซูเฉินก็ผลุบเข้าปราสาทไปแล้ว
เขารีบไต่ปราสาทไปทันที
“เวรแล้ว เขาไม่มีผลึกเนตรทิพย์” ฉือหมิงเฟิงสบถ
เพราะเขาวางแผนไว้ว่าจะให้เฮ่อซื่อแทรกซึมเข้าปราสาทไปเพียงคนเดียว ผลึกเนตรทิพย์เองก็มีราคาสูง ดังนั้นเขาจึงเตรียมมาเพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น
หากแต่ต่อมา ภาพน่าตกตะลึงก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน
ซูเฉินเหินลงพื้น จากนั้นเดินผ่านพื้นปราสาทส่วนนั้นอย่างระมัดระวัง จากการเคลื่อนไหวของเขา ดูเหมือนว่าจะหลบแสงเฝ้ายามน้ำเงินอยู่ด้วย ดังนั้นจึงไร้เสียงเตือนภัยดังขึ้น
“หรือเขาจะมีทักษะต้นกำเนิดประเภทเนตรทิพย์ด้วย ?” คนถึงถามขึ้นเสียงฉงน
“เช่นนั้นเขาก็เก่งไม่ใช่ย่อย” อีกคนตอบ
ถูกต้องแล้ว ซูเฉินรู้วิชาหลายแขนงจริง ๆ เขาทำการทดลองได้ กลั่นยาได้ อีกทั้งยังมีความแกร่งไม่น้อย กระทั่งยังมีทักษะต้นกำเนิดประเภทเนตรทิพย์อีกด้วย
ทุกคนมองซูเฉินที่มุ่งหน้าเข้าไปเรื่อย ๆ ด้วยความตรึงใจ ราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตประหลาดก็มิปาน
ข่งเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “แต่รู้แล้วอย่างไร ? อย่างไรก็ช่วยเฮ่อซื่อไม่ได้หรอก ข้าว่านะ ทำไมพวกเจ้ายังนั่งบื้อกันอยู่อีก ? เราฉวยโอกาสหนีไปก่อนที่จะมีคนพบไม่ดีกว่าหรือ ?”
“รออีกหน่อยเถอะ ไม่แน่ซูเฉินอาจมีทางรับมือ” ฉือหมิงเฟิงตอบ
ตอนนี้ซูเฉินผ่านเขตแสงเฝ้ายามน้ำเงินมาได้แล้ว มาถึงพื้นที่เปิด
แต่เขาไม่ได้แปลงร่างเป็นกิ้งก่าตัวเล็กอย่างเฮ่อซื่อ เขาใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย เคลื่อนร่างข้ามสวนไปทีเดียว หลังจากเขาอยู่ด่านทะลวงลมปราณแล้ว วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของเขาก็รุดหน้าขึ้นมาก จะเคลื่อนกายในระยะห่างเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับเป็นปัญหา
แล้วเขาก็มาถึงห้องเล็กภายในปราสาท แต่ในตอนที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่นเอง กิ้งก่าหลายตัวก็พุ่งเข้าใส่
ซูเฉินหันไป ตอนนี้เขาแปลงร่างเป็นเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่ง กำลังแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา
เมื่อพวกกิ้งก่าเห็นเช่นนี้ พวกมันก็ก้มหัวลงแล้วถอยไปพร้อมกัน
ซูเฉินผลักประตูเดินเข้าไป
“ข้ากำลังเข้าไปแล้ว” เขาเอ่ย
ทุกคนถอนหายใจยาวออกมาทันที
ซูเฉินรีบมุ่งหน้าไปยังโถงใหญ่ “เฮ่อซื่อ เจ้ารั้งไว้อีกหน่อย รอข้า”
“ข้ารั้งไว้ได้อีกไม่นานแล้ว !”
“เช่นนั้นเก็บของทุกอย่างลงในแหวนต้นกำเนิดแล้วซ่อนมันไว้เสีย อย่าให้พวกมันรู้ว่าเจ้าเข้ามาทำอะไร !”
พูดจบเขาก็หยิบเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากออกมา
แผนของซูเฉินนั้นง่ายมาก หลังพบตัวเฮ่อซื่อ พวกเขาก็จะใช้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากหนีออกมา เกราะของปราสาทมีผลกับสิ่งที่อยู่นอกปราสาทเท่านั้น หากพวกเขาคิดจะพุ่งออกมา เผ่าเกล็ดทรายก็คงตามความเร็วของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากไม่ทัน
เป็นแผนที่อันตรายไม่น้อย แต่นอกจากนี้ซูเฉินก็ไม่มีแผนที่ดีกว่านี้แล้ว
เขารีบรุดมายังโถงใหญ่ทันที พลันเห็นเฮ่อซื่อวิ่งผลักประตูจากด้านข้างออกมาพอดี
จังหวะนี้ล่ะ !
แต่จังหวะที่เขากำลังขยายเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งวาบผ่านหน้าไปจากชั้นสอง
เขาคือเผ่าเกล็ดทรายที่ยืนอยู่ด้านหลังปัวเอ่อร์
พวกเขาหมดความอดทนแล้ว
พริบตาเดียว เผ่าเกล็ดทรายคนนั้นก็มาขวางทางเฮ่อซื่อไว้
ก่อนจะยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาราวกับจะคว้าคอไก่ คว้าคอเฮ่อซื่อขึ้นมา
เวร !
ซูเฉินรู้ว่าตนมาช่วยเฮ่อซื่อช้าเพียงก้าวหนึ่ง
เขาอยู่ห่างจากเฮ่อซื่อเพียงสิบก้าว แต่เพียงสิบก้าวนั้นกลับรู้สึกห่างราวกับเส้นขอบฟ้า
เขาส่งสายตามีความนัยให้เฮ่อซื่อเมื่อถูกขัดขวางเช่นนี้
แล้วหันหลังจากไปทันที
ตอนนั้นเขาพลันได้ยินเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งจะโกนขึ้น “ค้นให้ทั่วปราสาท หาดูว่ายังมีสายลับอีกหรือไม่”
ทหารเผ่าเกล็ดทรายทั้งหมดเห็นด้วย จากนั้นก็แยกย้ายกันไปหาตามแต่ละทาง
ซูเฉินรู้ว่าตนกำลังแย่ ตอนนี้เขาได้แต่ออกจากโถงใหญ่มาแล้วเดินอยู่ในโถงทางเดินยาว
ตอนที่กำลังจะถึงปลายทางนั่นเอง ทหารเผ่าเกล็ดทรายคู่หนึ่งก็เดินมาทางเขา
ซูเฉินจึงถูกบีบให้เดินหนีไปอีกทาง เสียงตะโกนบอกของเผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นยังดังก้องในหู “หนูที่มันแทรกซึมเข้ามามีวิชาเปลี่ยนรูปร่าง พวกเจ้าทั้งหมด จับคู่กัน แล้วสอบปากคำกันเองเพื่อป้องกันพวกมันปลอมตัวมา”
บัดซบ !
ซูเฉินสบถในใจ
เป็นตอนนั้นที่มีคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ดูแล้วไม่ใช่ข้ารับใช้เป็นแน่ เสื้อผ้าเขาหรูหราไม่น้อย รูปร่างอวบอ้วน เป็นพวกชนชั้นสูงแน่นอน ในมือยังถือจานที่เต็มไปด้วยขนมมากมายแล้วหยิบมันเข้าปากเรื่อย ๆ อีกด้วย
ซูเฉินเห็นดังนั้นก็ตาเป็นประกาย เขาพุ่งเข้าไป คว้าคออีกฝ่าย แล้วซัดจนอีกฝ่ายสลบไป
“ขออภัยด้วย” ซูเฉินกล่าวขึ้น จากนั้นก็ยัดร่างเขาไว้ในตู้ที่อยู่ใกล้ ๆ
“เจ้าเป็นใคร ?” ทหารเผ่าเกล็ดทรายกลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นจากด้านหลัง
ซูเฉินค่อย ๆ หันไป ตอนนี้เขาเปลี่ยนรูปเป็นคุณชายท่านนั้นแล้ว
“เป็นคุณชายโหยวนี่เอง” เผ่าเกล็ดทรายด้านหน้าเอ่ย “ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ ?”
ซูเฉินไม่รู้ว่าคุณชายโหยวคือใคร ดังนั้นจึงได้แต่ยกขนมในมือขึ้นแล้วยัดเข้าปากไปเท่านั้น
เมื่อเผ่าเกล็ดทรายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ “เพราะคุณชายโหยวหิวนี่เอง ! เช่นนั้นท่านก็ค่อย ๆ กินไปเถอะ”
จากนั้นอีกฝ่ายก็จากไป พาทหารเผ่าเกล็ดทรายที่เหลือไปด้วย
หลังจากมั่นใจว่าพวกเขาไปกันหมดแล้ว เขาก็ลากคุณชายโหยวออกมาอีกครั้ง
“ซูเฉิน ท่านทำอะไรน่ะ ? เฮ่อซื่อถูกจับไปแล้ว ท่านช่วยเขาไม่ได้แล้ว !” ฉือหมิงเฟิงตะโกนบอก
ซูเฉินทำเป็นไม่ได้ยิน เขาตบคุณชายโหยวหลายครั้งให้อีกฝ่ายลืมตาตื่น
อีกฝ่ายจึงค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา และเมื่อลืมตาเห็นหน้าตนเองกำลังจ้องกลับมา เขาก็สะดุ้งเฮือก “เจ้า……”
“ชู่ว !” ซูเฉินส่งเสียงชู่ว “อย่าตะโกน ข้าถาม เจ้าตอบ หากเจ้าเอะอะ เช่นนั้นก็ตายเสีย !”