ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 102 ปล่อยโทเทมโลหิตสลาย (1)
บทที่ 102 ปล่อยโทเทมโลหิตสลาย (1)
ปัง ปัง ปัง ปัง !
ทหารสองนายกำลังแลกกระบวนท่ากันอย่างบันเทิงใจอยู่ในบ่อทราย
คนหนึ่งสูง อีกคนเตี้ย เห็นได้ชัดว่าคนเตี้ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนสูงเลย ถูกบีบให้ถอยเรื่อย ๆ แต่พอทำท่าจะหลุดออกจากเส้นขอบ กำไลบนร่างกลับส่องสว่างขึ้น ต่อมาร่างเตี้ยของทหารผู้นั้นก็ระเบิดพลังหนั่นแน่นพร้อมปล่อยหมัดหนึ่งออกมา ส่งทหารตัวสูงปลิวไปทันที
ทหารตัวสูงเกรี้ยวโกรธหมายตอบโต้ แต่คนเตี้ยกว่ากลับฉวยโอกาสกระโจนเข้ามา ปล่อยหมัดรัวราวกับเขื่อนแตก บีบไม่ให้อีกฝ่ายโต้กลับได้
กำไลที่แขนและขาเริ่มส่องสว่างขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ความเร็วของคนตัวเตี้ยเพิ่มสูง กำลังกายก็เช่นกัน ปลดปล่อยกระบวนท่าขั้นสุดท้าย ส่งร่างทหารตัวสูงกระเด็นไป
คนดูพึมพำเสียงขรม ตกใจกับพละกำลังของคนตัวเตี้ยนัก
เซียวเฟยหนานเห็นแล้วก็พึมพำเสียงเบา “ถูกต้อง เป็นอักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อน”
“มีความต่างอยู่บ้าง” ซูเฉินเอ่ย “ข้าใช้อีกหลายวิธีปรับปรุงพลังมัน ใช้ทั้งพลังต้นกำเนิดและพลังกาย ดังนั้นหากใช่มันก็จะดึงเอาจุดแข็งของเผ่ามนุษย์ออกมาใช้ได้”
ทหารตัวเตี้ยนั้นเห็นได้ชัดว่าใช้โทเทมโลหิตสลายของซูเฉิน เทียบกันแต่ก่อน โทเทมโลหิตสลายไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก หากแต่ปรับปรุงในจุดเล็ก ๆ เท่านั้น มีจุดที่ต้องลงอักขระน้อยลงและทำให้ง่ายขึ้น ทั้งแสงและเสียงยามใช้วิชาก็ได้รับการปรับปรุง ทุกครั้งที่ใช้ โทเทมโลหิตสลายจะส่องสว่างอักขระซับซ้อนออกมาในส่วนที่เปิดใช้ ทำให้ดูเท่ไม่น้อย
ของดีหน้าตาย่อมต้องดีตาม หลังจากสั่งสมประสบการณ์จากในเมืองธารน้ำใสและเมืองกลืนธารามาแล้ว วิธีการประเมินปัญหาของซูเฉินก็รอบด้านมากขึ้น
ผลลัพธ์ฉูดฉาดตายามทหารตัวเตี้ยใช้โทเทมโลหิตสลายยิ่งน่าตื่นตาขึ้น เจ้าหน้าที่ทางการเห็นแล้วต้องชอบแน่
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยูข้าง ๆ เอ่ยถกกัน ก่อนคนหนึ่งจะถามขึ้น “อักขระหนึ่งนี่ราคาเท่าไหร่หรือ ?”
“ไม่มาก หนึ่งอักขระราคาหินพลังต้นกำเนิด 700 ก้อน ทว่าแต่ละอักขระจะมีความต่างกันเล็กน้อย”
“หินพลังต้นกำเนิด 700 ก้อนเองหรือ ?” ทุกคนชะงัก
หินพลังต้นกำเนิด 700 ก้อนกับการที่กำลังเพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้นับว่าถูกเกินไป
“ถูกต้อง แต่ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่ง เมื่อสลักลงไปแล้วไม่อาจลบได้ และหากคนผู้นั้นแกร่งขึ้นมันก็จะไม่แกร่งขึ้นตาม พลังมีจำกัด ใช้ได้ผลกับผู้เชี่ยวชาญพลังระดับต่ำเท่านั้น เมื่อถึงด่านทะลวงลมปราณก็ไร้ประโยชน์แล้ว” ซูเฉินว่า “ทั้งกระบวนการสลักอักขระก็เจ็บปวดเหลือทน”
“ไม่ใช่ปัญหา” เจ้าหน้าที่เอ่ยทันที “เจ้าอาจใช้วิชาต้นกำเนิดพิเศษเพื่อเพิ่มกำลังหรือความเร็วได้ กระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณยังชอบใช้วิชาเหล่านั้น กำลังหลักของกองทัพเราคือด่านทะลวงลมปราณและด่านกลั่นโลหิต หากสองกลุ่มนี้แกร่งขึ้นได้ ทัพเราก็จะแข็งแกร่งขึ้น”
“เจ้ายังเพิ่มวิชาที่ช่วยเสริมเกราะและเสริมอัตราการฟื้นพลังได้” เจ้าหน้าที่อีกคนว่า “วิชาป้องกันกับวิชาฟื้นพลัง มีเท่าไหร่ยิ่งดี”
“หรือจะใช้เพื่อสลักวิชาต้นกำเนิดที่แกร่ง ๆ ที่จะใช้ต้องมีข้อกำหนดมากมายก็ได้”
“หรือใช้สลักวิชาต้นกำเนิดหลาย ๆ อย่างแล้วรวมมันด้วยกัน ประโยชน์หนึ่งของโทเทมโลหิตสลายคือนอกจากคนหลายคนจะสามารถใช้วิชาเดียวกันได้ แต่เวลาใช้ยังไร้เวลาล่าช้า”
“หรือเชื่อมวิชาต้นกำเนิดหลายวิชาที่ช่วยเพิ่มผลของวิชาต่าง ๆ ได้ และช่วยเพิ่มความแกร่งให้กับผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนแอกว่า”
“ไม่เพียงลดเวลาที่ต้องใช้ทำให้แกร่งขึ้นได้มาก แต่ยังเสริมสิ่งที่ขาดได้ มีผู้เชี่ยวชาญพลังหลายคนที่อย่างไรก็ใช้บางวิชาไม่ได้ตั้งแต่เกิด แต่โทเทมโลหิตสลายทำให้ใช้วิชาได้ เช่นนั้นกระทั่งด่านสู่พิสดารก็ยังใช้มันได้เช่นกัน”
เจ้าหน้าที่คุยกันไปเรื่อย ๆ สมกับที่เป็นทหารผ่านศึก สามารถระบุจุดพิเศษของวิชา จุดแข็ง และการนำมาใช้ตามบริบทได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีข้อเสียตรงที่ไม่อาจทำให้แกร่งขึ้นได้ตามกาลเวลา เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ปัดทิ้งทันที แต่มุ่งคิดถึงวิธีใช้มันให้ได้ประโยชน์สูงสุดและสาเหตุที่ต้องใช้มันแทน
ส่วนเรื่องที่การลงอักขระจะเจ็บปวดนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าว ทหารที่ทนไม่ได้กระทั่งความเจ็บปวดจะนับเป็นอะไร ? ทั้งยังสามารถใช้มันเป็นตัวแยกว่าใครเข้มแข็งใครอ่อนแอได้ด้วย
หากทุกอย่างเป็นตามแผน โทเทมโลหิตสลายก็จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามาก
คนหนึ่งถามตรง ๆ ขึ้น “วิชานี้โดดเด่นนัก เจ้าคิดจะขายเท่าไหร่ ?”
ซูเฉินตอบ “หินพลังสามพัน (ซานเชียน)”[1]
“หินพลังสามสิบล้าน (ซานเชียนว่าน) ย่อมได้ ไม่สิ…… เดี๋ยว เจ้าว่าสามพันหรือ ?” เจ้าหน้าที่อึ้งไป
“ถูกต้อง หินพลังต้นกำเนิดสามพัน” ซูเฉินว่าพลางผงกหัวรับ
“เหตุใดจึงถูกนัก ?” เซียวเฟยหนานถาม
ซูเฉินตอบ “เพราะข้าคิดจะขายให้คนอื่นเช่นกัน”
“ไม่ได้ !” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้น “วิชานี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญของอาณาจักรเรา มีมันแล้วเราก็จะแกร่งขึ้นมาก แล้วเจ้าจะไปขายให้คนอื่น ๆ ได้อย่างไร ? พวกเราควรเป็นกลุ่มเดียวที่ควบคุมมันสิ”
ซูเฉินเอ่ย “ข้าอยากให้มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของทั้งเผ่ามนุษย์เสียมากกว่า เป็นสิ่งที่สามารถปกป้องทุกคนได้ สามารถเพิ่มความแกร่งให้ทุกคนได้ ไม่ใช่แค่ให้กองกำลังกวาดล้างเผ่าคนเถื่อนแกร่งขึ้นได้ ใช่ที่ว่าปราการลุ่มน้ำทองต้องใช้มันต่อกรกับเผ่าคนเถื่อน แต่อาณาจักรเหลียวเย่ก็ต้องใช้มันสู้กับเผ่าปักษา อาณาจักรเมฆาเคลื่อนและวายุโหมต้องใช้เพื่อต้านทัพเผ่าสัตว์อสูร และอาณาจักรนกฮูกก็ต้องใช้สู้กับเผ่าวิญญาณ มีผู้คนที่ต้องการใช้มันมากมาย……”
ทันทีที่เขาเอ่ยคำ ทุกคนก็นิ่งอึ้งไป
แม้เจ็ดอาณาจักรจะแยกออกจากกัน แต่ก็ถูกศัตรูแข็งแกร่งกดดันไม่หยุดยั้ง ทั้งยังผูกรวมใต้ธงเดียวกัน เจ็ดอาณาจักรปกติแล้วก็ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ค่อยต่อสู้กันเองอยู่แล้ว อย่างน้อยเบื้องหน้าก็เป็นเช่นนั้น
ซูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างชอบธรรมเช่นนี้จึงไม่มีใครโต้เขาได้
เซียวเฟยหนานถอนใจหนัก “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความมุ่งหวังยิ่งใหญ่เพียงนี้”
“ความมุ่งหวังของข้ายิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร” ซูเฉินเอ่ยไร้ความเสแสร้ง
“แต่ทำเช่นนี้ก็นับว่าช่วยศัตรูกระมัง ? ยิ่งมีคนรู้มาก ก็ยิ่งยากจะเก็บเป็นความลับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่า “เมื่อวิชาตกไปอยู่ในฝั่งศัตรูเมื่อไหร่ เราก็จะเสียจุดได้เปรียบไป”
ซูเฉินพยักหน้า “ก็ใช่ แต่ก็ไร้ความลับใดที่ลับไปตลอด อีกทั้งไม่ใช่ว่าใครก็ใช้วิชานี้ได้ เผ่าคนเถื่อนมีอักขระโทเทม และในเมื่อโทเทมโลหิตสลายพึ่งพาพลังต้นกำเนิด พวกเขาก็ไม่อาจใช้มันได้ ดังนั้นจะได้ไปก็ไร้ประโยชน์ เผ่าวิญญาณนั้นไร้ร่าง ไร้ประโยชน์เช่นกัน เผ่าปักษาใช้ได้ แต่ร่ายกายอ่อนแอ ต้านความเจ็บปวดยากกว่า ดังนั้นส่วนมากจึงใช้ไม่ได้ เผ่าเดียวที่อาจใช้มันได้คงเป็นเผ่าท้องสมุทร แต่เราก็รู้สถานการณ์ในเผ่าท้องสมุทรดี หากเราให้ไป ทุกคนก็คงวางใจขึ้นเยอะ ทั้งเรายังไม่ได้มีข้อเบาะแว้งอะไรกับพวกเขามากมาย ที่เป็นปฏิปักษ์ก็ตั้งแต่เมื่อเรื่องสมัยราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ หากเป็นข้า ข้ามอบโทเทมโลหิตสลายให้เผ่าท้องสมุทรเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าดีกว่า”
สิ่งหนึ่งที่ซูเฉินเอ่ยได้ถูกต้องคือ การขายให้กับผู้ซื้อคนเดียวจะเทียบกับขายให้คนทั้งโขยงได้อย่างไร ? ซูเฉินเข้าใจพลังแห่งการซื้อของคนกลุ่มใหญ่ดีหลังจากประสบด้วยตนเองมาหลายครั้ง
ซูเฉินว่าจบ เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปรึกษากัน
ผู้คนต่างพากันพูดคุยกันอย่างเข้มข้น บ้างพยักหน้า บ้างส่ายหน้า
สุดท้าย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เราตัดสินใจแทนเบื้องบนไม่ได้ แต่คำของเจ้ามีเหตุผล เราจะส่งต่อคำของเจ้าไปให้ หากแต่เราก็ยังหวังให้เจ้าเปลี่ยนจุดยืน ปราการลุ่มน้ำทองยอมมอบราคาสูงให้……”
ซูเฉินส่ายหน้า “มันไม่เกี่ยวกับเงิน มันเกี่ยวกับการที่เผ่ามนุษย์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ต่างหาก เหตุผลสำหรับโต้เถียงของโทเทมโลหิตสลายที่ใหญ่ที่สุดคือมันมีราคาถูกนัก และสามารถเพิ่มความแกร่งให้คนได้มากกว่าหนึ่งคน มันจะช่วยทำให้ทั้งเผ่ามนุษย์แกร่งขึ้น หากใช้เพียงแค่ในปราการลุ่มน้ำทองก็นับว่าน่าเสียดายใหญ่หลวง แค่หากมีใช้แค่เพียงในอาณาจักรหลงซาง สุดท้ายพอคนรู้ก็แพร่ออกไปอยู่ดี ข้าขอขายมันเองดีกว่าให้คนอื่นเอาผลงานที่ข้าคิดมาอย่างยากลำบากไปหากิน”
เชิงอรรถ
[1]三千 (ซานเชียน) แปลว่า สามพัน 三千万 (ซานเชียนว่าน) แปลว่า สามสิบล้าน โดยมีการออกเสียงคล้ายกันในสองคำแรก ทำให้สับสนอยู่บ้าง ด้วยคนถามไม่คิดว่าราคาจะถูกขนาดนั้นเลยตีไปว่าสามสิบล้าน