ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 113 วีรบุรุษทั้งเจ็ดแห่งกองทัพกำลังสวรรค์
บทที่ 113 วีรบุรุษทั้งเจ็ดแห่งกองทัพกำลังสวรรค์
ฟ้าว !
ดาบวาววับตัดผ่านอากาศ เฉือนเอาเลือดกระเซ็นไปทั่วพื้น
ทหารกลุ่มนี้ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งสั่งกลุ่มคนราวสิบคน ทั้งหมดขี่อยู่บนม้าพันลี้อันเป็นเอกลักษณ์แห่งอาณาจักรหลงซางที่รับน้ำหนักได้มากและมีความทนทานทั้งยังรวดเร็วอีกต่างหาก
ทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพุ่งลงมาจากไหล่เขาถือหอกถือดาบ ตวัดไปมาอย่างบ้าคลั่งราวไฟนรก หากแต่ใบหน้ากลับเย็นชาราวน้ำแข็ง
ไม่พูดไม่จา มีแต่ตวัดอาวุธในมือ รุดหน้าเข้าไป ถอยออกมา ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยไร้คำพูด
แม้เผ่าคนเถื่อนจะโหดร้าย กล้าหาญ และใจเด็ดเพียงไหน แต่ก็ถูกทหารมนุษย์ที่รวมกันเป็นหนึ่งอย่างเป็นระบบระเบียบทัพนี้ถล่ม ศีรษะแยกออกจากกันราวกับแรดที่พุ่งเข้าใส่ผนังเหล็กหนา
“กรรร !!!”
วีรบุรุษแห่งเผ่าคนหนึ่งคำรามเสียงขึ้นอย่างกล้าหาญ ตวัดขวานศึกแล้ววิ่งพุ่งเข้ามา ทหารมนุษย์ราวสิบก้าวขึ้นมา ใช้หอกยาวแทงออกไป ทำให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ได้ยากลำบาก
วีรบุรุษผู้นั้นย่อมไม่ใช่นักรบธรรมดา ฟันหอกที่ยื่นออกมาเสียหักกระเด็น ขวานศึกขนาดใหญ่เรืองแสงสีแดงฉาน ทั้งส่องประกายเป็นแสงระยับตอบรับ หากแต่กลุ่มทหารสิบนายก็ยังมีสีหน้าสงบมั่นคง ทั่วร่างเกิดอักขระส่องแสงสีขาวเรืองขึ้น พวกมันถักทอกันในอากาศ จากนั้นหอกทั้งสิบก็ปะทะเข้ากับขวานศึก
แม้ขวานศึกจะเป็นอาวุธหนักมาก แต่หอกทั้งสิบก็ยังปัดมันออกไปได้ จากนั้นม้าหนังพันลี้ทั้งสิบก็ช่วยต้านแรงอีกหน่อยก่อนจะหยุดการกระทำนั้นลง
ในตอนนั้น ทหารทั้งสิบก็คว้าดาบแล้วฟันเข้าใส่ผู้กล้าเผ่าคนเถื่อน
สิบดาบผสานเป็นหนึ่งเดียว ส่องแสงคมปลาบออกมา จ้วงใส่ผู้กล้า บีบให้ต้องล่าถอย
“อ๊าก !” เสียงร้องลั่นดังขึ้น ทำลายความเงียบงันของสนามต่อสู้
หอกทั้งสิบพุ่งกรีดอากาศมา
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ !
พวกมันล้วนทะลุผ่าอกผู้กล้าจนร่างพรุนจนเขาหงายหลังล้มลง ไม่เหลือเรี่ยวแรงใดอีก
ทหารสิบนายเก็บหอกยาวกลับไป
แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดา แต่ความสามัคคีไร้ที่ติและกลยุทธ์สักเล็กน้อยก็มากพอจะปลดปล่อยการโจมตีเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถสังหารผู้กล้าของชนเผ่านี้ไปได้
ทหารอีกหลายกลุ่มพุ่งเข้ามาเรื่อย เหยียบย่ำศัตรูจมเท้า ชนเผ่าน้อยถูกกวาดล้างหายสิ้นอย่างรวดเร็ว
ดูท่าจะมีแต่หัวหน้าเผ่าเท่านั้นที่ทำอันตรายทหารกลุ่มนี้ได้ ด้วยเขามีพลังมากขนาดต้องใช้ทหารห้ากลุ่มเข้ารุมพร้อมกัน อีกทั้งยังทำทหารสองนายบาดเจ็บ
กระนั้นก็ทำได้เพียงเท่านั้น
“หนึ่งเค่อ” หลังจากเผ่าคนเถื่อนคนสุดท้ายล้มลง หลี่ฉงซานก็เหลือบมองนาฬิกาจับเวลาในมือแล้วมุ่นคิ้ว “ยังช้าไปหน่อย”
ผู้นำกองทัพกำลังสวรรค์ก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร ใช้คำพูดเรียบและง่าย หากแต่ก็มีกลิ่นอายผ่าเผย ผู้คนต่างพบว่าคำพูดทุกคำล้วนน่าเชื่อถือ
“เราเดินทัพมาหลายวันไม่หยุด พวกทหารคงเหนื่อยกันแล้ว” ฉือไคฮวงเอ่ย
ในตอนนี้ ฉือไคฮวงไม่ดูเหมือนตาเฒ่าสกปรกสภาพดูไม่ได้เช่นแต่ก่อน แต่เครื่องแต่งกายทหารกลับมอบกลิ่นอายอย่างทหารผ่านศึก ทั้งอายุอานามยังราวกับย้อนกลับ หากแขนซ้ายเขากลับหายไปเมื่อก่อนหน้า ทั้งตาข้างหนึ่งยังบอดอีกด้วย
เขานั่งอยู่บนหลังม้า
เมื่อถึงด่านสู่พิสดารจะสามารถงอกแขนขาใหม่ได้ หากฉือไคฮวงเสียแขนขาไปแล้วไม่อาจงอกใหม่ได้ เช่นนั้นก็คงถูกสะบั้นด้วยการโจมตีพิเศษที่ทำให้ไม่อาจใช้ความสามารถในการฟื้นฟูได้ หรือไม่ก็แปลว่าอ่อนแอมากไปเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อนาคตของเขาย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์แน่
ทว่าฉือไคฮวงดูไม่ใส่ใจอะไร เพียงมองดูทหารที่จู่โจมอย่างเงียบ ๆ
เผ่าคนเถื่อนกำลังถูกเข่นฆ่า แต่แม่ทัพมนุษย์กลับห่วงเรื่องการใช้แรงของฝั่งตนเองเสียอย่างนั้น
ทหารนายหนึ่งพลันล้มลงกับพื้นขณะที่กำลังพุ่งเข้าใส่ศัตรู
เขาไม่ได้ถูกโจมตี แต่จังหวะนั้นพลังชีวิตของเขาถูกรีดใช้จนถึงขีดสุดแล้ว
เผ่าคนเถื่อนอยู่ในสภาพย่ำแย่ และพวกทหารมนุษย์ก็เช่นกัน
พวกเขาเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า บาดเจ็บ และใกล้จะสิ้นหวัง
แต่ก็ยังสู้ต่อไม่ยอมพ่ายแพ้
ใช้กลยุทธ์ทุกอย่างในการสู้และโจมตี แม้จะต้องตาย แต่ก็ต้องให้ศัตรูได้ชดใช้อย่างหนัก
“ได้จัดการตระเตรียมแผนการในขั้นต้นแล้ว จากนี้ไปเรื่องราวคงง่ายขึ้น” แม่ทัพหญิงเอ่ยขึ้นจากข้าง ๆ ฉือไคฮวง นามของนางคือฉู่อิงหว่าน เครื่องแต่งกายของนางและรูปร่างใหญ่ยิ่งทำให้นางดูองอาจ แต่ก็มีรูปโฉมงดงามไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มเท่าไหร่ที่ชื่นชมนาง ? หากแต่นางมองเพียงฉือไคฮวง ความรู้สึกที่มีต่อเขาซับซ้อนซ่อนเงื่อนนัก
“หวังว่าจะทำได้ก่อนพวกคนเถื่อนลงมือ” หลี่ฉงซานถอนใจ “ยิ่งใกล้จบ ความเร็วยิ่งสำคัญ ไม่มีแผนการใดไร้ที่ติ ไม่นานเผ่าคนเถื่อนย่อมรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเรา ถึงตอนนั้นหากแผนเรายังไม่สำเร็จ ทุกอย่างก็คงสูญเปล่า”
“เราทำสำเร็จแน่ อย่างไรก็ต้องสำเร็จแน่นอน !” คนด้านซ้ายหลี่ฉงซานเอ่ยคำ คนผู้นี้ไม่ได้ใส่ชุดศึก หากแต่สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน มีนามว่ากัวเหวินฉาง กุนซือประจำกองทัพกำลังสวรรค์
ด้านซ้ายกัวเหวินฉางคือชายร่างใหญ่ เขายิ้มยิงฟันยามได้ยินคำกัวเหวินฉางพลางกล่าวว่า “แม้ไม่สำเร็จก็แค่ตายเท่านั้น หากได้สู้กับไอ้พวกเผ่าคนเถื่อนเวรพวกนั้นสักตั้ง ถึงตายข้าก็ไม่สน”
เขาชื่อเฉิงเถียนไห่ ขุนพลด้านการรบอันดับหนึ่งของกองทัพกำลังสวรรค์
“เพ้ย ๆ หากเอาแต่พูดไปนะ เฉิงเถียนไห่ มันจะได้กลายเป็นจริงขึ้นมา เจ้านี่อ้าปากไม่เคยพูดอะไรดี ๆ” แม่ทัพอีกคนเอ่ยแทรก คนผู้นี้มีใบหน้ารูปไข่สีซีด คางราวกับถูกสลักมาอย่างดี มองแวบแรกอาจสับสนว่าเป็นสตรี หากแต่เขาเป็นชายแท้ แค่ท่าทางการพูดเหมือนสตรีไปสักหน่อยเท่านั้น
ในแดนที่ถูกชายเลือดร้อนถือครองเช่นนี้ หาได้ยากที่จะมีแม่ทัพที่ดูอ่อนหวานเช่นเขา
ซึ่งเขามีตำแหน่งสูงไม่ใช่น้อย ระดับเดียวกับฉือไคฮวง หลี่ฉงซาน และคนอื่น ๆ หมายความว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษทั้งเจ็ด
แห่งกองทัพกำลังสวรรค์
เขามีนามว่าจวินโม่เสีย
จวินโม่เสียผู้นี้กำลังทำท่ามือสง่างามพลางใช้สายตาไม่สบอารมณ์จ้องเฉิงเถียนไห่ จนเฉิงเถียนไห่หัวเราะแล้วไม่พูดอะไรอีก
แม่ทัพหนุ่มเนข้างฉู่อิงหว่านเอ่ย “เราจะทำให้ดีที่สุด วางแผนเผื่อเหตุเลวร้ายที่สุด คำของเหล่าเฉิงก็ไม่ผิดเสียทีเดียว”
จวินโม่เสียกลอกตาใส่แม่ทัพหนุ่ม “ก็มีแต่เจ้าที่ว่าเช่นนี้ เจ้าเด็กที่สุด ควรจะมีความหวังมองแง่ดีที่สุดสิ ทำไมทำตัวเป็นพวกตาเฒ่าไปได้ ? มีเหตุผลอะไรกัน ?”
แม่ทัพหนุ่มหัวร่อ “ท่านนั่นล่ะที่ยังเติบใหญ่ไม่พอ ยังกล่าวหาคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่กว่าท่านได้หรือ ? นั่นมันเหตุผลอะไรกัน ?”
จวินโม่เสียส่งเสียงในคอ จากนั้นสะบัดหน้าเมินเขาเสีย
แม่ทัพหนุ่มผู้นี้คือหลินเฉ่าเซวียน มีชื่อเป็นอัจฉริยะประจำกองทัพกำลังสวรรค์ เห็นชัดว่าหลี่ฉงซานชอบเขาไม่น้อย หมายจะปั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการทัพกองทัพกำลังสวรรค์คนต่อไป
หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง กัวเหวินฉาง เฉิงเถียนไห่ ฉู่อิงหว่าน จวินโม่เสีย หลินเฉ่าเซวียน คนทั้งเจ็ดคือเสาหลักแห่งทัพกำลังสวรรค์ มีหน้าที่รับภาระหนักของทัพ จุดหมายในตอนนี้คือการหลบหนีออกจากแดนเผ่าคนเถื่อนให้จงได้
เพื่อจุดหมายนี้ พวกเขาพร้อมยอมแลกไม่ว่าสิ่งใด !