ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 117 ใช้อำนาจเงินกด
บทที่ 117 ใช้อำนาจเงินกด
สายฟ้าและเปลวเพลิงคละเคล้ากันบ้าคลั่ง ก่อนจะรวมเป็นพลังระเบิดออกราวกับคลื่นสมุทร
“รวมทัพ !” ซาถั่นคำรามลั่น
จังหวะนั้น เขาไม่คิดจะดูถูกซูเฉินอีกต่อไป
ทหารเผ่าคนเถื่อนที่เหลือถอยไปพร้อมกัน ไปล้อมผู้มีตาทิพย์และเกาะกลุ่มรวมกัน
อักขระโทเทมส่องแสง เกิดเป็นบางอย่างคล้ายเกราะพลัง เมื่อรวมตัวกันแล้ว แสงโทมเทมของทหารเผ่าคนเถื่อนก็กลั่นแน่นกลายเป็นแสงทรงกลม โดยมีอักขระลึกลับหมุนเวียนรอบเกราะด้วย
ตู้ม !
หงส์เพลิงปะทะเข้ากับเกราะแสงกลมสีทอง หงส์เพลิงที่โจมตีสำเร็จมาตลอดกลับไม่อาจทะลวงผ่านมันไปได้ เกิดเป็นประกายไฟออกมา ก่อนมันจะสลายหายไป
แต่ดาบอัสนีบาตตามมาติด ๆ ปะทะเข้ากับเกราะแสงนั่น จนเกิดเป็นรอยแตกเล็กน้อย
หากนับกันเรื่องพลัง หงส์เพลิงนั้นทรงพลังกว่าดาบอัสนีบาต แต่หงส์เพลิงเป็นวิชาโจมตีหมู่ ดังนั้นใช้โจมตีเป้าหมายเดียวจึงมีกำลังอ่อนกว่า พลังโจมตีโดยรวมมีสูงกว่า แต่โดยตรงกลับน้อยกว่า ดังนั้นใช้กับเป้าหมายที่มีพลังป้องกันน้อยจะดี แต่ไม่ดีหากเจอกับพวกเกราะหนา
ดาบอัสนีบาตนั้นตรงกันข้าม พลังโดยรวมน้อยกว่า แต่ทะลวงการป้องกันได้ดีกว่า และใช้กับเป้าหมายเดี่ยวได้ดีกว่า ดังนั้นมันจึงใช้โจมตีเกาะพลังนี้ได้ดีกว่า
ซูเฉินเห็นแล้วก็ไม่ใช่วิชาจิตหงส์เพลิงอีก มุ่งพลังใช้ดาบหั่นภูผาที่เรืองแสงจากสายฟ้า ตวัดดาบออกท่าไม่หยุดแทน
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
ดาบอัสนีบาต 18 กระบวนท่าพุ่งออกไปพร้อมกัน
และเพราะดาบอัสนีบาตเป็นวิชาระดับต่ำ มันจึงใช้ง่าย ซัดพลังออกมาได้ติดต่อกันรวดเร็ว
ดาบอัสนีบาตทั้งหมดเข้าปะทะเกราะกลม เกิดรอยแตกหนักหน่วง กลายเป็นใยแมงมุมขยายไปทั่ว
พริบตาต่อมามันก็แตก
คลื่นพลังดุดันซัดเผ่าคนเถื่อนกระเด็น แต่ก่อนร่วงถึงพื้น ซูเฉินก็ใช้วิชาเคลื่อนไปด้านหลังราวกับผี มือขวานั้นไม่อาจส่งหมัดออกด้วยหมดแรงจากการใช้ดาบอัสนีบาตไปแล้ว แต่ถุงมือเพลิงเงาที่มือซ้ายนั้นเต็มไปด้วยสสารเงา เขาใช้มันเงื้อกรงเล็บตวัดใส่หลังทหารเผ่าคนเถื่อน
กรงเล็บเงา
ทะลวงเอาดวงใจออกมาได้อย่างง่ายดาย
ไม่รอให้เสียจังหวะ ซูเฉินเคลื่อนกายไปด้านข้าง หลบขวานบินที่พุ่งเข้ามาได้ มีอีกสองหมุนคว้างเข้ามา แต่ผู้พิทักษ์แห่งเม็กก็สกัดไว้ได้ ไม่ต้องใช้ชุดคลุมเส้นใยปะการังด้วยซ้ำ
“กรรร !” ซาถั่นกระโจนขึ้นพลางคำราม ดาบสายฟ้าตวัดไม่หยุด แสดงถึงความโกรธเกรี้ยว เสียงคำรามยังเต็มไปด้วยจิตหมายจะกลืนกิน ราวกับเป็นอสูรร่างยักษ์ที่วนเวียนรอบกายซูเฉินซึ่งนับเป็นเหยื่อ
ตัวหัวหน้าคงจะเป็นคนเดียวที่ขู่ซูเฉินได้
ตึง !
ด้วยการโจมตีรุนแรง เกราะซูเฉินแตกในที่สุด แต่ก่อนดาบสายฟ้าจะถึงตัว ก็มีดาบอีก 4 เล่มมาปรากฏข้างกายซูเฉิน
ดาบไร้บุปผา
เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 5
ดาบไร้บุปผาทั้งสี่ปรากฏขึ้นพร้อมกัน โดยมีแสงสีชั้นโอบล้อมซูเฉินไว้
คนปกติส่วนมากไม่อาจคุมเครื่องมือต้นกำเนิดพร้อมกัน 4 ชิ้นได้ อีกทั้งซูเฉินเองยังใช้ดาบหั่นภูผาอยู่
ทว่าซูเฉินนั้นต่างจากคนปกติ
นั่นเพราะเครื่องมือต้นกำเนิดทั้งสี่คืออาวุธวิญญาณ
ด้วยอาวุธวิญญาณและอำนาจเงินที่เขามี ซูเฉินจึงมีอุบายที่คนอื่นไม่อาจใช้ได้ นั่นคือการใช้อำนาจเงินข่มขวัญ
ตู้ม !
คลื่นพลังฟ้าลั่นปะทะดาบไร้บุปผา หากแต่การโจมตีทรงพลังทำได้เพียงทำให้เกิดคลื่นแสงส่องออกมาตอบสนองเท่านั้น
ซูเฉินวาดท่ามือ ดาบไร้บุปผาทั้งหมดจึงหายไป กลายเป็นดาบอีก 4 เล่ม
ดาบสารทกระจ่าง
ลมหนาวเริ่มพัดมาพร้อมด้วยแสงเย็นยะเยือกเล็ดลอดออกมาจากดาบขณะที่พวกมันพุ่งไปข้างหน้า
ติดอยู่ในคลื่นแห่งความหนาวเย็นสุดขั้วเช่นนั้น ทหารเผ่าคนเถื่อนรู้สึกทั่วร่างถูกแช่แข็ง การเคลื่อนไหวถูกจำกัด
ฟ้าว ฟ้าว !
ศีรษะเผ่าคนเถื่อนสองหัวกระเด็นไป ส่วนเลือดกระเซ็นไปทั่ว
ไม่อาจรู้ได้ว่าโจมตีมาจากทางใด เห็นเพียงริ้วแสงสีเลือดสองริ้วว่าเป็นอาวุธ 2 ชิ้นที่ปลิดชีพพวกเขาโดยไม่อาจเห็น
ดาบเหมันต์เลื่อนไร้เงา
ดาบพวกนี้ล่องหน
หลังปล่อยดาบสารทกระจ่างแล้ว ซูเฉินก็แอบใช้ดาบล่องหนอีก 2 เล่มบั่นคอทหารเผ่าคนเถื่อน
ตอนนี้กองกำลังชั้นยอดของเผ่าคนเถื่อนเหลือเพียง 4 คนแล้ว
“ไม่ !” ซาถั่นร้องเสียงโกรธ
กลุ่มนี้โดดเด่นที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมด ทำภารกิจอันตรายมาแล้วทุกชนิด นับว่ามีประโยชน์ต่อสงครามกับพวกมนุษย์ในปัจจุบันนัก ดังนั้นจึงถูกยกย่องเป็นสมาชิกเผ่าคนสำคัญ หัวหน้าเผ่ายังบอกมาก่อนว่าคนกลุ่มซาถั่นนั้นมีค่าดั่งทหารนับพันของทัพเผ่าคนเถื่อนด้วยซ้ำ
แต่ในตอนนี้ กลุ่มชั้นยอดของเขาที่สามารถโค่นทหารเผ่าคนเถื่อนธรรมดานับพันได้ กลับถูกสับเหมือนผัก แล้วเขาจะรับได้หรือ ?
จึงรู้ในที่สุดว่าพวกตนนั้นไม่อาจสู้ศัตรูไหว
เขาไม่กลัวตาย
แต่เขากลัวจะทำภารกิจไม่สำเร็จ
สุดท้ายจึงตะโกนขึ้น “แยกกันหนี ! แจ้งข่าวให้ผู้บัญชาการ !”
ซูเฉินมุ่นคิ้ว
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด
กลุ่มเล็ก ๆ ตรงหน้าไม่เพียงแกร่ง แต่ยังใช้สมองเป็น ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกส่งมาตรวจสอบป่ามังกรเหลืองแน่
ได้ยินคำสั่งซาถั่นแล้ว คนอื่น ๆ จึงเข้าใจ รีบหันหลังหนีไปทันที แต่ซาถั่นกลับพุ่งเข้ามา เขารู้ชัดว่าต้องมีคนรั้งซูเฉินไว้ และเขาเป็นคนเดียวที่สามารถทำได้
แววตาซูเฉินฉายไอสังหาร ตามมาด้วยแสงเรืองประหลาดที่ส่องขึ้น ระหว่างทหารทั้งหมดกำลังหลบหนี เขาก็ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาขึ้นมา
ทั้งสี่ถูกวิชาไปพร้อมกัน
แต่พริบตานั้นผู้มีตาทิพย์ก็ร้องเสียงแหลมขึ้น โลหิตหลั่งจากตา ทำให้วิชาของซูเฉินถูกลบล้างลงได้
ผู้มีตาทิพย์สามารถมองสิ่งลวงออกทั้งหมด ตั้งแต่ภาพมายาไปจนการแปลงกายการปลอมตัว หากแต่ผู้มีตาทิพย์ผู้นี้ไม่แกร่งพอ แม้จะมองวิชาสรรพสิ่งลวงตาออก แต่ดวงตาก็บาดเจ็บหนัก ซูเฉินเองถูกพลังตีกลับ ร้องคำรามเสียงเจ็บปวดเช่นกัน พลังจิตเขาแกร่งนัก ทำให้เขาต้านพลังที่ตีกลับมาได้ แต่จะไม่สามารถใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาได้อีกระยะหนึ่ง
ทหารเผ่าคนเถื่อนอีกสองฉวยโอกาสหนีไปได้ในที่สุด
“เวรเอ๊ย !” ซูเฉินสบถ เขาวาดแขน อาวุธวิญญาณกลุ่มใหญ่แยกจากกันแล้วไล่ตามคนทั้งสองไป
ผู้มีตาทิพย์ แม้ตาจะหลั่งโลหิตแต่ยังมองเห็น พุ่งตัวไปทิศนั้นอย่างบ้าคลั่ง ใช้ร่างตนเองรับอาวุธวิญญาณไว้
อาวุธวิญญาณอย่างน้อย 6 เล่มทะลวงร่าง ผู้มีตาทิพย์กดมือกับอาวุธไว้แน่น ไม่ยอมให้มันหลุดออกจากร่าง มีเล่มหนึ่งหลบไปได้ พุ่งเข้าใส่ทหารเผ่าคนเถื่อนได้คนหนึ่ง แขนข้างหนึ่งกระเด็นไป แต่เขาก็ยังวิ่งต่อไปไม่หันหลังกลับ
ในตอนเดียวกันนั้น ซาถั่นก็พุ่งใส่ซูเฉิน ดาบสายฟ้าส่องแสงเรืองรอง ใส่พลังจนมากกว่าเก่า กระทั่งซูเฉินยังต้องรับมือกับการโจมตีขั้นสุดของผู้กล้าเผ่าคนเถื่อนอย่างรอบคอบ
อาวุธวิญญาณสองกลุ่มที่เขาส่งออกไปนั้น ซูเฉินเห็นว่าหนึ่งในนั้นแทงทะลุร่างทหารเผ่าคนเถื่อนได้แล้วคนหนึ่ง แต่อาวุธวิญญาณอีกกลุ่มกลับถูกผู้มีตาทิพย์สละร่างสกัดไว้ได้ ทหารเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นจึงหลุดระยะโจมตีไปแล้ว
อาจเป็นวิชาพิเศษบางอย่าง ที่แม้จะเสียแขนไป แต่ความเร็วก็ยังเร็วราวสายฟ้าแลบ ทิ้งรอยเลือดไว้ตามทางระหว่างดีดตัวหนี เขาเร็วจนซูเฉินยังตามแทบไม่ทัน แม้จะไร้สิ่งใดรั้งตัวไว้ก็ตาม
ถึงจะหนีไปได้แล้ว แต่ก็ไม่กลัวตาย
เขาแลกชีวิตหนีออกมาได้ เพื่อจะนำข่าวไปแจ้งให้ผู้บัญชาการ
ซูเฉินถอนใจพลางมองซาถั่นที่กำลังใส่ท่าโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่ยั้งมือ
ทหารเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นบาดเจ็บ ใช้วิชาลับเพื่อหลบหนี ดังนั้นกว่าจะถึงเผ่าตนคงไม่รอด แต่หากไม่โง่ก็หาเผ่าคนเถื่อนคนอื่นแล้วส่งข่าวต่อไปก็ได้ และความลับในป่ามังกรเหลืองก็จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
ก็แน่ว่าอาจจะตายก่อนเจอเผ่าคนเถื่อนคนอื่น ๆ แต่ซูเฉินก็รู้ดีว่าหวังให้เป็นเช่นนั้นมันฝันเกินไป เพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปเมืองลมโชย
ซูเฉินรู้ว่าตนเหลือเวลาในมืออีกไม่มากแล้ว