ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 119 ศัตรูเก่า
บทที่ 119 ศัตรูเก่า
ในที่สุดเรือเคลื่อนเมฆาก็ลงจอดหลังจากลอยวนมาหนึ่งรอบ
ทันทีที่ซูเฉินกระโดดลงมาจากเรือเหาะ ก็พบกับใบหน้าอันคุ้นตาของฉือไคฮวง
“อาจารย์ !” ซูเฉินร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
แม้จะได้เห็นฉือไคฮวงตอนที่กำลังบินอยู่แล้ว และมั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ซูเฉินก็ยังตื่นเต้นจนอยากร้องไห้อยู่ดี
ฉือไคฮวงขวามือซูเฉินไว้ก่อนจะจ้องเขาเข็ง มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ในดวงตามีแววความประหลาดใจ
“ดี ! ดีมาก !” เขากล่าว
เขาไม่ถามซูเฉินเพราะเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่หรือเจอที่นี่ได้อย่างไร ในตอนนี้แค่ได้เห็นหน้าซูเฉินอีกครั้งเขาก็ดีใจแล้ว
“อาจารย์ ท่านดูไม่ดีเลย” ซูเฉินว่าพลางเหลือบตามองดวงตาข้างหนึ่งและแขนเสื้อที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย
“ข้าถูกบรรพชนชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ‘เสินหมัวเทียน’ ใช้ดัชนีฝันร้ายโจมตีเข้า รอดมาได้ก็โชคดีแล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคุยให้มากความ” ฉือไคฮวงตอบ
“เสินหมัวเทียนใช่หรือไม่ ? ข้าจะจำชื่อไว้ ในเมื่อเขาเอาแขนและดวงตาอาจารย์ไป เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะเอาดวงตาและแขนของเขามาอย่างละสองให้อาจารย์” ซูเฉินตอบเสียงเรียบ
“หึ ๆ! เจ้ายังหนุ่มนักแต่พูดจาทะนงเหลือเกิน” จวินโม่เสียหัวเราะเสียงเย็น “เสินหมัวเทียนเป็นบรรพชนชนเผ่ากิ้งก่ากรวด หนึ่งในสิบสองคนดังแห่งอาณาจักรเหล็กเลือด เจิมน้ำมนต์จากอารามมาแล้ว 5 ครั้ง ผู้บัญชาการยังจะเอาชนะเขาได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไปเอาความกล้าว่าจะเอาแขนและดวงตาเขาได้มาจากไหนกัน ?”
“ตอนนี้อาจไม่ได้ แต่ในอนาคตอาจทำได้” ซูเฉินดูไม่ใส่ใจ
“เอาล่ะ ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนี้ เจ้าว่าเจ้าชื่อซูเฉินหรือ ? มาที่นี่ได้อย่างไร ?” กัวเหวินฉางถาม
นี่คือเรื่องที่ทุกคนสนใจที่สุด
พูดกันตามตรง ทุกคนได้แต่หวังว่าซูเฉินจะแค่บังเอิญมาเจอเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า เขาคงทำให้อีกฝ่ายผิดหวังแล้ว
ซูเฉินเพียงตอบง่าย ๆ “ถ้าแกะรอยตามมา พวกท่านทำทีว่าจะข้ามทะเล จริง ๆ วางแผนว่าจะข้ามผ่านเขตมรณา ข้าพูดถูกหรือไม่ ?”
สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปทันที
จวินโม่เสียถามเสียงหลง “เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
ซูเฉินเอ่ยคำ “ย่อมต้องรู้ ถ้ายอมรับเลยว่าแผนการพวกท่านทำได้ดีนัก การใช้เส้นทางทะเลในการหลบหนีเพื่อปกปิดการเคลื่อนไหวที่แท้จริงก็ไม่เลว เรือใช้ท่องสมุทรและท่องพสุธาใช้วัสดุคล้ายกัน ทำให้ศัตรูสับสนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่าแม่ทัพจวินน้ำเชี่ยวชาญเรื่องทำเครื่องมือโดยเฉพาะเรือดินแล้ว ข้าก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกัน …ทว่าน่าเสียดายที่สุดท้ายแผนก็ล้มเหลว”
ได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ใจราวกับโดนบีบ
หลี่ฉงซานถามขึ้น “ล้มเหลวหรือ ? เจ้าหมายความว่าเผ่าคนเถื่อนรู้ถึงแผนการเราแล้วหรือ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “เรื่องนั้นพูดยาก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าพูดยาก ?” ไม่มีใครเข้าใจ
ซูเฉินจึงอธิบายเรื่องที่เขาพบเจอมาระหว่างทางให้ฟัง
เมื่อได้ยินว่าเขาไปตรวจสอบที่ป่ามังกรเหลือง ทุกคนก็ถอนหายใจ แม้จะพยายามปกปิดให้มากที่สุดแล้ว แต่จะปิดเรื่องที่เกิดขึ้นในป่ามังกรเหลืองไม่ใช่เรื่องง่าย
เผ่าคนเถื่อนเองก็คงรู้แล้ว ดังนั้นจึงส่งกลุ่มสืบสวนชั้นยอดเข้ามา
“น่าเสียดายที่ข้าทำไม่สำเร็จ หนึ่งในนั้นหนีไปได้ ดังนั้นตอนนี้เผ่าคนเถื่อนคงจะล่วงรู้ถึงแผนการแล้ว การจะข้ามเขตมรณาคงเป็นไปไม่ได้อีก” ซูเฉินการหายใจ
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก แท้จริงแล้วถึงจะสังหารทหารเผ่าคนเถื่อนทั้งหมดได้ เสินหมัวเทียนก็คงรู้ว่าเดาถูกเวลาผ่านไปแล้วกลุ่มสืบสวนยังไม่กลับมา” ฉือไคฮวงว่า
“เสินหมัวเทียน…… ท่านคิดว่าทหารเผ่าคนเถื่อนที่ถูกส่งไปป่ามังกรเหลืองก็มาจากชนเผ่ากิ้งก่ากรวดงั้นหรือ ?” ซูเฉินถามขึ้น
“มีแต่พวกเขาเท่านั้น” ฉู่อิงหว่านตอบคำ “มีชนเผ่าทั้งหมด 16 ชนเผ่าที่เข้าร่วมการไล่ล่าพวกเรา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดนับว่าเป็นภัยที่สุด เป็นชนเผ่าที่ลอบโจมตีพวกเราได้สำเร็จตั้งแต่ต้น ทั้งยังบีบให้พวกเรามาถึงที่นี่”
ฉู่อิงหว่านเสียงโกรธนัก เห็นได้ชัดว่านางเกลียดชังชนเผ่ากิ้งก่ากรวดขนาดไหน
“ชนเผ่านี้ทรงพลังถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?” ซูเฉินถามด้วยความสงสัย
เขาศึกษาเรื่องระบบสังคมของเผ่าคนเถื่อนเมื่อครั้งศึกษาในสถาบันมังกรซ่อนเร้น จากทั้งสิบสามชนเผ่าที่เป็นกระดูกสันหลังของเผ่าคนเถื่อนแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อชนเผ่ากิ้งก่ากรวดมาก่อน ไม่คิดเลยว่าชนเผ่ากิ้งก่ากรวดที่ไม่ได้อยู่ในสิบสามชนเผ่าหลักนี้ จะเป็นตัวอันตรายต่อกองทัพกำลังสวรรค์ได้มากเพียงนี้
หลี่ฉงซานกล่าว “ไม่นานมานี้ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดพลันเรืองอำนาจ ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งเอาชนะชนเผ่าผาทราย กลายเป็นหนึ่งในสิบสามชนเผ่าหลักแทน บรรพชนเสินหมัวเทียนของพวกเขาจึงได้มีชื่อเป็นสิบสองบรรพชนหลักเพราะเหตุนี้ ที่ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดมีความสำเร็จได้มากถึงขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะผลงานของเสินหมัวเทียน”
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดมีหัวหน้าเผ่าอัจฉริยะกำเนิดขึ้นมา พวกข้าพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ล้วนเป็นเพราะเขา” ฉือไคฮวงกล่าวเสริม “เจ้าน่าจะรู้จักเผ่าคนเถื่อนหนุ่มผู้นี้”
ซูเฉินใจสะดุด พึมพำขึ้นมาว่า “หรือจะเป็น……”
“ตานปา” ฉือไคฮวงเอ่ยคำ
เขาจริง ๆ หรือ ?
คู่ต่อสู้จากซากโบราณลุ่มน้ำทอง ภายในเวลา 11 ปีกลับกลายเป็นหัวหน้าเผ่าอัจฉริยะของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดแล้วงั้นหรือ ?
ตามกฎของเผ่าคนเถื่อนนั้น ชนเผ่าใหญ่จะไม่ส่งผ่านตำแหน่งหัวหน้าเผ่าตามสายเลือด หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันและบรรพชนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์จะเลือกนักรบมา 3 คน ฝึกฝน และให้ประมือกันจนกว่าจะตัดสินแพ้ชนะได้
ในช่วงเวลานี้ ผู้มีสิทธิ์เป็นหัวหน้าเผ่าทั้งหลายจะถือเป็นรองหัวหน้าเผ่า หรือเรียกว่าหัวหน้าเผ่าน้อย
และเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหนักหรือเสียชีวิต การต่อสู้จะถูกจำกัดอยู่ในอาณาเขตขนาดเล็ก รองหัวหน้าเผ่าทั้งหมดถูกจำกัดทรัพยากรและกำลังพล จากนั้นต่อสู้และวางแผนได้ตามสติปัญญาตนเท่านั้น เช่นนี้เพื่อให้หัวหน้าเผ่าได้วางแผนการต่อสู้กัน ซึ่งอาจกินเวลานานถึงสิบปี
ตลอดช่วงนั้น รองหัวหน้าเผ่าจะได้รับประสบการณ์เข้มข้น รวมถึงยุทธศาสตร์ทางการรบ อุบายทางการเมือง เพื่อหล่อหลอมให้กลายเป็นหัวหน้าเผ่าที่มีคุณสมบัติ
และแม้การต่อสู้สมควรจะมีความยุติธรรม แต่นั่นก็ห่างไกลจากความจริงยิ่งนัก
ส่วนมากแล้ว คนจากฝั่งหัวหน้าเผ่ามักจะเป็นผู้ชนะ
นั่นเป็นเพราะหัวหน้าเผ่ามักจะเสนอชื่อบุตรชายหรือบุตรสาวตนเอง และแม้ในเอกสารจากอารามศักดิ์สิทธิ์ จะเหมือนว่ามีทรัพยากรเท่าเทียมกัน ทว่าคนของหัวหน้าเผ่าก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ ทำให้ได้เปรียบมากกว่าผู้ที่มาจากอารามศักดิ์สิทธิ์
ยกตัวอย่างเช่น กฎบอกไว้ว่าให้รองหัวหน้าเผ่าทุกคนไม่อาจมีลูกน้องติดตัวมาตอนต้นเกินสิบ ลูกน้องที่เหลือต้องเป็นคนที่โน้มน้าวดึงตัวเข้ามาเอง
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกฎที่ยุติธรรม แต่หัวหน้าเผ่าสามารถช่วยให้คนของตัวเองดึงเอาลูกน้องมาในราคาที่ต่ำมากได้
แม้อารามศักดิ์สิทธิ์นั้นควบคุมสังคมในด้านความเชื่อ แต่ก็ขาดกำลังพล ที่สำคัญที่สุด อารามศักดิ์สิทธิ์นั้นให้ค่าเงินตราน้อยกว่าตัวคนมาก
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ฝ่ายหัวหน้าเผ่าจึงมักเป็นผู้ชนะ กระบวนการที่เหมือนจะยุติธรรมเป็นเพียงฉากหน้าเพื่อส่งต่อตำแหน่งเท่านั้น
กระนั้น เผ่าคนเถื่อนและอารามศักดิ์สิทธิ์ก็มีมุมมองว่า การแข่งขันนี้เพื่อฝึกฝนคนที่หัวหน้าเผ่าได้เลือกมาแล้วว่าจะรับช่วงต่อชนเผ่า ไม่ใช่ว่าจะมอบตำแหน่งให้คนอื่นจริง ๆ
แต่หากคนของหัวหน้าเผ่า แม้ได้รับการสนับสนุนมากกว่าคนอื่นแล้วยังไม่อาจเอาชนะได้ เช่นนั้นชนเผ่าก็จะรับรู้อย่างเงียบ ๆ ว่าผู้นั้นไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำ และยอมรับคนที่ส่งมาจากอารามศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติพิเศษที่หัวหน้าเผ่ามอบให้จึงมีข้อจำกัดในบางมุม ทำให้เกิดเรื่องอัศจรรย์ใจขึ้นได้บ้าง
ซึ่งเรื่องอัศจรรย์ใจเหล่านั้นนับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองของเผ่า
ตานปาเรื่องอัศจรรย์ใจล่าสุดของเผ่า
เมื่อ 3 ปีก่อน เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคน กลายเป็นรองหัวหน้าเผ่าเพียงคนเดียว เป็นผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของชนเผ่ากิ้งก่ากรวด
ความลําบากที่กองทัพกำลังสวรรค์เจอมาจนถึงตอนนี้ก็ล้วนเป็นฝีมือของเขา