ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 12 สอบปากคำ (1)
บทที่ 12 สอบปากคำ (1)
เทียบกับแต่ก่อนแล้ว จูเซียนเหยาหน้าตาไม่เปลี่ยนไปมาก นางยังเป็นโฉมงามโดยแท้ แต่ที่เปลี่ยนไปมากคือสภาวะอารมณ์ของนาง
เมื่อก่อนจูเซียนเหยานั้นเป็นที่ดึงดูดน่ารักน่าชัง ทำให้ใครเห็นก็อยากโอบนางไว้ในอ้อมกอด
แต่กลิ่นอายนางในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ยามอยู่ไกลยังไม่สังเกตเห็น ทว่าพอเข้ามาใกล้นางแล้วจึงเห็นชัดเจนนัก
แม้นางจะยังสง่างาม แต่ก็ไม่อ่อนโยนอีก แม้จะยังงดงาม แต่ก็ไร้เสน่ห์ แม้จะยังมีชีวิตชีวา แต่ก็เสียความบริสุทธิ์ที่เคยมีไปแล้ว
นางคล้ายบุปผาที่ผ่านพายุหิมะมาแล้ว จากดอกลิลลี่กลายเป็นกุหลาบหิมะ
คิ้วนางเย็นชา ใบหน้าเยียบเย็น กระทั่งสายตายังเย็นยะเยือก
ทำให้ซูเฉินตกใจไม่น้อย
เขารู้ดีว่าที่แต่ก่อนจูเซียนเหยามีนิสัยเช่นนั้นไม่ใช่เพราะนางเกิดมาก็เป็นเช่นนั้น แต่เป็นผลจากการเลี้ยงดูต่างหาก ด้วยอย่างไรสตรีในตระกูลจิ้งจอกร้อยเล่ห์ก็จำจะต้องมีเสน่ห์เย้ายวนไว้ลวงเหยื่ออยู่แล้ว
แต่จูเซียนเหยาในตอนนี้มันอะไรกัน ?
อารมณ์เย็นชาสูงส่งเช่นนี้ไม่อาจลวงคนให้เข้าใกล้ได้ แต่กลับผลักไสไปไกลนับพันลี้ต่างหาก
อารมณ์กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแน่ แต่ต้องใช้เวลาพัฒนานาน นางจึงจะมีกลิ่นอายสูงส่งสง่างามเช่นนั้นได้
ซูเฉินตั้งสติเสียใหม่ ก่อนก้มหน้าลงกล่าว “บอกมาเถอะว่ามีอะไรจึงเรียกข้ามา”
เสียงนั้นขึ้นจมูกเหมือนคนโง่งั่ง แต่ก็เหมือนกับที่โหยวเทียนหย่างชอบเอ่ยยามอยู่ต่อหน้าจูเซียนเหยาพอดี
“ก่อนหน้านี้มีพวกมนุษย์พยายามแทรกซึมเข้ามา แต่มันไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ข้าถามเจ้า เจ้าได้บอกคนอื่นไปอีกหรือไม่ว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่ ?” จูเซียนเหยา ถามเสียงเย็น
ซูเฉิน ชะงักค้างไป จูเซียนเหยาคิดว่าเป็นเพราะโหยวเทียนหย่างปากสว่างแล้วบอกคนอื่นไปงั้นหรือ ?
แต่ลองคิดดูแล้วก็ไม่แปลก พวกนางถ่อมาคุยกับเผ่าเกล็ดทราย มีหรือที่จะมีมนุษย์ลอบเข้ามาโดยไร้เหตุ ? ปราสาทไหลน่าตะวันตกไม่เกิดเรื่องมาหลายปี แล้วทำไมพอตอนจูเซียนเหยากับคนอื่น ๆ มาถึงเพิ่งมีคนพยายามจะแทรกซึมเข้ามา ?
บังเอิญ ? หรือจะเป็นแผนของนาง ?
หากจูเซียนเหยาจะสงสัยก็ไม่แปลก
แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงจูเซียนเหยาที่สงสัย กระทั่งปัวเอ่อร์ก็คิดจุดนี้ได้ แต่ยังไม่ลงมือทันที อาจกำลังรอให้จูเซียนเหยาไปให้คำอธิบายกระมัง
คิดได้ดังนั้น ซูเฉินก็ใจหล่นวูบ เอ่ยเสียงลังเล “เรื่องนี้……”
เขาทำเป็นลังเลไม่ยอมกล่าวจนจูเซียนเหยาเอ่ย “เจ้าบอกจูเซียนหลิงใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินไม่รู้จักจูเซียนหลิง แต่ก็ถือโอกาสพยักหน้าไป
“เจ้าโง่เอ๊ย ! ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าให้นางรู้ ?” จูเซียนเหยาตะโกนเสียงกร้าว
ซูเฉินลูบท้ายทอยตน “ข้า……”
เขายังพยายามถ่วงเวลายามชายชราด้านข้างเอ่ยคำ “คุณหนู ท่านก็รู้ว่าสายเลือดคุณชายเทียนหย่างยังไม่ตื่น ด้วยวิชาของคุณหนูรองแล้ว เขาอาจทนไม่ไหวก็ได้นะ”
“ถึงจะทนไม่ไหว แต่อย่างน้อยก็ควรบอกกันก่อน ข้าจะได้เตรียมตัว ! แล้วทีนี้จะเอาอย่างไร ? การต่อรองกำลังไปได้ดีแท้ ๆ แต่จู่ ๆ กลับมีคนแอบเข้ามาในปราสาทได้ นางคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายทำแผนข้าล่มหรือ ? หรือนางคิดสังหารปัวเอ่อร์แล้วโยนความผิดให้ข้า ?” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงโกรธ
ซูเฉินไม่เคยเห็นจูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน
อาจเพราะจูเซียนเหยาที่เขาเคยสัมผัสเป็นสตรีตัวปลอม ไม่เคยเป็นตัวจริงของนาง หากแต่นางในตอนนี้กลับดูจริงใจในสายตาเขามากกว่านัก
นางเป็นมนุษย์มีเนื้อมีหนังมีจิตใจ ทั้งยังอารมณ์ร้อนเสียด้วย ทั้งนิสัยยังติดจะห้าว ๆ
และนิสัยห้าวเช่นนี้เองที่ทำให้บุรุษทั้งหลายไม่ชอบใจ ดังนั้นจูเซียนเหยาจึงไม่เคยเผยมันอย่างโจ่งแจ้ง จนกระทั่งซูเฉินได้เห็นด้านนี้ของนาง
ซูเฉินครุ่นคิด พลันคิดเรื่องหนึ่งได้ “หัวหน้าพวกเขาไม่โกรธ ยังไม่ได้ปฏิเสธเรา ไม่ว่าพวกที่ลอบเข้ามาจะหวังอะไร ก็ได้แต่บอกแล้วว่าครั้งนี้พวกมันพลาดแล้ว ข้าว่าที่เราควรทำคือสอบปากคำคนร้ายแล้วเค้นคอหาจุดประสงค์ของมัน ว่ามันวางแผนจะทำอะไรต่อ”
กระจ่างแจ้งชัดถ้อยชัดคำนัก จูเซียนเหยายังประหลาดใจขึ้นมา “เจ้าพูดเรื่องมีเหตุผลกับเขาได้สักที”
ซูเฉินไม่กลัวจูเซียนเหยาจะสงสัยที่เขากล่าว
แม้โหยวเทียนหย่างจะดูเหมือนเจ้างั่ง หากแต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่จำเป็นต้องถูกมองเป็นไอ้งั่งอยู่เสมอไป โหยวเทียนหย่างคิดหลอกซูเฉินกระทั่งตอนตกอยู่ในกำมือซูเฉินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้โง่ไปเสียทั้งหมด
อีกทั้งคนเรานิสัยแตกต่าง ยากจะเข้าใจ อาจถูกมองเหมารวมได้บ้าง แต่จะกะเกณฑ์ว่าเป็นเช่นนี้ข้อ ๆ ไปก็คงไม่ได้
ดังนั้นไม่ว่าคำของซูเฉินจะดูไม่เหมือนคำที่ออกมาจากโหยวเทียนหย่างได้เพียงไหน จูเซียนเหยาก็ไม่คิดสงสัย ปกติแล้วก็คงไม่มีใครสงสัยเพื่อนนิสัยซื่อบื้อของตนว่าจะเป็นคนอื่นปลอมตัวมา เพราะอีกฝ่ายพูดเรื่องฟังดูฉลาดเฉลียวขึ้นมาเป็นบางครั้งหรอกกระมัง เว้นเสียแต่มันเริ่มจะบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งนิสัยยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หากแต่การจะค้นพบโดยการเปรียบเทียบได้เช่นนี้จำต้องใช้เวลานาน
ซูเฉินจำต้องเอ่ยเรื่องสอบปากคำเฮ่อซื่อขึ้นมาเพื่อจะติดต่อกับอีกฝ่ายได้โดยไม่น่าสงสัย
“คุณหนู หัวหน้าปัวเอ่อร์อาจไม่ยอมให้เราได้เค้นคอเขาก็ได้” ชายชรากล่าว
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะคุยกับปัวเอ่อร์เอง ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เรา” จูเซียนเหยาพูดแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
จากนั้นไม่นาน จูเซียนเหยาก็กลับมา หน้าตาดูเหนื่อยล้านัก “เขาตกลง”
ปัวเอ่อร์ไม่ใช่คนโง่ ตระกูลจูมาพร้อมคำขอ ไม่มีเหตุผลที่ต้องวางแผนลวงเขาในสถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งหากพวกเขาคิดลอบสังหารปัวเอ่อร์จริง ก็คงไม่ส่งด่านทะลวงลมปราณมา ดังนั้นจึงรับคำขอจูเซียนเหยา เชื่อว่าคงเป็นศัตรูของตระกูลจูที่หมายก่อปัญหา แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับปากเปล่า ๆ ยังบีบคั้นจูเซียนเหยาเสียหนัก ทำให้นางโกรธจนหน้าซีดทีเดียว
“เป็นเพราะเจ้าบัดซบนั่น คิดหินพลังต้นกำเนิดเพิ่มอีกหนึ่งแสน อีกทั้งยังไม่รับจ่ายหลายครา ต้องจ่ายรวดเดียว เพราะเขาก็ไม่คิดมองอะไรไกลอยู่แล้ว” จูเซียนเหยาสบถเสียงโกรธ
“เขาถูกหลอกมามาก กระทั่งคนโง่ที่สุดยังเริ่มสงสัยยามถูกคนลวงมาหลายครา อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนโง่อะไร” จูไป๋อวี่หัวเราะแล้วเดินเข้าห้องมา แบกร่างเฮ่อซื่อไว้บนไหล่
เมื่อเห็นจูไป๋อวี่มาถึง ซูเฉินก็ก้มหน้าลงเงียบ ๆ
“อาหก !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจ
“ไม่ต้องห่วง” จูไป๋อวี่ว่า “เผ่าเกล็ดทรายพวกนั้นไม่อยู่แล้ว พูดออกมาตามตรงเถอะ”
ได้ยินแล้วซูเฉินก็ใจกระตุก
เช่นนั้นแล้วจูเซียนเหยากับคนอื่น ๆ มาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่นหรือ ? ที่ว่าจะสร้างที่มั่นในอาณาจักรหลงซางเพื่อต่อกรกับอารามนิรันดร์เป็นเรื่องลวง ?
จูไป๋อวี่วางร่างเฮ่อซื่อลง จากนั้นเดินมานั่งข้างจูเซียนเหยา เตรียมสอบปากคำ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยืนอยู่ด้านหลัง
จูเซียนเหยาไม่ชอบโหยวเทียนหย่าง แต่จูไป๋อวี่เหมือนจะไร้ปัญหากับเขา เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “เทียนหย่าง เจ้าก็นั่งสิ ทำไมยืนอยู่ราวกับเป็นข้ารับใช้เช่นนั้น ?”
ซูเฉินก้มหน้าตอบ “เทียนหย่างทำเสียเรื่อง บอกคุณหนูรองว่าเราจะมาที่นี่ ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เทียนหย่างจึงไม่กล้านั่ง”
จูไป๋อวี่หัวร่อ “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เจ้าผิดคนเดียวหรอกไม่ต้องห่วง เจ้านั่งเถอะ”
“อ้อ” ซูเฉินทำทีเป็นนั่งลงดูเงอะงะ ทำทีไม่ตั้งใจ ทำของหล่นออกมาจากในเสื้อ มันกลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดอยู่แทบเท้าเฮ่อซื่อ
เมื่อเห็นมัน เฮ่อซื่อก็นัยน์ตาเป็นประกาย