ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 150 การตอบสนอง
บทที่ 150 การตอบสนอง
หลังจากผละออกมาจากหลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ได้แล้ว ซูเฉินก็เริ่มมุ่งหน้าไปแดนเผ่าสัตว์อสูร
แน่นอนว่าเขาเดินเข้าไปตรง ๆ ไม่ได้ ต้องหาทางอ้อม ด้วยหากเดินหน้าไปทางเหนือ ก็จะมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางอาณาจักรเหล็กเลือด ซึ่งมีชนเผ่าเพลิงอาศัยอยู่ และหากต้องเผชิญหน้ากับเผ่าคนเถื่อนที่ใหญ่ที่สุดเช่นนั้น ซูเฉินคงไม่อาจทําอะไรได้ ดังนั้นจึงเลือกเดินทางไปทางใต้แทน
พื้นที่ทางใต้ตั้งหันหน้าเข้าแดนมนุษย์ ซึ่งมีชนเผ่ากิ้งก่ากรวดอาศัยอยู่
สำหรับซูเฉิน เขามีแผนจะเดินทางมาทางใต้อยู่เสมอ แต่ก่อนจะถึงเวลา เขาก็ไม่ได้รีบร้อนว่าต้องเดินทางไปถึงโดยเร็ว ทว่าในตอนนี้ เขาก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเขตแดนทางใต้ของเผ่าคนเถื่อน เพื่อที่ภายหลังจะไปทางตะวันตก
ทว่าเขาก็ไม่คิดว่า การเดินทางอ้อมเพียงเล็กน้อยเท่านี้ จะทำให้เขาได้พบกับสหายที่รู้จักกันมานานเข้า
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางข้ามทุ่งหญ้าฮาเหวย
เยี่ยเม่ยเดินไปบ่นไป “บนทุ่งหญ้าไม่เห็นมีอะไร ข้าเบื่อจะตายแล้ว ! ซูเฉินไม่เห็นทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย ที่นี่ก็กว้างใหญ่นัก จะหาเจอได้อย่างไร”
ฉือหมิงเฟิงยิ้มขื่น “แม่นาง พวกเขากำลังถูกไล่ล่าอย่างหนัก มีหรือจะเหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้เรา แต่เจ้าอย่ากังวล เมื่อครั้งอยู่เมืองภูผาเมิน พวกเราก็หาวิธีติดต่อกับซูเฉินไว้แล้ว แต่หากอยู่ไกลไปก็อาจใช้ไม่ได้ผล แต่หากอยู่ภายในระยะร้อยลี้ ก็จะสามารถติดต่อหากันได้”
ตอนที่แยกกันที่เมืองภูผาเมิน ฉือหมิงเฟิงมอบแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดอัญเชิญที่คู่กันกับของเขาไว้ เพื่อให้ยังสามารถติดต่อกันได้หากแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดอยู่ใกล้กันในระยะร้อยลี้ และหากซูเฉินอยู่ในระยะ เขาก็จะสามารถสัมผัสถึง และสื่อสารกับอีกฝ่ายได้
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉือหมิงเฟิงและเยี่ยเม่ยมั่นใจว่าจะสามารถหาซูเฉินพบ
แต่เมื่อเดินทางแล้วยังไม่เข้าใกล้ ความมั่นใจจึงลดลง
กลับกัน เผ่าคนเถื่อนและประตูฟื้นความเยาว์มั่นใจเป็นยิ่งนักว่าจะสามารถหาตัวซูเฉินได้ เพราะอย่างไรฝ่ายนั้นก็กำลังควบคุมการเคลื่อนไหวของกองทัพกำลังสวรรค์อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจชี้สถานที่เฉพาะเจาะจงได้ หากนำวิธีของทั้งสองฝ่ายมารวมกัน อัตราในการหากองทัพพบก็จะเพิ่มสูงขึ้น
เช่นนั้นแล้ว หากเผ่าคนเถื่อนและประตูฟื้นความเยาว์ชิงเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดจากอารามนิรันดร์ ก็จะสามารถพบทั้งตัวซูเฉินและทัพกำลังสวรรค์ได้
ทว่าฉือหมิงเฟิงสุขุมรอบคอบไม่เปลี่ยน ไม่เคยบอกอาซือถิงเรื่องวิธีที่เขาใช้ติดต่อกับซูเฉิน และเมื่อรวมกับความระแวดระวังของซูเฉินแล้ว อาซือถิงจึงไม่คิดบี้ถามให้มากความ
ลูกน้องคนหนึ่งของประตูฟื้นความเยาว์ได้ยินเยี่ยเม่ยกล่าวไว้เช่นนั้น จึงอดถามอาซือถิงขึ้นไม่ได้ว่า “คนที่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่เรื่องนั้น กลับได้เป็นไวเคานต์ของอารามนิรันดร์งั้นหรือ พวกเขาขาดคนหรือไร หรือแม่นางผู้นี้มีคนสำคัญหนุนหลัง”
ระบบภายในของอารามนิรันดร์เลียนแบบมาจากชนชั้น 5 ระดับของอาณาจักรอาร์คาน่า คือ ดยุก มาร์ควิส เคานต์ ไวเคานต์ และบารอน ในระดับทั้งหมด มีอาร์ชดยุกที่มีอำนาจสูงสุด ซึ่งไม่นับเป็นราชา เพราะอาณาจักรได้ล่มสลายไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาสำคัญทั้งหลายนับเป็นดยุก เช่น หัตถ์สีเลือดอันซื่อลี่ รองลงมาคือมาร์ควิส ซึ่งมีหม่าเหรินเจ๋อและฉือหมิงเฟิง รองลงมาเป็นไวเคานต์
ในด้านกำลัง เยี่ยเม่ยอยู่ด่านทะลวงลมปราณแล้ว นับว่าเหมาะสมกับตำแหน่งไวเคานต์
แต่พื้นฐานการบ่มเพาะพลังไม่ใช่ตัวสำคัญ ยังต้องมีความฉลาดเฉลียวในระดับหนึ่งด้วย หากมองจากมุมนี้ เยี่ยเม่ยนั้นแทบจะมีฐานะติดลบ โดยปกติแล้ว จะให้นางเป็นบารอนยังยาก ไม่ต้องกล่าวถึงไวเคานต์เลย นางคงยังเป็นทหารเดนตายต่อไป
แต่ว่าตอนนี้นางเป็นไวเคานต์ เป็นสันหลังหลักของอารามนิรันดร์ กระทั่งคนอย่างฉือหมิงเฟิงยังเดินทางมาปกป้องนางด้วยตนเอง คนจากประตูฟื้นความเยาว์จึงแทบไม่อยากเชื่อสายตา
อาซือถิงหัวเราะเสียงเย็น “คนหนุนหลังหรือ ก็คือซูเฉินไม่ใช่หรือไง”
คนผู้นั้นตกใจ “ซูเฉินสำคัญขนาดนั้นเชียว”
“หากเจ้าหาหินพลังต้นกำเนิดมาให้ประตูฟื้นความเยาว์สักหลายร้อยล้านได้ เจ้าก็จะสำคัญเช่นนั้นล่ะ” อาซือถิงตอบ
เยี่ยเม่ยเคยเป็นมือสังหารไร้ฐานะในอารามนิรันดร์ ทำภารกิจดั่งทหารเดนตาย ไม่เคยร่วมภารกิจสำคัญมาก่อน หากแต่เมื่อนางได้ติดต่อกับซูเฉินมากขึ้น ฐานะของเยี่ยเม่ยก็เริ่มสูงขึ้นด้วย
เรื่องหม่าเหรินเจ๋อยิ่งทำให้อารามนิรันดร์รู้ว่า การเอาอกเอาใจซูเฉินนั้นได้ผลดีกว่าการขู่ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ฐานะของเยี่ยเม่ยย่อมพุ่งขึ้นสูงเร็วขึ้น ให้นางได้ตำแหน่งไวเคานต์ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และหากเรื่องยังเป็นเช่นนี้ต่อไป หากซูเฉินสามารถผ่ากองทัพกำลังสวรรค์รอดออกจากแดนเผ่าคนเถื่อนได้สำเร็จ เช่นนั้นเยี่ยเม่ยย่อมได้เลื่อนฐานะไปเป็นเคาน์ ระดับเทียบเท่ากับฉือหมิงเฟิง
“บัดซบ” คนจากประตูฟื้นความเยาว์ได้ยินคำตอบก็พึมพำเสียงเบา
“เราจึงได้แต่วิ่งกลับไปกลับมาสินะ แล้วเมื่อไหร่จะอยู่ในระยะร้อยลี้กับเขาเล่า เมื่อไหร่จะติดต่อได้” เยี่ยเม่ยยังคงถามคำถามต่อไปเหมือนเด็กช่างถาม
“ตอนนี้เราทำได้เพียงเท่านี้ เคราะห์ดีที่สหายประตูฟื้นความเยาว์พอจะรู้สถานที่ตั้งของกองทัพกำลังสวรรค์อยู่บ้าง หากเราตามรอยเขาไป ก็คงมีโอกาสติดต่อหาเขาได้แน่”
“แต่เราก็อาจพบทหารเผ่าคนเถื่อนด้วยนะ” เฮ่อซื่อตอบ
ตอนนี้ทุกคนกำลังไล่ตามกองทัพกำลังสวรรค์ ยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งมีโอกาสจะถูกทหารเผ่าคนเถื่อนค้นพบ
“ประตูฟื้นความเยาว์มีวิธีรับมือสถานการณ์อยู่” ฉือหมิงเฟิงตอบ “อย่างน้อย เรื่องราวก็ดำเนินมาอย่างเงียบสงบจนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรือไง”
“นั่นก็ถูก” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
“ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมาก สหายประตูฟื้นความเยาว์มีความสามารถไม่น้อย” เฮ่อซื่อเองก็เห็นด้วย แต่ก็แอบสงสัยตาหาฉือหมิงเฟิงไปในเวลาเดียวกัน
พวกเขาไม่ใช่เยี่ยเม่ย มีประสบการณ์มากกว่านางนัก ดังนั้นจึงมีความคิดซับซ้อนกว่ามาก
อาซือถิงหัวเราะ “พวกเราอยู่ในอาณาจักรเหล็กเลือดก็ต้องอยู่หลบ ๆ ซ่อน ๆ มาตลอด พวกคนเถื่อนจัดการเส้นทางไว้แล้ว คงไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เมื่อก่อนหน้านี้ ได้ยินจากเผ่าคนเถื่อนมาว่ากองทัพกำลังสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นที่พื้นที่ภาคกลางของอาณาจักรเหล็กเลือด”
เขาเพิ่งจะยอมรับว่าตนมีความสัมพันธ์กับเผ่าคนเถื่อน ทำให้ทุกคนสงสัยเขายากขึ้น
“เช่นนั้นทำไมเราถึงมุ่งหน้าไปยังเขตกลางเลยเล่า” เฮ่อซื่อถาม “เส้นทางมันดูประหลาดไปสักหน่อยนะ”
อาซือถิงตอบคำ “หากอยากหากองทัพกำลังสวรรค์ จะตามติดพวกเขาไปตลอดไม่ได้ จำเป็นต้องคาดการณ์ว่าพวกเขาจะมุ่งหน้าไปไหน กองทัพกำลังสวรรค์ไม่ปักหลักอยู่ที่ใดเป็นเวลานาน จากการวิเคราะห์ของเรา พวกเขาคงออกจากพื้นที่นั้นไปแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหนต่อ แต่ในเมื่อเราแค่ต้องการอยู่ในระยะร้อยลี้จากซูเฉินเพื่อติดต่อหาเขา ดังนั้นการเดินทางไปเขตกลางจึงเป็นความคิดที่ดีที่สุด”
ความคิดนี้ไม่ใช่ของอาซือถิงแต่เป็นของตานปา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความคิดของตานปาจะเหมือนกับซูเฉินยามตามหากองทัพกำลังสวรรค์ ความต่างเพียงหนึ่งเดียวคือการที่ซูเฉินสามารถตามหาทัพเองได้ ในขณะที่ตานปาจำเป็นต้องใช้ลูกน้องทำภารกิจ ดังนั้นซูเฉินจึงมีอิสระและความยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้ประสบความสำเร็จกว่ามาก ส่วนตานปามีกำลังคนมาก แต่ด้วยข้อมูลเดินทางมาถึงช้า จึงทำให้มีข้อจำกัด แต่สุดท้ายเขาก็สามารถคาดเดาสถานที่ของกองทัพกำลังสวรรค์ได้ถึง 3 ครั้ง ทว่ากองทัพกำลังสวรรค์ก็ยังสามารถหนีไปได้
แน่นอนว่า กองทัพกำลังสวรรค์ย่อมตกใจไม่ใช่น้อย การเคลื่อนไหวยิ่งเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเก่า
“หรือก็คือ แม้จะเข้าสู่เขตกลางแล้ว ก็อาจหาตัวเขาไม่พบสินะ” เยี่ยเม่ยถอนหายใจ
“นั่นขึ้นอยู่กับดวงของพวกเรา” ฉือหมิงเฟิงตอบพลางยิ้มน้อย ๆ “แต่ข้าเชื่อว่าเราต้องพบเขาแน่ มีเจ้าอยู่ เราคงไม่โชคร้ายแน่นอน”
“งั้นหรือ” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วปีติยินดี
ทันใดนั้น ฉือหมิงเฟิงพลันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากอก
เขาตะโกนเสียงตกใจ “มีการตอบสนองแล้ว !”