ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 151 แผนของตานปา
บทที่ 151 แผนของตานปา
เสียงร้องยินดีของฉือหมิงเฟิงทำเอาทุกคนตกใจไม่น้อย
ในตอนนั้น ฉือหมิงเฟิงไม่คิดปิดบัง หยิบแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดขึ้นมาดู เห็นว่ามีจุดสีแดงกะพริบอยู่ ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังพวกเขา
“เป็นซูเฉิน !” เยี่ยเม่ยเห็นจุดแดงแล้วก็เข้าใจ ร้องขึ้นมาเช่นกัน “โชคข้านี่มันดีจริง ๆ”
หากแต่พริบตาต่อมา จุดสีแดงก็กระโดดไปอีกด้าน ก่อนจะหายไป
“หายไปได้ยังไงกัน ?” ทุกคนชะงักไป
“เขาออกจากระยะไปอีกแล้ว” ฉือหมิงเฟิงตอบ
เมื่อครู่ก่อน ซูเฉินอยู่ในระยะสื่อสารแล้วแท้ ๆ แต่ฉือหมิงเฟิงยังไม่ทันได้ติดต่อหา เขาก็พ้นระยะไปเสียแล้ว อีกฝ่ายคงจะเข้าระยะมาแค่เพียงปลาย ๆ เท่านั้น
“รู้หรือไม่ว่าเขามุ่งหน้าไปไหน ?” อาซือถิงถามเสียงกังวล
“ไปทางนั้น” ฉือหมิงเฟิงว่า แล้วชี้นิ้วไปทางตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่จุดสีแดงหายไป
“ตะวันตกหรือ ? พวกเราเดินทางจากภาคกลางไปยังพื้นที่ทางใต้ ตอนนี้ยังจะไปตะวันตกอีก หมายความว่าอะไรกัน ?” ไม่มีใครเข้าใจการเคลื่อนไหวของซูเฉิน
“ตอนนี้อย่าเพิ่งห่วงเรื่องพวกนั้นเลยดีกว่า เราไล่ตามเขาให้ทันก่อน เมื่อทันแล้วค่อยคุยเรื่องนี้กันภายหลัง !” อาซือถิงเอ่ยขึ้นได้ความกังวล
“ไล่ตาม !”
“ไล่ตามไปเลย !”
ทุกคนเริ่มส่งเสียงร้อง
ถึงตอนนี้ ลังเลไปก็เปล่าประโยชน์ ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปทางนั้นโดยเร็วเป็นสองเท่า
คนสองสามคนจากประตูฟื้นความเยาว์จงใจปล่อยให้ตนเองรั้งท้ายไปเล็กน้อย
อาซือถิงพยักหน้ากับคนด้านข้าง ที่หยิบเอาหินสีดำหน้าตาไม่โดดเด่นออกมาเขียนอะไรบางอย่าง ระหว่างที่เขียนลงไปนั้น อักษรทั้งหลายก็เปล่งแสงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขียนเสร็จ คนเขียนก็โยนหินก้อนนั้นลงพุ่มหญ้าข้างทางไปเสียอย่างนั้น จากนั้นเดินออกมา
ชั่วยามต่อมา ทหารชั้นดีเผ่าคนเถื่อนก็มาถึง ทั้งหมดกี่หลังหมาป่าฟ้า หมาป่าฟ้าเหล่านี้ตัวใหญ่เท่าแรดเขาเดียว แต่รวดเร็วและดุร้ายกว่า
ทหารคนหนึ่งที่ถือแผ่นบางอย่างส่องประกายกระโดดลงจากหลังหมาป่าฟ้าทั้งที่มันยังไม่ทันหยุดดี ลงมายืนอยู่ตรงหน้าก้อนหินสีดำ เขาหยิบมันขึ้นมา เอามันแตะกับหน้าผา เกิดเป็นเส้นแสงแผ่ออกมาจากหินเข้าสู่หน้าผากไป ทหารที่ขี่หลังหมาป่าฟ้าพลันจิตสะท้านอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เราค้นพบร่องรอยของซูเฉินแล้ว เขามุ่งหน้าไปทางตะวันตก”
ได้ยินดังนั้นแล้ว หัวหน้ากองทหารบนหลังหมาป่าก็ยิงศรคันหนึ่งขึ้นสู่ฟ้า
ห่างไกลออกไป มีทัพทหารเผ่าคนเถื่อนหนึ่งรวมตัวอยู่ กำลังรอสัญญาณ
เมื่อผู้นำทัพเห็นธนูสัญญาณ จึงยกแขนขึ้นเป็นสัญญาณให้เคลื่อนตัว กองทัพจึงมุ่งหน้าไปดูสง่าผ่าเผย ตามไปยังทิศที่ศรถูกยิงขึ้นมา
ในตอนนี้ ฉือหมิงเฟิงกับพวกไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลย
ได้แต่ไล่ตามซูเฉินไปด้วยความตื่นเต้น
แต่เมื่อไล่ไปได้ 3 วันเต็ม ความตื่นเต้นก็พลันหาย
“มีบางอย่างไม่ถูกต้องเป็นแน่ ! เราไล่ล่าเขามา 3 วันแล้ว ทำไมถึงยังตามไม่ทันเสียที ? หรือเขาจะหันไปทางอื่นแล้ว ?” คนผู้หนึ่งถามขึ้น
“เราเพิ่งได้ข่าวว่า พื้นที่ภาคกลางกำลังถูกขบวนสัตว์อสูรเข้าโจมตี อสูรกายจำนวนมากข้ามพรมแดนมา เข้าโจมตีเมืองไปสิบกว่าเมืองแล้ว” อาซือถิงกล่าว
“ว่าอะไรนะ ?” ทุกคนที่นั่นตกตะลึง
เหตุใดจู่ ๆ ที่ใจกลางดินแดนของเผ่าคนเถื่อนถึงเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้เช่นนั้น ?
เฮ่อซื่อพี่นึกบางอย่างขึ้นได้โพล่งขึ้นมา “หรือจะเกี่ยวกับซูเฉิน ?”
“เป็นไปได้สูง” ฉือหมิงเฟิงเข้าใจซูเฉินดีมาก ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของคนผู้นั้นแล้ว คงไม่เกินความสามารถที่จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้
“เช่นนั้นเราไปทางเหนือไม่ได้”
“ทางใต้เล่า ?”
“ไม่ได้เช่นกัน” อาซือถิงส่ายหน้า เขาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม แต่รู้ดีว่าคนของตานปากำลังดักรออยู่ที่นั่น หากกองทัพกำลังสวรรค์มุ่งหน้าไปทางใต้ ก็จะตกอยู่ในกำมือของทัพเผ่าคนเถื่อน
“เส้นทางไปเหนือถูกปิดกั้นแล้ว จะไปทางใต้ก็ไม่ได้ มีแต่ต้องไปทางตะวันตก บัดซบ กองทัพเพียงแปดพัน ทำไมถึงเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ?” ทุกคนเชื่อว่าซูเฉินยังอยู่ในกองทัพกำลังสวรรค์ ซึ่งก็หมายความว่า การเคลื่อนไหวของซูเฉินเท่ากับการเคลื่อนไหวของกองทัพกำลังสวรรค์ ความรวดเร็วในการเคลื่อนทัพไม่อาจเทียบได้กับการเคลื่อนไหวของคนคนเดียว ดังนั้นเมื่อคิดถึงความเร็วของซูเฉินเทียบเป็นความเร็วของกองทัพแล้ว ทำให้ดูเหมือนว่ากองทัพกำลังสวรรค์เคลื่อนที่เร็วเกินจริงไปมาก
ฉือหมิงเฟิงยังไม่รู้คำตอบ แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนว่าซูเฉินยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอยู่
“หากมุ่งไปตะวันตกก็จะเข้าเขตขบวนสัตว์อสูร พวกเขาคิดอะไรอยู่ถึงรุดหน้าเข้าตะวันตกเช่นนั้น ?” อาซือถิงเอ่ยถามเสียงวิตก
ฉือหมิงเฟิงตาเป็นประกาย “ขบวนสัตว์อสูรมันทิ้งรังไว้ เช่นนั้นหากพวกเขาคิดโจมตีรังของขบวนสัตว์อสูร….”
เมื่อคิดเรื่องหนึ่งได้ ทุกคนก็ใจสั่นไปตาม ๆ กัน
อาซือถิงเองก็เข้าใจเรื่องราว เอ่ยเสียงตกตะลึงขึ้นว่า “ตอบโต้ด้วยการเคลื่อนที่ไปทางรังสัตว์อสูร ปล้นทรัพยากรหายากทั้งหลาย ไม่แน่ว่าอาจยั่วโมโหขบวนสัตว์อสูรให้มากขึ้น พวกมันจะได้ทำลายเผ่าคนเถื่อนมากขึ้นกระมัง ? และหลังจากนั้น ก็อาจบุกฝ่ากลับเข้าไปยังแดนมนุษย์ก็เป็นได้…… สวรรค์ ซูเฉินผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย !”
แม้อาซือถิงจะไม่เคยพบซูเฉินมาก่อน แต่ในพริบตานั้น ผลงานของแผลการที่ซับซ้อนและบ้าบิ่นทั้งหมดก็ตกเป็นของซูเฉินไปแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรก็ตาม
แต่เข้าแดนขบวนสัตว์อสูรเนี่ยนะ !
ในตอนนี้ จิตใจทุกคนกำลังปั่นป่วนยิ่ง
ในตอนนี้คือจังหวะที่ดีที่สุดในการบุกรังสัตว์อสูร เพราะในรังแทบจะว่างเปล่า หากกองทัพกำลังสวรรค์สามารถเข้าไปได้ ทำไมจะไม่เข้าไปเล่า ?
ฝ่าอันตรายเพื่อหาสมบัติ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกตื่นเต้นในมุมมองนี้ กระทั่งตัวอาซือถิงยังใจสั่น อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาควรบอกให้ตานปารู้หรือไม่ หากแต่ความคิดนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนมา เขารู้ดีว่าตานปาน่ากลัวเพียงไหน รู้ดีว่าไม่อาจซ่อนข่าวนี้จากตานปาได้
หลังจากรู้แผนซูเฉินได้ไม่นาน ทุกคนจึงตัดสินใจไล่ตามเขาเข้าเขตแดนขบวนสัตว์อสูรไป ในเมื่อกองทัพกำลังสวรรค์กล้า พวกเขาก็ไร้เหตุผลไม่ให้ทำตาม เพราะภัยอันตรายทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญอยู่ ล้วนมาจากกองทัพกำลังสวรรค์ทั้งสิ้น
เมื่อดำเนินตามแผนแล้ว คนทั้งกลุ่มจึงเริ่มออกเดินทาง
หนึ่งชั่วยามต่อมา ตานปาจึงได้รับข่าว
“จะเข้าไปในแดนขบวนสัตว์อสูรงั้นหรือ ?” ตานปาได้ยินแล้วยังคาดไม่ถึง
เขาเชื่อมาตลอดว่า หลังจากแผนล่มที่เขตมรณา พวกมนุษย์คงคิดจะเดินทางผ่านเทือกเขาหินปูน แต่พวกนั้นกลับเลือกผ่านแดนสัตว์อสูร แต่ในเมื่อตอนนี้ขบวนสัตว์อสูรเดินทางออกมา ประชากรในแดนย่อมกระจายตัว จึงมีโอกาสให้เดินทางกลับได้ แม้จะน้อยมากก็ตาม มีเพียงชายแดนสัตว์อสูรเท่านั้นถึงจะมีพวกมันอยู่หนาแน่น
“ประมุขน้อย เราจะทำอย่างไรดี ?” จาเค่อถามขึ้น
ตานปาครุ่นคิดต่อเงียบ ๆ แล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะ
ปาเหยียนตอบเสียงขุ่น “ยังต้องถามอีก ? ก็ไล่ตามไปสิ ! หากกองทัพกำลังสวรรค์ไปได้ เราก็ไปได้ ไหน ๆ ไปแล้วก็สังหารพวกอสูรสักหน่อยเลย”
เห็นได้ชัดว่าปาเหยียนเองก็ถูกชักจูงด้วยหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติมากมายเช่นกัน
แม้เขาจะค่อนข้างโง่ แต่คำแนะนำของเจ้าโง่ในตอนนี้กลับได้รับความเห็นชอบจากแม่ทัพทั้งหลายในกระโจม
“ใช่ ควรไล่ล่าต่อ ! หยุดพวกกองทัพกำลังสวรรค์ไว้กลางทาง ไม่ให้พวกมันมุ่งหน้าหรือถอยได้”
“ใช่แล้ว จากนั้นฝ่าเข้าแดนสัตว์อสูร สำแดงกำลังทัพคนเถื่อนให้พวกมันเห็น !”
เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นในกระโจม
เป็นตอนนั้นที่ตานปพลันถาม “สถานการณ์ของขบวนสัตว์อสูรตอนนี้เป็นอย่างไร ?”
จู่ ๆ ตานปามาถามถึงขบวนสัตว์อสูรทำไมกัน ?
ทุกคนงุนงง หากจาเค่อยังตอบคำ “ตอนเราได้ข่าวขบวนสัตว์อสูร พวกมันเพิ่งโจมตีป้อมมู่หลิวไป ตอนนี้ขวบนน่าจะมุ่งหน้าไปตีเมืองเหล็ก ไม่นานคงถึงหงกู่ลา”
หงกู่ลาเป็นปลายทางของขบวนสัตว์อสูร เมื่อถึงที่นั่นแล้ว ขบวนสัตว์อสูรก็จะสลายและกลับถิ่น
แต่หากกองทัพกำลังสวรรค์เข้าโจมตีรังของสัตว์อสูร เช่นนั้นพวกมันก็จะโกรธแค้นขึ้น ถึงตอนนั้น เผ่าโลหิตเวียนจะไม่ใช่เผ่าเดียวที่เสียหายแน่
ปัญหาคือถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่กระทบชนเผ่ากิ้งก่ากรวด
ความเสียหายในภาคใต้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ ส่วนในภาคกลางมาจากขบวนสัตว์อสูร และเพราะเผ่าคนเถื่อนไม่ค่อยมีความสงบเท่าไร จึงจะร่วมมือกันในสถานการณ์วิกฤติที่เป็นอันตรายต่อทุกฝ่ายเท่านั้น ดังนั้นภัยในภาคกลางจึงไม่ได้รับความเศร้าโศกเห็นใจเท่าไรนัก
ถึงเผ่าคนเถื่อนจะมีธรรมเนียมเช่นนั้น ตานปาก็ยังครุ่นคิดหนัก
ราวกับเขากำลังมีเรื่องให้คิดหนักก็มิปาน