ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 156 ช่วงชิงมิหยุดหย่อน
บทที่ 156 ช่วงชิงมิหยุดหย่อน
คำของซูเฉินทำให้ตุ๊กตากระดาษขาวตกใจนัก ก้อนอากาศเริ่มปลดปล่อยคลื่นพลัง ไม่ใช่เพื่อโจมตีซูเฉิน แต่เป็นพฤติกรรมเมื่อรู้สึกหวาดกลัว
ดูท่าเจ้าสิ่งนี้จะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออย่างแรงกล้า
มันร้องเสียงดังว่า “อย่าสังหารข้าเลย ! ท่านเป็นมนุษย์ ย่อมต้องการผู้นำทาง ! ข้าสามารถบอกข้อมูลทั้งหมดให้ท่านได้ !”
“ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย” ซูเฉินเลิกคิ้ว “เจ้ารู้อะไรบ้าง ?”
ตุ๊กตากระดาษขาวตะโกนต่อ “ข้าอยู่ที่นี่มา 800 ปี คุ้นเคยกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ อยากรู้อะไรก็ถามข้าได้เลย”
แสงที่เรืองออกจากดาบซูเฉินจางลงเล็กน้อย “ก็อย่างเจ้าว่า ข้าเป็นมนุษย์ กำลังตามหาทรัพยากรหายากต่าง ๆ อยู่…… ไม่ว่าข้าจะสามารถนำมันมาใช้ได้หรือไม่ก็ตาม”
ตุ๊กตากระดาษขาวตอบคำ “เช่นนั้นท่านก็ถามถูกคนแล้ว ข้ารู้จักของมีค่าทั้งหมดที่นี่ ทั้งยังมีเคล็ดลับในการได้มันมา”
ซูเฉินเก็บดาบลง “แต่ก็คงไม่ได้มาอย่างปลอดภัยใช่ไหมเล่า ?”
“ขอรับนายท่าน ทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ที่นี่ ไม่มีชิ้นไหนที่ได้มาโดยง่าย แม้ขบวนสัตว์อสูรจะเดินหน้าเต็มกำลัง จนพวกอสูรหายไปจนเกือบหมดก็ตามที ทว่าอย่างไรทรัพยากรก็จะได้รับการปกป้องอย่างดี ผลกระทบแท้จริงของขบวนสัตว์อสูรนั้นคือท่านไม่ต้องกังวลเรื่องรบกวนจากภายนอก”
“ไม่เกินคาดเท่าไหร่” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
เขาก็ไม่คิดว่าของจะนอนรอให้มาเก็บเฉย ๆ อยู่แล้ว ไม่มีสมบัติล้ำค่าที่ไหนได้มาง่าย ๆ เพราะพวกอสูรทั้งหลายยามอยู่ก็สู้เพื่อชิงมันกันเองอยู่แล้ว
หากของยังรอดมาจนถึงตอนนี้ หากไม่ไร้ค่า ก็แสดงว่าถูกรักษาไว้อย่างดีนัก
ก็เหมือนกับดวงใจปีศาจต้นไม้และดวงใจศิลา
สำหรับซูเฉิน ตราบเท่าที่ไร้สัตว์อสูรตัวเท่าภูเขาที่ฆ่าเขาได้แล้ว การจัดการสิ่งที่ปกป้องสมบัติอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าใด
“เช่นนั้นยอมไว้ชีวิตข้าให้ข้ารับใช้ท่านแล้วกระมัง ?” ตุ๊กตากระดาษขาวว่าพลางเผยยิ้มสวย แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งภาพมายา แต่ก็ไม่อยากตายเหมือนมนุษย์ทั่วไป
“ถูกต้อง แต่ยังมีปัญหาหนึ่งอยู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าภักดีกับข้าจริง ?”
ตุ๊กตากระดาษขาวเอ่ยเสียงลำบากใจ “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรอก……”
ซูเฉินเอ่ยขัด “ก็ไม่ใช่จะหมายความว่าภักดีนี่ ยามข้าเจอศัตรูตัวฉกาจเจ้าอาจคิดหนีก็ได้ ไม่แน่อาจแทงข้างหลัง เจ้าแสดงความเต็มใจมา หากยังใช้วาจาตลบตะแลงเอาตัวรอดอีก เช่นนั้นข้าจะคิดว่าเจ้าไม่คิดอยากภักดีต่อข้าจริง”
ตุ๊กตากระดาษขาวจึงหดแขนกลับเข้าร่างคล้ายเมฆของตนอย่างจนใจ แล้วดึงเอาเนื้อก้อนหนึ่งในกายออกมา ส่งมันให้ซูเฉิน “นี่คือแก่นพลังชีวิตข้า มีมันแล้วสามารถควบคุมข้าได้ ข้าจะไม่อาจต่อต้านท่านได้อีก”
ซูเฉินเหลือบมองก้อนหมอกในมืออีกฝ่าย จากนั้นมองหน้าตุ๊กตากระดาษขาว แล้วส่ายหัวเอ่ยคำ “เท่านี้ไม่พอ ข้าเอาเองดีกว่า”
พูดจบ เขาก็วาดมือ ดึงเอาก้อนหมอกอีกก้อนออกจากร่างมัน
ตุ๊กตากระดาษขาวกรีดเสียงเจ็บปวดราวกับวิญญาณถูกฉีกกระชาก เกือบสิ้นสติไปทันใด
มันสั่นสะท้านแล้วร้องออกมาอย่างขมขื่น “นายท่าน……”
“ดูสิ คราวนี้เจ้าฟังดูจริงใจขึ้นหน่อยแล้ว” ซูเฉินกลั่นกลุ่มเมฆในมือแล้วเก็บมันไป “ทีนี้นำทางข้าไปได้แล้ว จำไว้ เลือกทางที่สมเหตุสมผลที่สุด ข้าไม่อยากเสียเวลา”
“ย่อมได้” ตุ๊กตากระดาษขาวตอบพลางกัดฟันทนความเจ็บปวด
“จะว่าไป ชื่อเจ้าเล่า ?”
“นายท่าน ข้ามีนามว่าเงามรณะ” ตุ๊กตากระดาษขาวตอบ
“เงามรณะหรือ ? ข้าจะจำไว้ ไปเถอะ” ซูเฉินเอ่ยเสียงคร้าน
มีตุ๊กตากระดาษขาวนำทางแล้ว ประสิทธิภาพในการเดินทางของซูเฉินก็เพิ่มสูงขึ้นมาก ในเมื่อเขาสามารถใช้เรือเหาะจันทราเงินบินไปด้วยความรวดเร็ว ภายในวันเดียวเขาแวะไป 6 ที่ ต่อสู้ 6 ครั้ง ได้สมบัติล้ำค่ามา 6 ชิ้น ในหกชิ้นนี้ มีสามชิ้นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นของหายากโดยแท้
ไม่ว่าชิ้นใด หากไปปรากฎบนแดนมนุษย์ต้องเกิดเรื่องใหญ่ไม่น้อยแน่ ทว่าตอนนี้ซูเฉินกับกำลังตามเก็บมันราวเดินเด็ดดอกไม้เล่น
หากเขาเอาชนะสิ่งที่ปกป้องมันมาได้ เขาก็ไม่ปล่อยให้ของสักชิ้นหลุดมือ
แม้จะเผชิญกับสิ่งที่เอาชนะไม่ได้ก็ช่าง หากพลังไม่ต่างชั้นกันเกินไป เขาจะทำเป็นถอยเพื่อดึงความสนใจศัตรู แล้วใช้ตุ๊กตากระดาษขาวไปชิงเอาของมา
ซึ่งก็มีบางตัวที่ไม่ตกหลุมพราง แต่ก็ช่างอีกเหมือนกัน เพราะเขาก็จะยอมแพ้ไปโดยปริยาย
มีสมบัติแปลกประหลาดในแดนสัตว์อสูรอยู่มากมาย หากที่หนึ่งไม่ได้ ก็ไปอีกที่ก็สิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับที่ใดที่หนึ่งมากมาย ตอนนี้เป็นเวลาทอง ใช้เวลาต่อสู้นานนับว่าโง่เขลา เพราะแค่กับของที่ได้มาง่ายดายก็เก็บกันไม่ไหวแล้ว
และเพราะชิงของด้วยความคิดเช่นนี้ การเดินทางของซูเฉินจึงไม่ยากเย็นสักนิด ไม่พบปัญหาสักครา นั่นก็เพราะตัวใดที่เก่งกล้าเกินด่านสู่พิสดารแท่นบงกชสี่ชั้น เขาก็จะใช้ความเร็วของเรือเหาะจันทราเงินหนีออกมาทันที
เมื่อเดินทางไปด้วยกันแล้ว ตุ๊กตากระดาษขาวจึงเริ่มเข้าใจถึงความแกร่งของซูเฉิน ไม่นำเขาไปบางสถานที่ เลือกแต่ที่ที่ซูเฉินสามารถรับมือศัตรูได้เท่านั้น
ซูเฉินล่องลอยเหนือแดนสัตว์อสูรเช่นนี้ติดต่อกัน 7 วัน ใช้ความเร็วของเรือเหาะจันทราเงินเก็บเกี่ยวเอาทรัพยากรทั่วแดน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
แต่ไม่ว่าจะใช้ชีวิตสบายอารมณ์เช่นไร ไม่นานย่อมต้องพบกำแพงเข้าสักวัน
วันที่แปดในแดนสัตว์อสูร ซูเฉินก็พบกำแพงจนได้
มันมือแมงมุมปีศาจสาว แมงมุมสาวน้อยโชกเลือด
มีครึ่งบนเป็นสาวงาม ครึ่งล่างเป็นแมงมุมยักษ์
มันไม่ได้ปกป้องสมบัติใด เพียงแต่ดันมาหลับอยู่ใกล้กับหญ้าทะเลสวรรค์กอหนึ่งเท่านั้น เมื่อซูเฉินจัดการสัตว์อสูรที่เฝ้าหญ้าอยู่ แมงมุมสาวน้อยจึงตื่นขึ้นเช่นกัน เห็นซูเฉินแล้วนัยน์ตามันก็เป็นประกาย
แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดชอบมนุษย์มาก เพราะพวกมันใช้มนุษย์เป็นคู่ผสมพันธุ์
ดังนั้น มันจึงล่ามนุษย์มา ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อผสมพันธุ์ต่างหาก
แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดเป็นอสูรกายระดับสูง หมายความว่ากำลังสูงกว่าด่านสู่พิสดารแท่นบงกชสี่ชั้น กระทั่งซูเฉินยังไม่กล้าสู้มันตรง ๆ จึงได้แต่วิ่งหนีมันที่ไล่ตามไม่หยุดเท่านั้น
แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดไม่เร็วมาก แต่ไล่ล่าเหยื่อได้เป็นอย่างดี มันต้องตาเหยื่อใดแล้ว เหยื่อยจะหนีมันได้ยากนัก เว้นเสียแต่ว่าหนีได้ไกลจากมันหลายพันลี้
ซูเฉินยังอยากเก็บทรัพยากรอีกสักหน่อย ดังนั้นจะให้หนีไกลเช่นนั้นคงไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยให้มันไล่เขาไปทั่วแทน
สุดท้ายซูเฉินจึงไม่อาจเก็บทรัพยากรได้อย่างสงบ ส่วนมากยามต่อสู้ศัตรู แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดก็พลันปรากฏแล้วเริ่มไล่ล่าเขาอีก ขาทั้งแปดมันยุ่บยั่บไปตามพื้น ส่งเสียงหัวเราะเสียงดังแล้วร้องขึ้นว่า “พี่ชาย มาเล่นด้วยกันหน่อยสิ” น้ำเสียงมันทำซูเฉินขนลุกซู่ เขาจึงได้แต่ใช้เรือเหาะจันทราเงินเพื่อหนีออกมา
เช่นนั้นแล้ว ประสิทธิภาพในการเก็บทรัพยากรของเขาจึงลดลงมาก