ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 166 ทวารไร้บุหงา (1)
บทที่ 166 ทวารไร้บุหงา (1)
การจะติดตั้งกับดักและลอบโจมตีใครสักคนให้สำเร็จได้นั้นจำต้องใช้ทักษะฝีมือมากพอตัว
คนส่วนใหญ่ล้วนมีวิชาที่ช่วยเพิ่มประสาทสัมผัสของพวกเขาเองเพื่อป้องกันอันตรายที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ
ในทางกลับกัน มันก็ได้ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างอาวุธประเภทต่าง ๆ ทักษะวิชาที่มีความสามารถในการตรวจจับ ปกปิด หลบซ่อนและหลีกหนีทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้ จึงมีวิธีซุ่มโจมตีพร้อมทั้งวิธีการตรวจจับการซุ่มโจมตีล่วงหน้าเกิดขึ้นมากมาย อาทิเช่น วิชาปลอมแปลงที่น่าประทับใจยิ่งของเฮ่อซื่อ ที่ถูกตาเหยี่ยวของซาเค่อมองออก
ไม่เคยมีทักษะวิชาใดบนโลกนี้ที่แข็งแกร่งอยู่ยงคงกระพัน จะมีก็เพียงแต่ทักษะวิชาที่ยืดหยุนเหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกับคนทั่วไปหรือผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
ฉือหมิงเฟิงพยายามคาดเดาว่าหากเป็นซูเฉินจะซุ่มโจมตีอย่างไร เขาได้คำนวณความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงกับสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาเลยสักนิด
สิ่งที่ซูเฉินบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ยังคงดังอยู่ในหูของเขาอย่างชัดเจน
“ถึงแม้จะไม่มีเมฆปีศาจราตรีอยู่ในป่าทมิฬ แต่มันก็ยังมีของล้ำค่าอยู่ที่นั่นที่รู้จักกันในชื่อบึงหมอกศิลา ข้าว่าท่านเองก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง ? มันคือแก่นปฐพีที่ไร้ประโยชน์มาก แม้ว่าพลังของมันจะแข็งแกร่งยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถนำไปสกัดเพื่อใช้สร้างสมบัติหรือเครื่องมือใด ๆ ได้ เพราะพลังงานที่บรรจุอยู่ภายในนั้นสกปรกเกินไป สมบัติส่วนใหญ่ที่ควบรวมกับมันมักจะถูกทำลายสิ้น ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรัพยากรที่มีพลังงานอยู่สูงมาก จึงต้องใช้วิธีการพิเศษเพื่อดึงเอาศักยภาพของมันออกมา กล่าวคือ มันจะสามารถใช้งานได้ในจุดที่มันเกิดขึ้นมา และมีเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้ที่ชำนาญในการคุมพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำกับดินเท่านั้น ที่จะสามารถคุมมันได้ … ”
เหตุบังเอิญ ? หรือโชค ? ฉือหมิงเฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในการคุมพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำกับดินคนหนึ่ง และด้วยบึงหมอกศิลา ความแข็งแกร่งของเขาเลยเพิ่มขึ้นอย่างมาก !!
สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันถึงพลังที่เพิ่มขึ้นได้ชัดเจนที่สุด คือความแข็งแกร่งมหาศาลของเจ้ายักษ์โคลนขนาดมหึมาตัวตรงหน้านี้
พลังงานมากมายในร่างกายที่ใหญ่โตก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง หมัดอันทรงพลังกระแทกออกกวาดล้างนักรบคนเถื่อนผู้โชคร้ายที่อยู่ในแนวการโจมตี
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ครู่ต่อมา ยักษ์โคลนอีกสองตัวปรากฏขึ้นมาเพิ่มอีก
โดยปกติแล้วการสร้างยักษ์โคลนมหึมาเพียงตัวเดียว ก็ทำให้ฉือหมิงเฟิงลำบากมากพอแล้ว แต่ด้วยการสนับสนุนบึงหมอกศิลาเขากลับสามารถสร้างพวกมันขึ้นมาถึง 3 ตนในครั้งเดียวได้ ทั้งยังแข็งแกร่งมากกว่าปกติไปมากโข ทำเอาแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังตกตะลึง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือเรื่องที่ซูเฉินสามารถควบคุมสถานการณ์ได้มากถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มมองอาซือถิงออกได้อย่างไร ?
แล้วอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าเขากับอาซือถิงไม่ได้สมคบคิดกัน ?
ซูเฉินได้กำหนดจุดนัดพบเป็นที่นี่ ในทันทีที่เขาพบว่าอาซือถิงมีบางอย่างผิดปกติ หมายความว่าเขาสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ และวางแผนขึ้นใหม่ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
เขาทำได้อย่างไร ?
กระบวนการคิดที่ละเอียดและรอบคอบยิ่งของคนคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ คือการที่คนคนนั้นสามารถวิเคราะห์ ประมวลผล และเข้าใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ!
ทำไมอาซือถิงถึงได้ถูกหลอก ? เพราะเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าการตัดสินใจชั่วคราวที่ดูเหมือนรีบร้อนของซูเฉิน จะเป็นแผนที่รัดกุมไปถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า
นั่นเป็นเรื่องเกินคาดมากเกินไป
ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่ได้ทรยศซูเฉิน มิฉะนั้น…
มิฉะนั้น… จะเกิดอะไรขึ้น ?
ฉือหมิงเฟิงไม่รู้
แต่เขารู้ว่าไม่มีทางที่ซูเฉินจะไม่มีแผนสำรอง
เห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่าย ไม่ได้บอกเขาถึงการมีอยู่ของบึงหมอกศิลานี้ จนกระทั่งหลังจากที่เขาได้ทดสอบฉือหมิงเฟิงด้วยการต่อสู้กับอาซือถิง แล้วได้ยืนยันว่าฉือหมิงเฟิงไม่ได้ทรยศมาตลบหลังเขา ชายหนุ่มถึงได้บอกเรื่องบึงหมอกศิลานี้กับวิธีการใช้งานมัน
ทุกการกระทำล้วนมีความหมาย
ฉือหมิงเฟิงคิดกับตัวเอง
จนถึงตอนนี้ซูเฉินยังคงซ่อนตัวจากเผ่าคนเถื่อนอยู่ในเงามืด ฉือหมิงเฟิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าในฐานะผู้ที่พาศัตรูมาหา เขารู้ว่าคำขอโทษที่ดีที่สุดคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี
ตู้ม ตู้ม ตู้ม !
หมัดหินขนาดใหญ่ 3 คู่อัดกระแทกลงบนพื้น คลื่นระเบิดพลังงานขนาดใหญ่กวาดกระจายออกไป ก่อนจะทิ้งหลุมขนาดมหึมาเอาไว้เบื้องหลัง
“ตาย !” ปาเหยียนตะโกนขึ้นขณะที่เหวี่ยงขวานของตนอย่างบ้าคลั่ง
กระแสลมหวีดหวิวพุ่งออกจากขวานไปในอากาศทุกครั้งที่เขาแกว่งขวาน ด้วยความตั้งใจที่จะกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เสียงดังกระหึ่มราวฟ้าร้องก้องไปทั่วทันทีที่ขวานปะทะหมัด แขนของยักษ์โคลนขาดเป็นส่วน ๆ และตกลงไปในบึง ปาเหยียนลงมือต่ออย่างกระฉับกระเฉง ขวานบินของเขาเปล่งแสงสว่างไสวกว่าเดิม ประกายเจิดจ้าทะยานสู่ท้องฟ้า
“เปิด !”
เสียงคำรามอันดุร้ายดังขึ้น จากนั้นยักษ์โคลนตัวหนึ่งก็แตกกระจายร่วงกลับลงไปในบึงภายใต้การโจมตีอันทรงพลังของปาเหยียน
ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้ !
แม้แต่ฉือหมิงเฟิงก็ต้องยอมรับ ว่าหากเป็นการสู้กันในสถานการณ์ปกติ โอกาสในการเอาชนะผู้บัญชาการคนเถื่อนนี้ มีเพียง 5 ใน 10 ส่วนเท่านั้น
ถึงตอนนี้เขาจะสามารถเอาชนะปาเหยียนได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือจากบึงหมอกศิลา แต่อีกฝ่ายก็มีลูกน้องอยู่อีกถึง 500 คน และยังมีอีกคน 2 อ่อนแอกว่าปาเหยียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง 3 คนและนักรบ 500 คน ช่องว่างด้านความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่บึงหมอกศิลาจะทดแทนได้
โชคดี ที่มันยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ซูเฉินเตรียมทิ้งเอาไว้ให้เขา
“เหตุผลที่บึงหมอกศิลามีอยู่ ก็เพื่อปกปิดสิ่งน่ากลัวยิ่งกว่าที่ซ่อนอยู่ข้างใต้” ฉือหมิงเฟิงถอนหายใจ
บึงศิลานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ซูเฉินก็ไม่เคยคิดที่จะเอาชนะคนเถื่อนโดยอาศัยแค่มันเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีศัตรูมาซุ่มโจมตีอยู่จำนวนมากเท่าใด จนกระทั่งเขาได้เห็นกลุ่มของปาเหยียนด้วยตาของเขาเอง !
ในแผนของเขา ซูเฉินได้เตรียมการเผื่อเอาไว้รับมือกับคนเถื่อนนับพันนับหมื่น
แล้วของที่เขาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าจะมีแค่นี้ได้อย่างไร ?
ที่ฉือหมิงเฟิงลงมือไปเป้าหมายหลักของมัน ไม่ใช่การใช้บึงหมอกศิลาเพื่อโจมตีศัตรูแต่เพื่อกระตุ้นบึงหมอกศิลา ด้วยมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะปลุกสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวด้านใต้ขึ้นมาได้ !!
ระหว่างการต่อสู้ โคลนสีดำก็ได้ทะลักออกมามากขึ้น ราวกับว่ามันไม่ที่สิ้นสุด
และหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าโคลนสีดำในบึงนั้นได้เริ่มม้วนตัวเป็นเกลียว และค่อย ๆ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขึ้น
ไม่ มันไม่ใช่กระแสน้ำวน แต่ดูเหมือนจะเป็นประตูทางเข้า !
ประตูประหลาดและน่ากลัวค่อย ๆ เปิดอ้าออกอย่างเงียบเชียบ
“ฆ่า !” นักรบคนเถื่อนยังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างฮึกเหิม โดยไม่ทราบถึงความผิดปกติที่ก้นของกระแสน้ำวนในบึงเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงเกาซือเค่อเท่านั้นที่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
เขามองดูกระแสน้ำวนด้วยดวงตาที่เบิกตากว้างที่และตะโกนขึ้นทันที “ปาเหยียน !”
“อะไรของเจ้าอีก ?” ปาเหยียนคำรามอย่างเหลืออด ขวานบินของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าในขณะที่เขาทุบยักษ์โคลนไปอีกตัว แม้ว่าในพริบตาต่อมายักษ์โคลนขนาดมหึมาจะปรากฏตัวกลับขึ้นอีกครั้งก็ตาม
ทว่าความเร็วในการทำลายล้างนั้นสูงกว่าความเร็วของในการสร้างเสมอ หน้าผากของฉือหมิงเฟิงที่เต็มไปด้วยเหงื่อบ่งบอกถึงความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
“ดูนั่น !” เกาซือเค่อตะโกนขณะที่ชี้ไปทางกระแสน้ำวนที่ก่อตัวขึ้นในบึง
ปาเหยียนมองตามนิ้วของอีกฝ่ายและพบกับกระแสน้ำวน เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วถามว่า “นั่นอะไร ?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าอยากรู้ สัมผัสถึงมันเร็ว หวังว่าคราวนี้เจ้าก็จะบอกข้าว่ามันไม่เป็นอันตรายต่อเรานะ” เกาซือเค่อตอบ
จากนั้นเขาก็เห็นว่าการแสดงออกของปาเหยียนเปลี่ยนไปในทันที
นักรบคนเถื่อนผู้กล้าหาญที่ไร้ซึ่งความกลัว ผู้ไม่รู้จักถึงความหมายของความตายที่มักจะพุ่งไปข้างหน้าเสมอ ยามนี้กลับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวอย่างถึงที่สุด
เขาตะโกนร้องโหยหวน “ทวารไร้บุหงา ! มันคือทวารไร้บุหงา ! รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า !!!”