ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 167 ทวารไร้บุหงา (2)
บทที่ 167 ทวารไร้บุหงา (2)
ทวารไร้บุหงา… ‘ประตู’ ที่นำไปสู่ดินแดนที่โหดร้ายและมืดมิด มันเป็นตัวแทนของความลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก
ไม่มีใครรู้ว่าทวารไร้บุหงามาปรากฏอยู่ใต้บึงนี้ได้อย่างไร สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้คือทันทีที่ประตูเปิดออก ความชั่วร้ายด้านในนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมา
กระแสน้ำวนเริ่มปั่นป่วน ทางเข้ามืดค่อย ๆ ขยายตัวมากขึ้น ความหนาวเย็น ความมืดมิด และกลิ่นอายที่ชั่วร้ายแพร่กระจายออกมาจากใจกลางกระแสน้ำวนทีละน้อย
พลังงานมืดนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย ทันทีที่มันเข้าล้อมรอบนักรบคนเถื่อนบางส่วนที่อยู่แนวหน้า นักรบผู้ทรงพลังและไม่หวั่นเกรงสิ่งใดเหล่านั้นกลับพากันกรีดร้อง ก่อนจะถูกกระแสน้ำวนมืดสนิทดูดเข้าไป
การขยายตัวของพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ไม่ได้มีวี่แววว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย มันยังคงแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ สิ่งที่สัมผัสโดนล้วนถูกดึงเข้าไปในกระแสน้ำวน
นี่คือเหตุผลที่ฉือหมิงเฟิงเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้นบนต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไป ทั้งหมดก็เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้มาแต่ต้นแล้ว
“ออกไป ! ออกไปจากที่นี่ !” ปาเหยียนร้องตะโกนลั่นอย่างไร้ซึ่งมาดของนักรบโดยสิ้นเชิง แม้แต่นักรบผู้กล้าหาญก็ไม่ปรารถนาที่จะท้าทายตัวตนที่พวกเขาไม่มีทางเอาชนะได้
“เจ้าจะไม่ได้หนีไปไหนทั้งนั้น” ฉือหมิงเฟิงถอนหายใจ
กำแพงหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นล้อมเหล่านักรบคนเถื่อนเอาไว้ทุกทิศทางในทันทีที่เขาโบกมือ กำแพงหินเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงกำแพงหินธรรมดา พวกมันปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังทำให้ภายในขอบเขตของกำแพงนี้แทบจะกลายเป็นพื้นที่จำกัดการบิน
ระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ฉือหมิงเฟิงได้แอบทำภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของเขาอย่างลับ ๆ นั่นคือการสร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่มีทวารไร้บุหงาเป็นศูนย์กลางเพื่อกักขังนักรบคนเถื่อนทั้งหมดเอาไว้
ในเวลาเดียวกันกับที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งาน คลื่นแห่งความมืดขนาดใหญ่ก็ยังคงขยายตัวไม่หยุด ก่อนจะปกคลุมบึงทั้งหมดไว้ในความมืดมิด
“อ้าก !”
นักรบคนเถื่อนกรีดร้องและถูกลากเข้าไปในกระแสน้ำวนแห่งความมืดอย่างต่อเนื่อง
ปาเหยียนยันพุ่งไปข้างหน้าอย่างโกรธจัด และเริ่มใช้ขวานทุบกำแพงอย่างบ้าคลั่ง “เปิดทางให้ข้า !”
กำแพงหินที่ควบแน่นไปด้วยหินของบึงหมอกศิลานั้นแข็งแกร่งมาก แทบพอ ๆ กันกับกำแพงของปราการลุ่มน้ำทอง แต่พลังของปาเหยียนก็น่ากลัวไม่แพ้กัน ภายใต้การโจมตีอันรุนแรงจากขวานของเขา กำแพงหินก็เริ่มมีแตกร้าว เศษหินกระจัดกระจายตกลงสู่พื้น
หนวดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ใจกลางกระแสน้ำวนอันมืดมิด พวกมันก่อตัวเป็นตาข่ายหนาพุ่งฝ่าอากาศตรงไปคว้าจับปาเหยียน
เขาตะโกนร้องเสียงดังและหันขวานกลับไปฟันหนวดเหล่านั้น ทว่าขวานในมือของเขาไม่สามารถทำอะไรหนวดได้เลย พวกมันเลื้อยพันไปตามตัวขวานเรื่อย ๆ
ขณะที่พวกมันกำลังจะเข้าไปพันรอบตัวปาเหยียน เกาซือเค่อก็พุ่งเข้ามาและผลักเขาออกไป
หนวดพันรอบเกาซือเค่อและมัดเขาไว้แน่น
“นายน้อย… ” เกาซือเค่อเอื้อมมือออกไปขณะที่เขากระอักเลือดออกมา ราวกับว่าเขาต้องการให้ปาเหยียนยื่นมือมาดึงเขาออกไป
แต่ปาเหยียนกลับก้าวถอยหลังกลับ
ครืด !
หนวดสีดำสนิทฉุดลากและดึงเกาซือเค่อเข้าไปในกระแสน้ำวน
“เจ้ารับใช้นายของเจ้าได้อย่างซื่อสัตย์ยิ่ง” ปาเหยียนพึมพำ ก่อนจะยกขวานขึ้นอีกครั้งและทลายกำแพงต่อไป
เปรี้ยง !
ในที่สุดกำแพงก็พังลง ความพยายามของเขาได้ทิ้ง ‘รู’ ขนาดใหญ่เอาไว้ที่กลางกำแพง
ปาเหยียนรู้สึกดีใจอย่างมาก ทว่าขณะที่เขากำลังจะเดินผ่ารูออกไป ทันใดนั้นเขากลับหยุดนิ่งลงอย่างฉับพลัน !!
“เร็วเข้า ไปกันเถอะ !” หนึ่งในนักรบคนเถื่อนที่อยู่ใกล้เคียงตะโกนเสียงดัง
ทว่าจู่ ๆ ปาเหยียนก็บินขึ้นไปบนฟ้า
บินตรงกลับไปที่จุดศูนย์กลางของกำแพง
ปาเหยียนผู้ที่พยายามจะหลบหนีออกจากที่นี่อย่างสิ้นหวัง ตอนนี้กลับบินสวนไปในทิศทางตรงกันข้าม มุ่งตรงเข้าหากระแสน้ำวนอันมืดมิด
“ไม่… ! ” ปาเหยียนกรีดร้องเสียงดัง
ราวกับตอบสนองต่อเสียงโหยหวนของเขา หนวดสีดำก็พุ่งออกมาจากกระแสน้ำวนอีกครั้ง
หนวดขนาดใหญ่พิเศษแหวกว่ายสะบัดไปมาในอากาศ ประหนึ่งกำลังพยายามจะทะลวงสู่สรวงสวรรค์ ก่อนจะพันตัวรอบปาเหยียนแน่น
ปาเหยียนพยายามดิ้นรนหลบหนีอย่างหวาดกลัว “ปล่อยข้า !”
แต่ความแข็งแกร่งและความกล้าหาญที่หาตัวจับยากของเขา ไร้ซึ่งประโยชน์หรือความหมายใด ๆ ต่อหน้าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวนี้
ครู่ต่อมา หนวดทั้งหลายก็เริ่มถอยกลับเข้าไปในทวารไร้บุหงา
ปาเหยียนที่ร้องโหยหวนก็ถูกลากเข้าไปในกระแสน้ำวนแห่งความมืดและหายตัวไปเช่นกันกับนักรบคนอื่น
เมื่อไม่มีปาเหยียนแล้ว นักรบคนเถื่อนที่เหลือก็เริ่มแตกหมู่ หนวดมากมายโบกสะบัดไปทั่ว ในไม่ช้าคนทั้งหมดก็ถูกฉุดดึงลงไปในน้ำวน
การต่อสู้สิ้นสุดลง และหนองน้ำก็กลับสู่สภาพที่สงบสุขดั่งเช่นวันวาน
“หึ ในที่สุดก็จบลงเสียที” ฉือหมิงเฟิงถอนหายใจอีกครั้ง
บัดซบ ! เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าพวกมันมาสร้างปัญหาให้ซูเฉิน แล้วเหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นทัพหลักที่ต้องออกมาสู้กัน ?
แล้วเหตุใดสู้กันมาจนขนาดนี้แล้วซูเฉินถึงยังไม่ปรากฏตัวอีก ? เขาพาเยี่ยเม่ยกับเฮ่อซื่อไปไหน ?
หากอีกฝ่ายจะกล่าวว่าขี้เกียจเลยไม่ต้องการที่จะปรากฏตัว นั่นก็คงจะมากเกินไปหน่อยจริงไหม ?
ขณะที่กำลังบ่นอยู่ในหัวอย่างเงียบ ๆ นั้น เขาก็ได้ยินเสียงคนปรบมือดังขึ้น
ฉือหมิงเฟิงชะงัก
เสียงปรบมือดังมาจากทางรูที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของปาเหยียน
เสียงที่มั่นใจและเด็ดเดี่ยวดังขึ้นตามเสียงปรบมือมา “ทำได้ดีมาก จะอย่างไรซูเฉินก็ยังคงเป็นซูเฉิน ข้ารู้ว่ามันคงไม่ง่ายที่จะเอาชนะมัน”
“นั่นใคร ?” การแสดงออกของฉือหมิงเฟิงเปลี่ยนไปทันใด
“ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าใคร ช่วยทำลายกำแพงนี้ลงก่อนได้หรือไม่ ?”
ฉือหมิงเฟิงพ่นลมหายใจ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทำลายกำแพงของตนเพียงเพราะอีกฝ่ายบอกให้ทำอยู่แล้ว
คนที่อยู่นอกกำแพงถอนหายใจ “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำลายมันลง เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงช่วยทำแทน ลงมือ !”
ทันทีที่คำพูดจบลง เสียงคำรามก็ดังขึ้นจากรอบกำแพง
ทันใดนั้นของหนักจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระแทกเข้ากับผนังที่แข็งแรง ก่อนที่กำแพงจะเริ่มแตกและพังทลายลง เสียงถล่มดังสะท้อนก้องทั่วใจฉือหมิงเฟิง
กำแพงที่ก่อตัวขึ้นจากหินของบึงหมอกศิลาไม่สามารถทนต่อการโจมตีอันรุนแรงนี้และพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อควันและฝุ่นจางลง ฉือหมิงเฟิงก็พบกับกองทัพตนเถื่อนที่ไร้จุดสิ้นสุดยืนอยู่ด้านนอกกำแพง
พวกเขามีขวานต่อสู้อยู่ในมือและมีรอยยิ้มที่น่าเกลียดอยู่บนใบหน้า
ที่แนวหน้าของกองทัพมีนักรบยืนอยู่เพียงไม่กี่คน พวกเขายืนอยู่รอบ ๆ ผู้บัญชาการที่อยู่ตรงกลาง อีกฝ่ายไม่ใช่คนแก่ เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่เฉพาะผู้มีสถานะสูงสุดเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่มัน
“ตานปา ?” ฉือหมิงเฟิงรับรู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที
คนเดียวที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ได้ คนที่สามารถหลอกล่อมนุษย์และบังคับให้กองทัพกำลังสวรรค์วิ่งหนีไปทั่วอย่างไม่มีทางเลือก ….ว่าที่ผู้นำของชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ตานปา !!
ตานปายิ้มเล็กน้อย “ถูกต้อง ข้าคือตานปา”
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ?” ฉือหมิงเฟิงตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเริ่มเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ “เจ้าได้ติดตามกองทหารนี้มาตลอด ? เจ้าใช้คนของตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ?”
ในสงครามกับเผ่าคนเถื่อน เรื่องแบบนี้แทบจะไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อนเลย
สำหรับเผ่าคนเถื่อนที่ชื่นชอบทำสงคราม กลวิธีแบบนี้ไม่ได้ถูกมองว่าฉลาดหรือดูมีไหวพริบ แต่มันถูกมองว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง หากแม่ทัพเผ่าคนเถื่อนคนใดกล้าทำเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาจะได้กลับไปมีเพียงความไม่พอใจและความเกลียดชังจากผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น
ทว่าตานปากลับทำเช่นนั้น และดูเหมือนว่าคนของเขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้บ่งบอกอะไรได้อยู่เรื่องสองเรื่อง นั่นคือหากไม่ใช่เพราะสถานะของตานปาในกองทัพนั้นสูงมาก จนผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเต็มใจที่จะยอมรับแผนนี้ ก็ต้องเป็นเพราะกลุ่มที่ถูกใช้เป็นเหยื่อนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับพวกเขามากนัก
ฉือหมิงเฟิงเชื่อว่ามันมีแนวโน้มสูงว่าอาจจะเป็นไปได้ทั้ง 2 เหตุผล
เขาไม่รู้จักตัวตนของปาเหยียน หากฉือหมิงเฟิงรู้ เขาก็คงจะไม่สงสัยอะไรมากมายเช่นนี้
ส่วนตานปาเอง อีกฝ่ายก็ได้กล่าวต่อไปอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้ใช้คนของข้าเป็นเหยื่อล่อ ปาเหยียนเป็นฝ่ายดื้อรั้นและเพิกเฉยต่อคำสั่งของข้าแล้วเคลื่อนไหวเอาเอง ข้านำกองทัพขนาดใหญ่เพื่อมาช่วยแต่น่าเสียดายที่พวกข้ามาช้าเกินไป ทำให้นายน้อยปาเหยียนถูกเจ้ากับซูเฉินสังหาร ข้าไม่สามารถช่วยไว้ได้ทันเวลา นี่เป็นความผิดพลาดของข้า ดังนั้นข้าจะชดใช้ด้วยการฆ่าเจ้าและเอาหัวไปมอบให้ท่านหัวหน้าเผ่าเพื่อเป็นการขอขมา”
“นายน้อย ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดฉือหมิงเฟิงก็เข้าใจสถานการณ์บางส่วน
ตานปาขี้เกียจเกินกว่าจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายต่อแล้ว เขาจึงพูดอย่างใจเย็น “ข้าพูดที่ควรพูดไปหมดแล้ว ซูเฉิน เจ้ายังไม่คิดที่จะออกมาอีกหรือ ?”
“ข้าก็อยู่ที่นี่มาตลอด” เสียงของซูเฉินล่องลอยมาตามสายลม
ตานปาเหลือบมองไปทางต้นเสียง และพบว่าซูเฉินยืนอยู่บนต้นไม้เก่าแก่อีกต้นที่อยู่ห่างออกไปโดยมีเยี่ยเม่ยกับเฮ่อซื่อยืนอยู่ข้างเขา
ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย