ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 171 เรียกหาภัย (1)
บทที่ 171 เรียกหาภัย (1)
หลังจากเดินผ่านทุ่งหญ้ากว้างแล้ว คนทั้งหมดก็มาถึงที่วัง
อสูรกายระดับกลางสองตัวยืนเฝ้าประตูอยู่
ฉือหมิงเฟิงรู้สึกเสียววาบเมื่อได้เห็นแค่อสูรกายระดับกลางที่มีหน้าที่เฝ้าประตู
แต่กระนั้น เมื่อยิงศรออกไปแล้ว ก็ถือว่ายิงออกไปแล้ว มาจนถึงตอนนี้ ฉือหมิงเฟิงได้แต่ติดตามซูเฉินไปเงียบ ๆ
ซูเฉินไม่สนพิธีการ พูดคุยกับทหารเฝ้าประตูโดยไม่ทักทาย “ข้ามาด้วยคำสั่งของฝ่าบาท เอาของที่ได้จากสงครามมาส่ง”
พูดจบก็เปิดแหวนพลังให้ดู ทรัพยากรทั้งหลายค่อย ๆ ลอยออกมา
ทรัพยากรเหล่านี้คือสิ่งที่กองทัพกำลังสวรรค์ได้มาจากเผ่าคนเถื่อน ซูเฉินเอาเสบียงมามากมาย กองทัพกำลังสวรรค์จึงเอาทรัพยากรมาแลก การค้าที่อารามนิรันดร์หมายจะทำการตกลง ซูเฉินคนเดียวได้จัดการไปหมดแล้ว
หากแต่ว่าตอนนี้ เขากลับเอาทรัพยากรที่ได้มาทั้งหมดออกมา
หากอยากเป็นฝ่ายรับก็ต้องรู้จักเป็นฝ่ายให้ก่อน
ถึงตอนนี้ ซูเฉินกำลังใช้เหยื่อชิ้นใหญ่เพื่อจับปลาตัวใหญ่กว่า
เมื่อเห็นทรัพยากรมากมายกองพะเนิน กระทั่งอสูรกายทั้งสองที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ยังรู้สึกตาลาย ไม่รู้สึกสงสัยสักนิด “รอประเดี๋ยว ให้ข้าเข้าไปแจ้งเจ้านายก่อน”
ไม่นาน ตัวนิ่มชราตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น กำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
ทั่วร่างมีเกล็ดทอง ยืนสองขาก้าวเดิน เมื่อเข้ามาใกล้กลุ่มซูเฉิน มันก็มองซูเฉินหัวจรดเท้า “เจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาหรือ ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ?”
ซูเฉินตอบ “รายงานผู้บัญชาการเกราะ ข้ามีชื่อว่าเลี่ยเหยี่ยน ฝ่าบาทเพิ่งลื่นยศข้าให้ไม่นานมานี้ จึงไม่แปลกที่ท่านจะไม่เคยเห็นข้ามาก่อน”
ตัวนิ่มเฒ่าจ้องซูเฉินเขม็ง “ฝ่าบาทส่งปีศาจใหม่มาหรือ ? เลี่ยหวังล่ะ ? เฮยเหยียน ? แล้วก็หงหมัว ? ทำไมถึงไม่มา ? เจ้าเป็นแค่อสูรกายระดับกลาง แต่ฝ่าบาทกลับเลื่อนขั้นให้เจ้าเองเลยงั้นหรือ ?”
ทุกคำที่อีกฝ่ายกล่าว ทำเอาใจฉือหมิงเฟิงเต้นระรัว
ตัวนิ่มชราดูเหมือนเรียบง่าย แต่ก็เป็นเจ้าอสูรกายของแท้ ตวัดกรงเล็บคราหนึ่งปลิดชีพพวกเขาได้หมด แม้จะไม่เก่งกาจในวิชาลวงตา แต่มีสติปัญญาเฉียบแหลม ทำให้ลวงได้ยาก ปัญหาใหญ่ที่ซูเฉินมีนั่นคือพวกเขาปลอมเป็นอสูรกายไร้นามกันทั้งกลุ่ม ตัวนิ่มเฒ่าไม่คิดสงสัยว่าจะมีมนุษย์แอบเข้ามา แต่ก็มีสัญชาตญาณระวังภัยต่ออสูรกายที่ตนไม่รู้จัก
ซูเฉินตอบ “ไม่แปลกที่ผู้บัญชาการจะสงสัยพวกข้า แต่ท่านก็รู้ว่ายามรบนั้นสร้างความดีความชอบได้ง่าย เมื่อหลายวันก่อน ข้าน้อยสังหารผู้นำเผ่าคนเถื่อนบนสนามรบมา แล้วพบเชลยเผ่าวิญญาณเข้า ข้าจึงนำมามอบให้ฝ่าบาท นับว่าได้ทำผลประโยชน์มากหลาย ฝ่าบาทจึงเลื่อนยศให้ข้า”
“อ้อ ? เชลยเผ่าวิญญาณ ? ทำไมพวกคนเถื่อนถึงมีเชลยเผ่าวิญญาณได้ ?” ตัวนิ่มเฒ่าเริ่มสนใจ
ซูเฉินจึงอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองแสงเหนือ
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แต่แทนที่จะเป็นเผ่ามนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นเผ่าสัตว์อสูรแทน และเพราะเมืองแสงเหนือตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก เป็นส่วนหนึ่งที่ขบวนสัตว์อสูรเคลื่อนผ่าน คำลวงนี้จึงไร้ข้อกังขา
ตัวนิ่มเฒ่าร้องเสียงตกใจขึ้นเมื่อได้ยินว่าเผ่าคนเถื่อนใช้เชลยเผ่าวิญญาณสร้างผลึกวิญญาณขึ้นมา
ผลึกวิญญาณหาพบได้ยาก เป็นสมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิอสูรกายทั้งหลาย เรื่องราวนี้ฟังดูมีเหตุผลแต่ก็ดูเกินจริง เห็นได้ชัดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบ้างไม่ใช่เรื่องที่สร้างขึ้นโดยสมบูรณ์ ตัวนิ่มเฒ่าดูจะเริ่มคล้อยตามแล้วพยักหน้า “ เป็นเช่นนี้เอง ฝ่าบาทบ่มเพาะวิชาแยกจิต ดังนั้นผลึกวิญญาณจึงล้ำค่าต่อเขามาก ไม่แปลกที่มอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นนี้ให้เจ้า เจ้านี่โชคดีไม่น้อย… โอ้ ทรัพยากรมากมายเหลือเกิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็จะรับไว้”
เมื่อตัวนิ่มเฒ่าเห็นทรัพยากรที่อยู่ในแหวนพลัง ในใจก็ไร้ข้อกังขาอีก คนที่มีจิตคิดร้ายคงไม่อาจมอบของมากมายเช่นนี้ให้ได้
หรือก็คือ คนที่มีจิตคิดร้ายและมีพื้นเพไม่ธรรมดา ยังไม่จำเป็นต้องเสี่ยงที่จะเข้าวังจักรพรรดิอสูรกายด้วยวิธีเช่นนี้
ตัวนิ่มเฒ่าไม่ใช่คนโง่ มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล แต่ก็เพราะเช่นนี้ มันจึงตกหลุมพรางซูเฉินเข้า
“ขอรับ” ซูเฉินส่งแหวนพลังให้ตัวนิ่มเฒ่า จากนั้นเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการ ข้ายังมีทรัพยากรที่ขนมาอีก แต่ใส่ไว้ในแหวนพลังไม่ได้”
“อ้อ ? เป็นสิ่งใดกัน ?”
ซูเฉินหยิบของชิ้นหนึ่งออกมา มันคือขนนกสีดำอมม่วงที่ไหวไปมาอยู่ในของเหลวที่มีลักษณะเหมือนปรอท
ตัวนิ่มเฒ่าเห็นดังนั้นก็ตาแทบถลน “ขนนกแยกนภากับเงินแสงไหลงั้นหรือ ? เกิดอะไรขึ้นกัน ? นี่มันขนของราชันอีกาแยกนภากับสมบัติลับของราชันอสูรกายไร้กระดูกนี่ ?!”
ราชันอีกาแยกนภาเป็นราชันอสูรกายเลื่องชื่อ โดยเฉพาะเรื่องวิชาพลังสูญ วิชาเหล่านี้ทำให้มันไปมาไร้ร่องรอย เคลื่อนที่ผ่านหลุมพลังสูญได้คล่องแคล่ว
ราชันอีกาแยกนภาจะผลัดขนทุกร้อยปี และจะทิ้งขนพลังชีพเส้นหนึ่งไว้ ขนนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้วิชาพลังสูญส่วนหนึ่งของราชันอีกาแยกนภาได้ กล่าวได้ว่าจนนี้เป็นหนึ่งในของล้ำค่าที่สุดที่ราชันอีกาแยกนภามีก็ยังได้
ด้วยเหตุนี้ อสูรกายทั้งหลายจึงอยากได้ขนพลังชีพราชันอีกาแยกนภามาก และเพราะมันเกี่ยวพันถึงพลังของราชันอีกา จึงไม่มีทางที่มันจะยอมมอบให้โดยง่าย ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้เป็นความลับตลอดมา ใจสีเลือดกระหายอยากได้ขนราชันอีกามานาน อีกฝ่ายก็ระวังไม่ให้ใจสีเลือดได้มีโอกาส จึงเกินคาดนักที่ซูเฉินกลับนำมันมาถึงที่นี่ได้
ซูเฉินได้มันมา เป็นเพราะประสบการณ์เก่านั่นเอง
ราชันอีกาถูกเรียกไปร่วมขบวนสัตว์อสูร ดังนั้นเมื่อราชันอีกาตายในสนามรบ ใจสีเลือดก็จะฮุบเอาสมบัติเป็นของตนเอง
หากแต่ราชันอีกาย่อมตระเตรียมไว้อย่างรอบคอบ มันเอาขนติดตัวไปด้วย ซ่อนเอาไว้ในถ้ำเก่า และงอกอีกขนบนร่างแทน ขนทั้งสามนี้เชื่อมถึงกัน แค่คิดก็เคลื่อนย้ายมันผ่านพลังสูญได้ทันที
เกินคาดว่าก่อนที่ใจสีเลือดจะทันลงมือ ซูเฉินก็บุกรังราชันอีกาตามการนำทางของตุ๊กตากระดาษขาว แค่แปลงกายก็เข้าไปได้ แล้วแย่งขนพลังชีพมาอย่างง่ายดาย เสริมพลังวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไปถึง 2 ขั้น ก็สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้โดยไร้ร่องรอย ทั้งยังปิดบังตัวตน หลบเข้าพลังงานสูญได้แล้ว ตานปากับทหารเรือนหมื่นหาเขาไม่เจอก็เพราะวิชาใหม่นี้
เงินแสงไหลให้ผลกลับกัน มันผนึกสิ่งของที่เป็นพลังงานสูญ หากไม่มีเงินแสงไหลนี้ ขนพลังชีพก็อาจลอยกลับไปหาเจ้าของ กลับไปยังร่างหลักของราชันอีกาไปแล้ว
และเพราะเป็นสมบัติเกี่ยวกับพลังสูญ จึงไม่อาจเก็บไว้ในแหวนพลังได้ เพราะหากลองทำ พลังงานสูญในขนนกจะทำให้พลังในแหวนพังทลาย แหวนพลังถูกทำลายทันที
ตัวนิ่มเฒ่าตกตะลึงนักเมื่อเห็นซูเฉินหยิบของออกมา ฝ่าบาทลงมือกับราชันอีกาแล้วหรือ ? และก็ราวกับว่าราชันอสูรกายไร้กระดูกเองก็ไม่รอดพ้นเช่นกัน
ไม่สิ ฝ่าบาทจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ? เผ่าคนเถื่อนคงจะโต้กลับรุนแรงจนราชันอสูรกายทั้งสองโชคร้าย ตายในสนามรบมากกว่า
เขาคิดหาเหตุผลให้เองเสร็จสรรพ ซูเฉินจึงไม่ต้องอธิบายด้วยซ้ำ แต่เมื่อตัวนิ่มเฒ่ายื่นมือมาจะรับของ ซูเฉินก็กล่าวขึ้น “ผู้บัญชาการ โปรดระวังด้วย พลังงานสูญที่อยู่ในขนนกถูกผนึกไว้อยู่ มันอาจจะระเบิดออกตอนไหนก็เป็นได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงใช้เงินแสงไหลผนึกเอาไว้ โดยเงินแสงไหลนี้ก็เสียหายเช่นกัน ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ผู้ที่ขนของไปจะต้องใช้วิชาเพาะเป็นตัวเสริม”
“วิชาบ่มเพาะอะไรกัน ?” ตัวนิ่มเฒ่าถาม เขาไม่คิดสงสัยคำอธิบายเรื่องการผนึกพลังงานสูญด้วยซ้ำ หากราชันอีการู้ตัวว่าถูกใจสีเลือดเล่นเล่ห์ใส่ ก็ไม่แปลกที่คิดจะทำลายขนพลังชีพของตนทิ้ง
ซูเฉินอธิบายเรื่องวิชาบ่มเพาะโดยไม่ปิดบัง วิชาบ่มเพาะนี่ก็ไม่ใช่ของปลอมเช่นกัน เป็นวิชาผนึกพลังสูญที่ซูเฉินสร้างขึ้นมาโดยใช้กฎแห่งบรูค แต่ใช้งานจริงได้ไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นวิชาที่ซับซ้อน ฝึกบ่มเพาะยาก แต่การนำมาใช้ในตอนนี้กลับใช้ได้ดียิ่ง
ตัวนิ่มเฒ่ารู้สึกราวหัวจะระเบิด รู้ว่าในเวลาสั้น ๆ ตนเองไม่อาจเรียนรู้วิชานั้นได้แน่จึงเกิดเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าฝึกวิชาบ่มเพาะได้ไม่รวดเร็วเช่นนั้นแน่ เจ้าเอาของไปใส่ไว้ในห้องเก็บพร้อมกันก็แล้วกัน”
“ขอรับ !” ซูเฉินตอบอย่างเคารพนบน้อม
ฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ เข้าใจในที่สุด ไม่แปลกที่ซูเฉินจะมั่นใจถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะวางแผนและรอเวลามานานแล้ว
พวกเขาต่างรู้สึกสงสารตัวนิ่มเฒ่าเป็นยิ่งนัก
ตาแก่เอ่ย นำภัยเข้าตัวแท้ ๆ เชียว