ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 176 ไล่ตาม
บทที่ 176 ไล่ตาม
เจ้าอสูรกายตายไปเช่นนั้น คนที่เห็นจึงได้แต่นิ่งอึ้งไป
“เจ้า…… ฆ่ามันหรือ ?” กระทั่งเยี่ยเม่ย ที่ไม่ว่าจะซื่อบื้อแค่ไหน แต่ก็รู้ว่าการสังหารเจ้าอสูรกายมีความหมายว่าอะไร
“มันทำตัวเอง” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ ไม่คิดจะเอาความดีความชอบเต็มที่
“กรรร !”
เสียงคำรามโกรธจัดดังขึ้นก้องท้องฟ้า
เป็นตัวนิ่มเฒ่านั่นเอง
มองจากตรงนี้ เห็นเป็นเส้นแสงสีเหลืองพุ่งออกจากวังจักรพรรดิอสูรกาย ตรงเข้ามาหาซูเฉินกับพวก
“มันเจอเราแล้ว !” ฉือหมิงเฟิงอึ้งไป
โชคไม่ดีที่จุดเคลื่อนผ่านพลังสูญอีกฝั่งยังอยู่ใกล้วังจักรพรรดิอสูรกายมากเกินไป
เขาย่อมรู้เหตุผล ยิ่งจุดเคลื่อนย้ายใกล้กัน ก็จะยิ่งทลายเข้าเขตป้องกันของวังจักรพรรดิอสูรกายได้ง่ายขึ้น
แต่ก็กลายเป็นว่าเจ้าอสูรกายไล่ตามมาได้ ห่างกันนิดเดียวเช่นนี้ พวกเขาหนีไม่ทันแน่
ซูเฉินดึงของสิ่งหนึ่งออกมาหน้านิ่ง
เรือเหาะจันทราเงิน
“เรือเคลื่อนเมฆา !” ฉือหมิงเฟิงตาเป็นประกาย ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดซูเฉินจึงมั่นใจเช่นนั้น และทำไมเขา เยี่ยเม่ยและเฮ่อซื่อจึงไม่อาจไล่ตามเขาได้ทันเมื่อก่อนหน้า
ครั้งนี้เขาจำขึ้นใจแล้ว จึงรีบพุ่งไปหมายจะขึ้นเรือเหาะก่อน
หากแต่ซูเฉินก็หยุดเขาไว้ “ค่าเดินทางคือหินพลัง 60 ล้าน”
“นี่มันเรื่องน่าขันอะไรกัน ?” ฉือหมิงเฟิงทั้งอึ้งทั้งโกรธ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ” ซูเฉินจ้องสายตาเย็นยะเยือก
ฉือหมิงเฟิงพลันเข้าใจเมื่อเห็นสายตาอีกฝ่าย
หักหลังใครแล้วจะไม่ชดใช้คงไม่ได้ เฮ่อซื่อชดใช้ด้วยชีวิต ฉือหมิงเฟิงเองก็ต้องชดใช้ที่ไม่ยอมตัดสินใจ รอยแยกพลังสูญเป็นคำเตือน และนี่คือสิ่งที่ฉือหมิงเฟิงต้องชดใช้
“ข้าไม่เอาของที่ตกลงกันก่อนหน้าก็ได้” ฉือหมิงเฟิงว่า
ซูเฉินปล่อยมือแล้วหลีกทางให้ฉือหมิงเฟิงขึ้นเรือเหาะ
ก็แค่สมบัติไม่กี่ชิ้น ซูเฉินไม่สนมากมายอยู่แล้ว
แต่หากมีคนทำผิด อย่างไรก็ต้องถูกลงโทษ
บทลงโทษของฉือหมิงเฟิงถือว่าเบา ไม่เช่นนั้นถึงจะเป็นด่านสู่พิสดาร แต่ซูเฉินก็มั่นใจว่าจะหาทางสังหารได้
ที่ระยะไกล เงาสีเหลืองรูปร่างเป็นตัวนิ่มชรากำลังพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด ทิ้งร่องรอยไว้เป็นทาง เมื่อเข้าใกล้แล้ว มันก็อ้าปาก เกิดเป็นคลื่นพลังรุนแรงพุ่งขึ้นฟ้า
เรือเหาะจันทราเงินเลี้ยวโค้ง หลบการโจมตีแล้วพุ่งไปไกลในพริบตา
“หนีไม่ได้หรอก !” ตัวนิ่มเฒ่าคำราม
คำรามแล้ว พื้นดินพลันสะเทือน ดินใต้ผืนเท้ามันยิ่งสั่นแรง หินขนาดใหญ่ถูกดึงขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไป กระทั่งเขาลูกใกล้ ๆ ยังทลายลงมา กลายเป็นก้อนหินนับไม่ถ้วนที่ถูกโยนสู่ท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของมันอ่อนกว่าการโจมตีเมื่อครั้งเล็กน้อยเพราะไม่อาจถอนเขาทั้งลูกโยนขึ้นไปได้ กระนั้นหินขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่งและรัศมีระเบิดกว้างนับสิบลี้ก็นับว่าน่ากลัวมากแล้ว
พวกหินพากันร่วงจากฟ้าราวกับดาวตก ทั่วฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิง
ซูเฉินผลุบเข้าออก ‘ฝนดาวตก’ อย่างคล่องแคล่ว
“ข้างล่าง ๆ! ระวังด้วย !” เยี่ยเม่ยกับฉือหมิงเฟิงร้องพร้อมกัน
“ไม่ต้องกลัวไป !” ซูเฉินหัวเราะ เรือเหาะจันทราเงินสั่นสะท้านขณะที่มันหักขวา หลบหินสองก้อนไปได้เฉียดฉิว หินทั้งสองเข้าปะทะกัน ทิ้งเสียง ‘ตู้ม’ ไว้เบื้องหลัง
พริบตาต่อมาพวกหินก็มากันอีก ครั้งนี้มาจากด้านหน้า
ซูเฉินคุมเรือเหาะจันทราเงินเหินขึ้นสูง หลบไปได้เช่นกัน
ตู้ม !
หินก้อนหนึ่งบินเข้ากระแทกด้านข้างเรือเหาะจันทราเงิน ทำเอามันหมุนคว้างเสียการควบคุม
“เราจะตกแล้ว !” ทั้งสองร้องลั่น
“อย่ากลัวไป มันไม่ตกง่ายเช่นนั้น”
ตู้ม !
เกิดแสงสว่างจ้า เรือเหาะจันทราเงินเจาะทะลุหินก้อนใหญ่ แต่เกราะของมันหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ซูเฉินรีบโยนหินพลังเข้าไปกำมือหนึ่งทันที
หินมากมายพุ่งเข้าใส่จนซูเฉินรู้สึกราวกับตนเป็นนกกระจอกน้อยท่ามกลางพายุลูกเห็บ หากหลบได้ก็หลบ หากไม่ได้ก็ทนไป
พลังป้องกันของเรือเหาะจันทราเงินเทียบความเร็วไม่ได้เลย ดังนั้นแม้จะมีเกราะ แต่หินที่ปะทะลำเรือก็ยังเริ่มทำให้ตัวเรือเริ่มเสียหาย
ตัวนิ่มเฒ่าไล่ล่าไม่ลดละจากที่พื้น ไม่ใช่ว่าบินไม่ได้ แต่มันวิ่งเร็วกว่าบินก็เท่านั้น เพราะมันควบคุมพลังต้นกำเนิดประเภทดินเพื่อเพิ่มความเร็วได้
ทันใดนั้น ตัวนิ่มชราก็กระทืบเท้าลงพื้นเต็มกำลังแล้วพุ่งขึ้นฟ้ามา
เป็นตอนนั้นเองที่ราวกับฟ้าและดินสลับที่ หินพุ่งขึ้นฟ้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ก่อนจะร่วงลงพื้น.. ท่ามกลางทะเลศิลา เรือเหาะจันทราเงินถูกคลื่นหินเข้าปะทะ แต่ก็ยังไม่ยอมอัปปางโดยง่าย
“มันตามทันแล้ว !” เยี่ยเม่ยตะโกนลั่น
ซูเฉินเหลือบมองด้านหลัง แม้จะพยายามหนีเพียงไหน แต่เจ้านี้ก็เข้าประชิดมาได้แล้ว
“ไล่ตามเก่งจริง” ซูเฉินพึมพำ
เรือเหาะจันทราเงินปรับเส้นทางเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งไปอีกด้านหนึ่ง
เบื้องหน้าคือขุนเขาสูงใหญ่ ตัดเส้นทางต่อเอาไว้
ตัวนิ่มเฒ่าแหงนหน้าแล้วเปล่งเสียงคำรามเกรี้ยว แม้จะเป็นเทือกเขา แต่มันก็จะทำลายให้สิ้น
แต่เทือกเขานี้มีเส้นแร่โลหะอยู่มาก เมื่อหินถูกเซาะออกจึงเห็นเป็นผิวโลหะ เส้นโลหะไม่นำพลังต้นกำเนิด ดังนั้นจึงมีมูลค่าต่ำ แต่ก็หมายความว่าตัวนิ่มเฒ่าจะไม่อาจควบคุมแถบแร่นี้ได้ มันคำรามแล้วก้มหน้าลงแล้วขุดลงดินแทน
สำหรับตัวนิ่มชรา มุดลงดินนั้นเร็วกว่าทะลวงผ่านเขาโลหะนี่เสียอีก
เห็นตัวนิ่มชราขุดลงพื้นไปแล้ว ซูเฉินจึงงึมงำ “โง่นัก !”
เรือเหาะเปลี่ยนทิศไปทางอื่นอีก
ตัวนิ่มชราผุดขึ้นจากพื้นแล้วเงยหน้าขึ้น แต่ไม่เห็นร่องรอยเรือเหาะจันทราเงิน จึงกระอักเลือดออกมาด้วยความตกตะลึง
เลือดกระเซ็นไปบนใบหน้า สร้างดวงตาอีกหนึ่งดวงขึ้นมา
“เนตรเต๋าขั้นสุดยอด !”
ตัวนิ่มเฒ่ายังขยายระยะการมองเห็นต่อไปโดยไม่สนใจราคาที่ต้องจ่าย จนกระทั่งพบเรือเหาะจันทราเงิน
“ไอ้เลว แกคิดหรือว่าจะหนีไปได้ ?” ตัวนิ่มเฒ่าคำราม
คำรามแล้ว มันก็พุ่งขึ้นยอดเขาไปแล้วแหงนหน้าส่งเสียงร้อง “ตระกูลปีกทอง ข้า ข้ารับใช้ผู้ภักดีของใจสีเลือดขอเรียกหาพวกเจ้า !”
“กรรร !”
เสียงขู่คำรามตอบกลับมาจากฟากฟ้า แสงสีทองพุ่งลงมาจากเบื้องบน มันคืออินทรีปีกทองที่ตัวนิ่มเฒ่าเรียกหานั่นเอง
“หัวขโมยได้ชิงสมบัติของใจสีเลือดไป ข้าขอให้เจ้า ที่ได้สาบานกับฝ่าบาทไว้เมื่อพันปีก่อน ให้ตามจับหัวขโมยและเอาทุกอย่างที่มันชิงไปกลับคืน ข้าจะตอบแทนด้วยการให้อิสระแก่พวกเจ้า !”
อินทรีปีกทองขนาดใหญ่กระพือปีกกล่าว “เจ้าไม่ใช่ใจสีเลือด ไม่มีอำนาจสั่งการพวกข้า ไม่มีอำนาจเอ่ยคำสัญญาเช่นนั้นด้วย”
“ข้าสาบานด้วยชีวิต……”
“ไม่ใช่ด้วยชีวิต แต่ด้วยความตายต่างหาก คิดว่าจะไม่เข้าใจหรือ ? เจ้าทำสมบัติใจสีเลือดหายไป มีแต่ความตายเจ้าถึงจะชดใช้ให้ฝ่าบาทได้ ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว แล้วเจ้ามีอำนาจใดมาให้อิสระพวกข้า ? พวกข้าถูกใจสีเลือดหลอกคราหนึ่ง และจะไม่มีครั้งที่สอง” พูดจบ ราชาอินทรีปีกทองก็กระพือปีกแล้วบินพาฝูงขึ้นฟ้าสูงไป
“ไม่นะ !” ตัวนิ่มชราร้องเสียงสิ้นหวัง
ตัวนิ่มเฒ่าหันหน้าไปทางตะวันออกอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าช้า ๆ “ฝ่าบาท ทาสรับใช้ชราผู้นี้ทำผิดมหันต์ ทำให้สมบัติทั้งวังถูกชิงไป ข้ามีแต่ต้องใช้ชีวิตเป็นคำขอโทษให้ท่าน”
พูดจบ จิตก็กระจายตัวออกแล้วสลายหายไป มันล่องลอยไปไกล ไปหาใจสีเลือดที่ตอนนี้อยู่แดนคนเถื่อน กำลังคุมทิศทางขบวนอสูร จากนั้นตัวนิ่มเฒ่าก็ล้มลงแล้วแน่นิ่งไป