ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 183 หลงเหลือ
บทที่ 183 หลงเหลือ
หุบเขาใจเงิน
เรือเหาะตะวันกรุ่นลงจอดที่หุบเขา ฉือไคฮวง หลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน และคนอื่น ๆ ก้าวเท้าออกมา
ทหารนายหนึ่งโค้งให้หลี่ฉงซาน และคนอื่น ๆ “รองหัวหน้ากองทหารยังทำการทดลองและสั่งให้พวกข้าอย่ารบกวนเว้นแต่จะมีเรื่องด่วน”
“เช่นนั้นรอสักหน่อย” หลี่ฉงซานไม่ติดใจที่ต้องรอ ในตอนนี้ ซูเฉินสร้างความดีความชอบไว้มาก รอเขาสักหน่อยจึงไม่มีใครว่า
ทั้งหมดนั่งลงใต้ต้นไม้เก่าแก่ในหุบเขา ดื่มชาเล่นหมากรุกกันหลายตา ก่อนที่ซูเฉินจะปรากฏตัวพร้อมตุ๊กตากระดาษขาว กังเหยียนไม่ได้ติดตามเขาแล้ว ตุ๊กตากระดาษขาวจึงกลายเป็นผู้ช่วยใหม่ของซูเฉิน
“พวกท่านหาเวลามาที่นี่ได้อย่างไร ? ทั้งยังใช้เรือเหาะตะวันกรุ่นข้าอีก ?” ซูเฉินถามเสียงฉงน
“ป้อมสุดทิศทักษิณแตก” ฉู่อิงหว่านเอ่ย “ซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิงตายแล้ว”
“ซ่าเค่อเอ่อร์แห่งเพลิง ?” ซูเฉินอึ้งไป “เทพสงครามเฒ่าของชนเผ่าเพลิงน่ะหรือ ?”
“ถูกต้อง” ฉือไคฮวงพยักหน้าตอบ
“เป็นคนสำคัญไม่น้อย” ซูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก “ตายได้อย่างไร ?”
“เขาตายเพื่อรั้งให้กองทัพถอย ถึงจะตายไป แต่ทหารคนเถื่อนนับแสนภายในก็รอดเพราะเขา สัตว์อสูรสูญเสียหนักหน่วงเพื่อตีป้อมสุดทิศทักษิณแตก แต่สุดท้ายกลับสังหารทหารคนเถื่อนได้เพียง 24,000 คน กองกำลังหลักของชนเผ่าเพลิงยังรอดไปได้ ถอยกลับไปยังภููเขาทรายร่อนทางตอนเหนือ” หลี่ฉงซานอธิบาย
ซูเฉินพึมพำ “แลกชีวิตชายชราใกล้ตายกับกองกำลังหลักคนเถื่อนที่ประจำการอยู่ในป้อมสุดทิศทักษิณ ? แลกกันได้ดี น่าเสียดาย……”
ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรน่าเสียดายกันแน่
ฉือไคฮวงเอ่ย “มีอีกเรื่อง หัวหน้าชนเผ่ากิ้งก่ากรวดตายแล้ว และตานปาขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า”
“เขาเองก็เริ่มลงมือแล้วสินะ” ซูเฉินหัวเราะ
“รู้หรือว่าเขาจะทำ ?” ฉู่อิงหว่านถาม
ซูเฉินตอบ “ข้ารู้แต่ว่าหากเท่านี้ยังทำไม่ได้ เขาก็ไม่มีค่าพอจะเจรจาการแลกเปลี่ยนกับเรา”
หลี่ฉงซานส่ายหน้า “เขาทำตามที่เจ้าบอกไม่ได้หรอก”
ไม่ว่าจะเป็นกระดูกต้นกำเนิดหรือโทเทม ต่างเป็นของที่ตานปาไม่มีอำนาจมอบให้
ซูเฉินเอ่ย “ข้าไม่ได้หวังของอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้เขาทำให้ดีที่สุดเพื่อให้พวกเขาพอใจ”
“ดังคาด” ฉู่อิงหว่านถอนใจ “เจ้าอยากให้มีสงครามกลางเมืองปะทุในเผ่าคนเถื่อนสินะ”
ใช่แล้ว นั่นเป็นจุดหมายจริงของซูเฉิน
มีแต่คนที่คุมอาณาจักรเหล็กเลือดถึงมีอำนาจแลกเปลี่ยนและค้าขายสมบัติล้ำค่าของอาณาจักรได้
ดังนั้นการที่เมื่อซูเฉินเสนอไปเช่นนั้น ก็เป็นการบอกโดยนัยว่าเขาต้องการอะไร
สงครามภายใน กลุ่มย่อยแตกแยก คนเถื่อนสู้กันเอง นี่คือสิ่งที่ซูเฉินอยากให้เป็น
กระดูกต้นกำเนิดไม่สำคัญนัก โทเทมก็เช่นกัน จุดหมายของเขาคือการค้นคว้าอย่างเป็นระบบหาวิธีเพิ่มความแกร่งด้านการต่อสู้ให้เผ่ามนุษย์ ไม่ใช่เป็นการสะสมสมบัติที่ช่วยเสริมแกร่งให้คนคนเดียว และเมื่อมีความคิดชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะกระดูกต้นกำเนิดหรือโทเทมย่อมไม่อาจเทียบวิชาบ่มเพาะที่ฉุดกำลังคนทั้งเผ่าขึ้นสูงได้
หากตานปาต้องการ ก็ต้องสละความสงบในอาณาจักร
ซูเฉินไม่ได้อยากได้อะไรด้วยซ้ำ หากอีกฝ่ายสามารถหาเรื่องชวนตีกับราชาองค์ปัจจุบันของตนเองได้ก็พอ
หลี่ฉงซาน กับคนอื่น ๆ ต่างก็คาดเดาไว้แล้ว และตอนนี้ก็ได้รับคำยืนยันจากซูเฉินเองซ้ำอีกครา
“มั่นใจหรือว่าเจ้านั่นจะทำ ?” หลี่ฉงซานถาม
“เพราะเขาทะเยอทะยานมีใจรักอาณาจักร ที่สำคัญ เขาไร้ทางเลือก” ซูเฉินตอบ
เหยื่อที่ซูเฉินเสนอมันดีเกินกว่าตานปาจะบอกปัด ใครที่มีใจทะเยอทะยานอยากนำคนเถื่อนไปสู่อนาคตย่อมพยายามจะรับผิดชอบอนาคตของเผ่า เมื่อชั่งน้ำหนักข้อเสนอดูแล้ว ชะตาของคนเถื่อนย่อมพลิกเหนือชนเผ่าเพลิง ดังนั้นจึงย่อมต้องเกิดความวุ่นวายภายในระยะสั้น ๆ ขึ้นแน่ !
ไม่ว่าจะเพื่อเพื่อนร่วมชาติหรือเพื่อตัวเขาเอง ตานปาก็ไม่อาจปฏิเสธ มีแต่ต้องยอมรับ
“คำถามคือ เขาจะชนะหรือ ?” ฉือไคฮวงถาม
“ตอนนี้ยัง แต่ข้ามอบโอกาสให้เขาแล้ว……”
ดูจากความแกร่งของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดและอำนาจของตานปาแล้ว ตอนนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้ชิงบัลลังก์กับชนเผ่าเพลิง
แต่ขบวนอสูรมอบโอกาสให้ตานปา
อาศัยความหายนะที่เกิดจากขบวนอสูร ตานปาสามารถตอบการเรียกตัวของราชวงศ์และใช้ฎีกาสนับสนุนอิทธิพลและอำนาจของเขาเองได้
สิ่งแรกที่เขาต้องทำคืออย่าท้าทายคู่ต่อสู้โดยประมาท แต่ควรวางรากฐานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง
เมื่อพลังของเขาถึงระดับที่เพียงพอแล้ว เขาก็เริ่มสร้างปัญหาให้ชนเผ่าเพลิงได้
“กระนั้นชนเผ่าเพลิงคงจะตรวจพบอุบายของเขา พวกมันอาจทำลายล้างเขาก่อนที่เขาจะหยั่งรากลึกได้” หลี่ฉงซานว่า
“เป็นไปได้ แต่อย่าลืมว่าข้าอยู่ที่นี่ด้วย” ซูเฉินหัวเราะ
ทุกคนรู้ว่าเขาหมายถึงวิชาที่ทำให้คนเถื่อนใช้พลังต้นกำเนิดได้ง่ายขึ้น
หากซูเฉินมอบมันให้ตานปา อำนาจของชนเผ่ากิ้งก่ากรวดก็จะสูงกลบชนเผ่าเพลิงในพลัน
“การทดลองเป็นอย่างไร ?” หลี่ฉงซานถาม
“เป็นไปตามแผน น่าจะสำเร็จอย่างมากก็ภายใน 10 วัน”
“ทดลองเรื่องอะไรกัน ?” ฉือไคฮวงถาม
ซูเฉินตอบ “พวกเขาทะลวงสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้แล้ว”
แม้จะฟังดูไม่มาก แต่ก็นับเป็นการปรับปรุงที่มากแล้วสำหรับคนเถื่อน
วิชาบ่มเพาะเช่นนี้เทียบเท่ากับการเจิมน้ำมนต์ของคนเถื่อนอย่างน้อยครั้งหนึ่ง
ฉือไคฮวงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกกังวล “เล่นกับไฟก็อย่าให้มันลามมาถูกตัวเล่า”
ซูเฉินตอบ “ค่อนข้างกลับกัน นี่จะช่วยรักษาสมดุล หากเผ่ามนุษย์เติบโตอย่างทรงพลังและโดดเด่นเกินไป เราอาจจะหยุดต่อสู้กับคนเถื่อนแล้วเริ่มฆ่ากันเอง”
หลี่ฉงซาน ฉือไคฮวง และคนอื่น ๆ อึ้งไป
พวกเขาไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอย่างซูเฉินที่ชี้ปมปัญหาได้ทันที
ผ่านไปนาน ฉือไคฮวงจึงถอนใจ “ช่างเถอะ นี่ภารกิจเจ้า เจ้าตัดสินใจไปเถอะ ข้าไม่ถามแล้ว”
หลี่ฉงซานเอ่ย “มีอีกเรื่อง ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดของตานปาเคลื่อนไปทางเหนือ ดังนั้นอาจเหลือทหารอยู่ที่ถนนโบราณธารน้ำเซียนไม่เท่าไหร่ หรือก็คือ……”
“ทางเปิดแล้ว” ซูเฉินจบคำให้
อีกเหตุผลที่ซูเฉินอยากให้ตานปาก่อสงครามภายในก็คือพวกเขาจะได้มีทางกลับบ้าน
ในตอนที่ตานปามุ่งสนใจกับสงครามภายใน ก็จะไร้คนหยุดยั้งกองทัพกำลังสวรรค์ที่เดินทางกลับถิ่น
เป็นเหตุผลหลักที่หลี่ฉงซาน และคนอื่น ๆ เดินทางมาหาซูเฉิน
พวกเขาเดินทางมานาน กองทัพกำลังสวรรค์จึงคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนนัก
“ใช่ เส้นทางกลับบ้านเปิดแล้ว ไม่มีชนเผ่ากิ้งก่ากรวดแล้ว พวกเผ่าเล็ก ๆ ตามทางก็หยุดเราไม่ได้” ฉู่อิงหว่านหัวเราะ “ทั้งหมดนี้เป็นไปได้เพราะได้เจ้าช่วย พวกเรามาที่นี่เพื่อมาบอกว่าพวกเรากำลังเตรียมตัวกลับแล้ว”
“เตรียมตัวกลับตอนนี้เลยหรือ……” ซูเฉินครุ่นคิด
จากนั้นพลันยิ้ม “พวกท่านไปก่อนได้ ข้าจะอยู่อีกหน่อย”
“จะอยู่ ?” ฉู่อิงหว่านถามประหลาดใจ “หากต้องการรับมือกับตานปา กลับไปแล้วยังทำต่อได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีใครหยุดเจ้า……”
“ไม่ได้” ซูเฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“แล้วจะอยู่ไปทำไม ?” ทุกคนถามขึ้น
ซูเฉินลุกขึ้นยืน เดินออกไปหลายเก้า
จากนั้นก็หยุดแล้วแหงนหน้ามองฟ้า
ผ่านไปนานจึงเอ่ย “ข้าต่างจากพวกท่าน กองทัพกำลังสวรรค์ถูกคนเถื่อนไล่ไม่หยุด ประสบการณ์ที่นี่จึงมีแต่ฆ่าสังหารและหลบหนี ไม่กล้ารั้งอยู่ที่ใดนานเกินควร ไม่อาจหลับได้อย่างสบายยามดึก ถึงอยากไปที่อื่น ก็ต้องใช้เวลายาวนาน พลาดเพียงจุดหนึ่งอาจถึงจุดจบได้ ระหว่างวันก็มีเวลาพักไม่มาก กำลังกายจึงเหนื่อยอ่อนถึงขีดสุด และเพราะอาหารมีจำกัด ร่างกายจึงได้รับสารอาหารไม่เพียงพออย่างต่อเนื่อง ทหารส่วนมากไม่ได้สู้แล้วตาย แต่กลับตายระหว่างเดินทางหรือระหว่างนอนหลับฝัน…… บ้างขนาดเลือกสังหารตนเอง”
“ชีวิตทหารไม่ง่าย ของแม่ทัพก็เช่นกัน คุมทัพต้องมีระเบียบ ตั้งค่ายแล้วต้องวางแผนต่อทันที ไม่เพียงต้องสั่งยามรบ ยังต้องร่วมรบเองอีก เป็นทหารต้องยอมสละกำลังยอมสละชีพ ส่วนแม่ทัพก็ต้องให้จิตและใจนอกจากชีวิตตนอีก…… พวกทหารอยากตายจากความเหน็ดเหนื่อย พวกแม่ทัพอยากร่ำไห้จากความทรมาน”
“กล่าวได้ว่าแม้กองทัพกำลังสวรรค์รุกเข้าแดนคนเถื่อนมาจะชนะได้หลายครา แต่ก็ได้มาเพราะความเจ็บปวดและสูญเสีย มีหลายครั้งที่พวกท่านควรตายไปแล้ว แต่ก็รอดมาได้ และหากไม่ได้ข้าช่วย ก็คงตายกันหมดแล้ว แต่ข้าทำได้แค่ถ่วงเวลาให้ไม่กี่วัน เสบียงที่ข้านำมาใกล้จะหมดแล้วใช่หรือไม่ ? ไม่ว่าจะใช้อย่างประหยัดเพียงไหน หรือปล้นสะดมที่แวดล้อมขนาดไหน ไม่นานก็จะต้องพบกับวิกฤตเสบียง”
“ดังนั้นแดนคนเถื่อนถึงไม่ใช่สถานที่ที่กองทัพกำลังสวรรค์จะสามารถรั้งอยู่ได้ พวกทหารไม่อยากต้องเจอวันที่ต้องทุกข์ทรมาน พวกท่านจึงอยากจากไป ถึงได้คิดถึงบ้านมากนัก”
แม่ทัพทั้งหลายไร้คำจะพูด
“แต่ข้าแตกต่าง” ซูเฉินว่าต่อ
“ข้ามีความสามารถในการแปลงกาย เปลี่ยนร่างเป็นคนเถื่อนได้ตามใจชอบ ข้ามีเรือเหาะจันทราเงินที่รวดเร็วเป็นพิเศษ หากไม่ไปเจอพวกหัวหน้าเผ่าทรงพลังเข้าก็ไร้ปัญหา สำหรับข้า ความเสี่ยงในการรั้งอยู่ในแดนคนเถื่อนเป็นเวลานานนั้นต่ำกว่ากองทัพกำลังสวรรค์ อีกทั้งคุณภาพในชีวิตข้าก็ไม่ได้ด้อยลง ตัวข้าเองมีเงินมาก ในแหวนพลังเต็มไปด้วยสิ่งของให้ใช้ชีวิตอยู่ได้นานถึง 10 ปี ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการหาทรัพยากร ชีวิตข้าจึงง่ายกว่ามาก ดังนั้นความเจ็บปวดและทรมานที่กองทัพกำลังสวรรค์ต้องฟันฝ่าจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับข้า”
“ถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้อันตรายหรือท้าทายไปมากกว่าอยู่ในอาณาจักรหลงซาง แต่กลับได้ผลประโยชน์มากกว่า ทุกคนในแดนคนเถื่อนนับเป็นศัตรู ข้าทำการค้าได้อย่างไรกังวล จะฆ่าใครก็ได้ จะทดลองกับใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นภาระทางศีลธรรมของข้า อีกทั้งข้ายังสามารถกับเก็บทรัพยากรมีค่าซึ่งทำกำไรได้มาก แค่ของที่กองทัพกำลังสวรรค์มอบมาให้และของที่ข้าชิงมาจากสัตว์อสูรก็เป็นทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว ถึงตอนอยู่ในอาณาจักรหลงซางจะมีเงินมากแล้วก็ตามที แต่นั่นก็เป็นเพราะอาจารย์ อยู่ที่นี่ ทุกอย่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของข้าเอง ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน”
ซูเฉินหัวเราะแล้วว่าต่อ “ฉะนั้นแม้ที่นี่จะเป็นสถานที่แสนทรมานของกองทัพกำลังสวรรค์ แต่สำหรับฆ่ามันเป็นสถานที่ที่มอบโอกาสและโชคชะตา ทำการทดลองที่นี่แล้ว ข้ารุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด พลังจิตพุ่งสูง สามารถพัฒนาวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์จนสำเร็จ และยังสามารถยกระดับเผ่าคนเถื่อนได้…… อาจพูดได้ว่าในช่วงเวลานี้ ทั้งกำลัง ทั้งความเข้าใจในใต้หล้าของข้า และทรัพยากรที่ข้ามี ต่างเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก การปิดประตูทำการทดลองอยู่ตลอดยังไม่พอ ข้ายังต้องออกมาเผชิญโลกกว้างเพื่อเปิดหูเปิดตา นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ข้าได้ความรู้มากขึ้น ทั้งยังสร้างผลยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม”
ซูเฉินหยุดเล็กน้อย
จากนั้นก็เอ่ยสิ่งที่สำคัญที่สุดออกมา “สำคัญคือ ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง”
“ข้าเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาวิชาทะลวงด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้ที่นี่ !”