ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 187 ความทะเยอทะยาน
บทที่ 187 ความทะเยอทะยาน
มังกรบินพ่นพิษราว 10 ตัวบินผ่านไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นแสงเรืองสีเขียวเบื้องล่างพวกมัน เรื่องลงไปถึงพื้นดินของอาณาจักรเหล็กเลือด
ซูเฉินกลับตานปานั่งอยู่บนหลังมังกรตัวใหญ่เป็นพิเศษ ดูท่าจะเป็นจ่าฝูง ลมพัดรุนแรงจนซูเฉินลืมตาแทบไม่ขึ้น
เขาอยากใช้เกราะเพื่อกันลม น่าเสียดายที่คนเถื่อนซึ่งยังไม่ผ่านการเจิมน้ำมนต์จะยังไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้
เขาจึงได้แต่ทนไป
“ข้าเคยชื่นชมทหารบนหลังมังกร แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันแย่กว่าเรือเคลื่อนเมฆาเสียอีก” ซูเฉินเปิดปากบ่น
“ซึ่งก็หมายความว่าร่างกายเจ้าด้อยกว่าความกล้าหาญเจ้านัก” ตานปาตอบเสียงเรียบ ยังคงบังคับมังกรมุ่งหน้าต่อ
ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าล้อที่ข้าอ่อนแอเกินไปงั้นหรือ ? หรือจะชื่นชมที่ข้ามีความกล้าหาญ ?”
“ก็ทั้งคู่ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ทำให้ข้ามองเจ้าเปลี่ยนไปเพราะเจ้ากลับกล้ามากับข้าที่นี่ มีมนุษย์มากมายที่เล่นเล่ห์ใช้กล แต่มีไม่กี่คนที่กล้ามาปราการกู่หลานกับข้า”
ซูเฉินหัวเราะอีกครั้ง “หากเจ้ากล้าหันหลังให้ข้า มีหรือข้าจะไม่กล้าตามมา ?”
“นั่นมันต่างกัน ชีวิตข้าไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น แต่ชีวิตเจ้าสำคัญ เจ้าเป็นความหวังในการทำให้เผ่าเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ หากข้าแลกชีวิตตัวเองกับเจ้า เผ่าคนเถื่อนจะได้ประโยชน์มากเหลือ”
“แล้วทำไมไม่ทำ ?” ซูเฉินถาม
ตานปาเงียบไป
ใช่แล้ว ทำไมเขาถึงไม่ทำกัน ?
เดิมทีเขาตกใจกับคนที่เขาเชื่อว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจมากที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวในถิ่นเขา ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นว่าเขาบีบให้ประตูฟื้นความเยาว์ทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารซูเฉิน
แต่สถานการณ์กลับกลับตาลปัตร ในพริบตาเดียว เขากับซูเฉินก็กำลังนั่งอยู่บนมังกรบินตัวเดียวกันแล้ว
ตานปาไม่รู้ว่าจะตอบสนองกับสถานการณ์ที่ผันเปลี่ยนโดยฉับพลันเช่นนี้อย่างไร
ในอดีตเขาไม่สามารถจัดการซูเฉินได้ เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เคยเปิดโอกาส
แต่ตอนนี้เขามีโอกาสอยู่อย่างชัดเจน แต่เขากลับเริ่มที่จะละทิ้งความคิดสังหารซูเฉินแล้ว
มันเพราะอะไรกันแน่ ?
กระทั่งตัวตานปาเองก็ยังไม่รู้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นานจึงเอ่ย “หากบอกว่าข้าไม่มีความมั่นใจในการสังหารเจ้า หรือบอกว่าเจ้าไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ก็คงจะเป็นคำโกหก แต่หากบอกว่าถ้าทำเพื่อตนเอง จะนับว่าไม่ผิดเสียทีเดียว”
“อ๋อ ? ยังมีเหตุผลอื่นอีกหรือ ?” ซูเฉินถาม
“เจ้ากล้ามากับข้าทั้งที่ยังไม่รู้เหตุผลที่ข้าไม่สังหารเจ้างั้นหรือ ?”
ซูเฉินตอบ “ถ้าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมข้าก็คงไม่อาจมีความกล้าขึ้นมาได้”
ตานปายิ้มเมื่อได้ยินคำกล่าว “พูดได้ดี ! หากควบคุมสถานการณ์ได้ตลอด ความกล้านั้นย่อมไม่ใช่ความกล้าที่แท้จริง ข้ามีเหตุผลเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมสังหารเจ้า แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือข้าอยากเห็นอนาคตที่เจ้าวาดไว้ให้ข้า”
“อนาคตที่ข้าวาดไว้ ?” ซูเฉินชะงัก
“ถูกต้อง ! การต่อสู้กับสัตว์อสูร” ตานปาอธิบาย
ซูเฉินเข้าใจในที่สุด
เขาบอกเรื่องนี้กับตานปาเมื่อตอนอยู่ที่บึงหมอกศิลา
เขาบอกไปว่าเหตุผลที่เขาไม่นับว่าการค้นหาวิธีทำให้คนเถื่อนสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้เป็นการทรยศเผ่ามนุษย์ นั่นก็เป็นเพราะว่าศัตรูที่แท้จริงคือสัตว์อสูรต่างหาก
แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงข้ออ้างที่เขาคิดขึ้นมาในตอนนั้น
แต่กลับเป็นข้ออ้างที่ทำให้ตานปามีประกายหวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความหวังที่ว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ วันหนึ่งจะสามารถต่อสู้และเอาชนะเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดได้ !
เมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว ชาวอาร์คาน่าก็เคยพยายามทำเช่นนี้มาก่อน
แต่กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
แต่หลายหมื่นปีกลับผ่านไปรวดเร็วราวกับพริบตาเดียว
สัตว์อสูรอ่อนแอลง เผ่าพันธุ์อัจฉริยะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
เผ่าพันธุ์อัจฉริยะจะสามารถเรียกคืนความรุ่งเรืองและความพยายามของชาวอาร์คาน่าในการท้าทายเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดได้หรือไม่ ?
ตานปาไม่อาจรู้ แต่แค่คิดดูก็ทำให้เกิดความรู้สึกคาดหวังและปรารถนาแล้ว
“หากในชีวิตนี้ได้สัมผัสวันเวลาอันรุ่งโรจน์เช่นนั้นสักครา ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็คงคุ้มค่าใช่หรือไม่เล่า ?” ตานปาเอ่ยเสียงสงบ “และต่อหน้าศัตรูที่ทรงพลังเช่นนั้น ความเกลียดชังระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าคนเถื่อนจะนับเป็นอะไรได้ ?”
ซูเฉินรู้สึกทึ่งกับคำของตานปาอยู่เล็กน้อย
เขาอดคิดถึงคำที่จูเฉินเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้
“เจ้าไม่ควรไล่ตามความฝันที่จะทำให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนขีดสุด”
“เพราะถึงจะทำได้ ก็มีแต่เชื้อเชิญภัยเข้าหาเผ่ามนุษย์”
“เผ่ามนุษย์ไม่มีทางเอาชนะเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดได้ เหตุผลเดียวที่พวกเรายังสามารถมีจุดยืนอยู่ในเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดได้ ไม่ใช่เพราะเราแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะยังแข็งแกร่งไม่พอต่างหาก !”
เขาไม่เคยลืมคำพูดประโยคนั้น เหมือนกับเป็นเล็บที่จิกลงใจอยู่ตลอด ทำให้เกิดความรู้สึกเสียบแทงยามคิดถึง
แล้วตอนนี้ตานปากลับพูดว่าอยากให้เผ่าพันธุ์อัจฉริยะท้าทายเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ ?
ซูเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าว “หากวันนั้นมาถึงจริง หากพลาดทำไม่สำเร็จ รู้หรือไม่ว่าพวกเราจะมีชะตาเช่นไร ?”
“ย่อมรู้” ตานปาพูดพลางยิ้มน้อย ๆ “ก็ถูกกวาดล้างกระมัง ? ชาวอาร์คาน่าเคยทำให้ดูเป็นตัวอย่างเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้ว แต่มันอย่างไรล่ะ ? คิดว่าจะชนะไม่ได้เลยไม่คิดท้าทายเลยอย่างนั้นหรือ ? เช่นนั้นไม่ใช่วิธีของเผ่าคนเถื่อน”
ซูเฉินเงียบไป
ชนะไม่ได้เลยไม่คิดท้าทาย ?
คำของตานปาดังก้องอยู่ภายในใจซูเฉิน
“เจ้า……” ซูเฉินพึมพำ
ตานปาหันมามองซูเฉิน เผยรอยยิ้มยินดี “อสูรพวกนั้นกดเรามานับหมื่นปี ตอนนี้ก็ครองทวีปกว่าครึ่ง เป็นเผ่าซึ่งมีอำนาจเหนือใครอื่น เป็นศัตรูที่แกร่งและร้ายที่สุดของเรา ความแค้นระหว่างคนเถื่อนกับมนุษย์เทียบกันไม่ติด ไร้สัตว์อสูรแล้ว ทั้งสองเผ่าจะครองแผ่นดินอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ ไม่แน่ว่าหากชีวิตพวกเราไม่ต้องระวังอันตราย ความชังอาจคลายลงก็ได้ ทำไมไม่ร่วมมือกันจัดการ ? แค่เพราะพวกมันแกร่งเราก็สูญเสียความกล้าที่จะท้าทายอำนาจมันไปแล้วงั้นหรือ ?”
ซูเฉินพูดไม่ออก
เขาไม่อาจหาคำใดมาหักล้างตานปาได้
ตานปายิ้มกว้างขึ้น “ก็แน่ละว่าเจ้าไม่เคยคิดมาก่อนใช่หรือไม่ ? เราอาจมีความกล้าแต่ก็ยังไม่มากพอ พวกมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ คิดมากเกินไป หัวกระจ่างเกินไป เลยไร้ความทะเยอทะยานหรือความกระหายอยากสู้ กี่ปีผ่านไปแล้วเล่าที่มีพวกเจ้าคิดอยากสู้กับพวกอสูร ? ในสายตาพวกเจ้าคงมีแต่คนเถื่อนที่เป็นศัตรูกระมัง ? เพราะสู้กับพวกเรายังมีโอกาส…… เราจะนับใครเป็นศัตรูก็ต้องเป็นฝ่ายที่มีโอกาสเอาชนะได้อย่างนั้นใช่หรือไม่ ?”
ไม่ว่าคำพูดของตานปาจะถูกต้องหรือไม่ แต่ก็สะท้อนใจซูเฉิน ทำให้เงียบงันครุ่นคิด
สุดท้ายจึงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เผ่ามนุษย์สูญเสียความตั้งใจที่จะสู้กับพวกมันไปนานแล้ว หากเป็นในด้านนี้พวกเราด้อยกว่าเจ้านัก”
ตานปายิ่งยิ้มกว้าง “เห็นหรือไม่ ? เราเห็นตรงกันแล้ว ซูเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เอ่ยทุกคำที่บึงหมอกศิลาด้วยความจริงใจ แต่หวังว่าตอนนี้จะมีความจริงใจขึ้นมาบ้าง ต่อไปการค้นพบและสิ่งประดิษฐ์ของเจ้าอาจให้ประโยชน์ไม่ใช่เพียงเผ่ามนุษย์ก็เป็นได้……”
“…… เจ้าประเมินข้าไว้สูงเชียว”
คุยกันครั้งนี้ซูเฉินถูกทำให้พูดไม่ออกไปโดยปริยาย
คำกล่าวที่ซูเฉินใช้หลอกลวงตานปาถูกปากลับมาใส่หน้า ความรู้สึกแปลกใหม่ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร
ในใจบังเกิดความสงสัย นี่ตนเป็นคนหลอกตานปา หรือว่าตานปาเป็นคนหลอกตนเองกันแน่ ?
“ข้าเพียงให้เป้าหมายเป็นแรงจูงใจเท่านั้น ตอนนี้เราควรสนใจเรื่องตรงหน้าก่อน” ตานปาหัวเราะเสียงดัง “ปีศาจเขียว บินให้เร็วกว่านี้ !”
“กรรร !” ราชันมังกรพิษส่งเสียงคำรามต่อก่อนจะพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วขึ้น