ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 191 ถึงเวลาจากไป
บทที่ 191 ถึงเวลาจากไป
หลังจากปิดประตูหน้าลง คนเถื่อนก็หันมาพูดกับซูเฉินว่า “ตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่า ข้า โม่เหลย จะทำตามคำสั่งของเจ้า”
ซูเฉินพยักหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำนั้นง่ายมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องข้าแล้วรับการเจิมน้ำมนต์ตามปกติไปก็พอ ในระหว่างนั้นพวกข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเล็กน้อย ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามได้ แน่นอนว่าข้าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าพิธีเจิมน้ำมนต์ของเจ้าจะสำเร็จ”
คนเถื่อนพยักหน้าและเดินเข้าไปในอารามขนาดใหญ่
ที่ศูนย์กลางของอารามมีสระน้ำโลหะขนาดใหญ่ที่บรรจุของเหลวสีขาวเอาไว้จนเต็ม
ที่รอบด้านของสระเต็มไปด้วยค่ายกลพลังต้นกำเนิดหลายชั้น อักขระมากมายกระจายแผ่ขยายไปจนถึงกำแพงทั้ง 4 ด้าน
คนเถื่อนเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาและก้าวลงไปในสระ เขายืนเปลือยกายแช่อยู่ในน้ำยาสีขาวที่เพิ่มสูงขึ้นมาถึงระดับเอว
เขาเอื้อมมือไปคว้าแท่งเหล็กที่อยู่ด้านหน้า ในเวลาเดียวกันโซ่โลหะหนาก็เข้าพันรอบร่างของเขาไว้แน่น
ขณะที่ตัวแยกพลังต้นกำเนิดเหนืออารามเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังต้นกำเนิดจำนวนมาก ควบแน่นแล้วไหลผ่านไปตามอักขระค่ายกลอย่างต่อเนื่องราวกับไฟฟ้าไหลผ่านวงจร และไปบรรจบที่ร่างของโม่เหลยสร้างเสียงระเบิดดังก้องขึ้นภายในตัวเขา
“อ้าก !” โม่เหลยแหงนหน้าและตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด แม้แต่เส้นขนบนร่างของเขาก็ยังลุกชัน
พลังต้นกำเนิดกระจายไปทั่วร่างกายราวกับสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ผิวของเขาแตกออก เลือดสดสาดไปทั่วอากาศ
ต่อให้ไม่ได้ใช้เนตรมองโลกจุลภาค ซูเฉินก็สามารถเห็นได้ว่าพลังงานชีวิตของโม่เหลย กำลังลดลงอย่างรวดเร็วภายใต้กระแสพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวนี้
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเอง ของเหลวสีขาวในสระก็เริ่มซึมเข้าสู่ร่างกายด้วยความเร็วไม่แพ้กัน และทำให้พลังชีวิตของเขาฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
น้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิต ?
และยังเป็นของคุณภาพสูงอีกด้วย !
ซูเฉินยืนยันเรื่องนี้ได้ในทันทีที่เขาเห็นของเหลวสีขาว
ของเหลวชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับยาฟื้นพลังของซูเฉิน ข้อแตกต่างหนึ่งระหว่างทั้งสองคือน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตนี้สามารถกู้คืนได้เพียงพลังชีวิตเท่านั้น มันไม่สามารถรักษาบาดแผลได้ ประโยชน์ในแง่ของการใช้งานจริงจึงน้อยกว่ายาฟื้นพลังของเขามาก ทว่าในแง่ของการฟื้นฟูพลังชีวิตบริสุทธิ์ น้ำยาฟื้นฟูถือว่านี้เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าอย่างมาก
คลื่นพลังต้นกำเนิดอันน่าสะพรึงกลัว สร้างผลกระทบต่อร่างกายของโม่เหลยอย่างรุนแรง ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่น้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตช่วยทำให้มั่นใจว่าเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ สถานการณ์ของโม่เหลยในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย โดยมีคลื่นพลังต้นกำเนิดที่รุนแรงคอยพัดเป่าเขา
ณ จุดนี้ ซูเฉินเข้าใจการทำงานพื้นฐานของอารามพลังต้นกำเนิดแล้ว
ดูเหมือนว่าวิธีของอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ดูลึกลับซับซ้อน แท้จริงแล้วกลับตรงตัว เรียบง่ายและหยาบกระด้างอย่างเหลือเชื่อ
พวกเขาอาศัยการบังคับให้พลังต้นกำเนิดเข้าสู่ร่างกายโดยตรง เป็นวิธีการที่รุนแรงตรงตามแบบฉบับของคนเถื่อน ชำระล้างร่างกายของเป้าหมายด้วยพายุพลังต้นกำเนิด มันไม่ใช่เพื่อปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางกายภาพพื้นฐานของร่างกาย แต่เพื่อให้คนเถื่อนได้ปรับตัวให้คุ้นเคยกับพลังต้นกำเนิดมากขึ้น ใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนนี้ปล่อยให้พวกเขาดูดซับและดึงพลังรอบตัวออกมาใช้ให้ชิน
ไม่ว่าความสามารถในการดูดซับพลังต้นกำเนิดของคนเถื่อนจะแย่สักแค่ไหน ในพายุพลังต้นกำเนิดที่บ้าคลั่งเช่นนี้มันคงไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ดูดซับพวกมัน
หากเปรียบเทียบง่าย ๆ ด้วยข้าวหนึ่งชาม สมมุติว่าถ้าปกติแล้วคนเราสามารถย่อยข้าวหนึ่งชามที่กินเข้าไปได้อย่างสบายท้อง หากถูกบังคับให้กินถึง 10 ชามในคราวเดียว มันคงเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะย่อย 9 ชามที่เพิ่มมา ทำให้ข้าวที่เหลือนั้นสะสมอยู่ในท้องโดยไม่ถูกย่อย เมื่อสิ่งที่สะสมเอาไว้ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม มันก็อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงขึ้นได้
อารามพลังต้นกำเนิดใช้วิธีนี้ทำให้ร่างกายของคนเถื่อนย่อยพลังต้นกำเนิดทั้งหมดไม่ทัน แล้วในที่สุด มันก็จะสะสมในร่างกายของพวกเขา จนมากพอที่จะบังคับให้ทะเลพลังต้นกำเนิดก่อตัวขึ้นในร่างด้วยความช่วยเหลือจากค่ายกลพลังต้นกำเนิดรอบ ๆ
อันที่จริงวิธีง่าย ๆ หยาบ ๆ นี้ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวอาร์คาน่าที่ฉลาดและมีไหวพริบ ซูเฉินรู้สึกราวกับได้เปิดโลกใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การเข้าใจแค่หลักการพื้นฐานยังไม่เพียงพอ ซูเฉินยังต้องเข้าใจถึงผลกระทบต่อร่างกายของคนเถื่อนด้วย
เขาเปิดใช้งานเนตรมองโลกจุลภาค และเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างกายของโม่เหลยที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
“เป็นไปตามที่คาด วิธีการบังคับแบบนี้ย่อมสร้างความเสียหายให้กับร่างกาย สิ่งสกปรกโดยรอบเองก็ถูกดูดซับไปพร้อมพลังต้นกำเนิด ทำให้ทะเลต้นกำเนิดป่นเปื้อนไม่บริสุทธิ์ พลังงานที่รุนแรงนี้อาจจะทำให้เส้นปราณเสียหายหรือถูกทำลายได้ แม้แต่พลังจิตเองก็ยังได้รับผลกระทบ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ในบางครั้งคนเถื่อนที่ได้รับเจิมน้ำมนต์ก็กลายเป็นบ้าไป …ช่างเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย มีเพียงคนเถื่อนเท่านั้นที่จะทนได้” ซูเฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง
วิธีของอารามศักดิ์สิทธิ์เป็นการบังคับเปิดช่องทางใหม่ให้ร่างของคนเถื่อน แต่ไม่ว่าช่องทางเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักรบอารามที่เคยรับเจิมน้ำมนต์มาก่อน ถึงทำได้เพียงเจิมน้ำมนต์อีกครั้งเมื่อพวกเขาต้องการที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะวิธีนี้สร้างภาระปัญหาไว้ให้กับร่างกายมากเกินไป
ทะเลต้นกำเนิดของโม่เหลยค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายใต้ผลกระทบของพลังอันรุนแรง เส้นเลือดและเส้นปราณทั้งหมดในร่างกายของเขาฉีกขาด ก่อนจะฟื้นตัวใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนของน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตคุณภาพสูง
สระสีขาวถูกย้อมเป็นสีแดงสดด้วยเลือด
ในตอนแรกมันเป็นสีชมพู ที่เกิดจากการผสมของขาวและแดง จากนั้นมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
นั่นเพราะเลือดสีแดงไหลออกมาสะสมกันมากขึ้น ส่วนตัวยาสีขาวในสระเองก็ลดลง
อัตราการฟื้นฟูพลังชีวิตของโม่เหลยเริ่มช้าลง เช่นเดียวกับพลังชีวิตของเขาที่ค่อย ๆ ลดลงไปด้วย
สิ่งนี้ช่วยให้ซูเฉินตระหนักได้เรื่องหนึ่ง …สาเหตุที่เหล่าคนเถื่อนถึงสามารถเอาชีวิตรอดมาได้นานนับพันปี ทั้งที่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินสี่ร้อยปีเลย
เพราะการรับเจิมน้ำมนต์นั้นต้องใช้พลังชีวิตจำนวนมาก
มนุษย์สามารถยืดอายุของพวกเขาได้ตามสายเลือดและการฝึกฝน แต่คนเถื่อนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เจิมน้ำมนต์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เสียงร้องโหยหวนของโม่เหลยเริ่มเงียบลง
โม่เหลยคว้าราวจับด้านข้างและคร่ำครวญ เขาดูแก่ขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ถอนหายใจเบา ๆ และยื่นขวดยาฟื้นพลังให้เขา “ดื่มให้หมด”
ยาฟื้นพลังระดับสูงมีประสิทธิภาพมากกว่าน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตมาก แต่มีเพียงพวกคนเถื่อนที่มีตำแหน่งสูง ๆ เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้มัน
โม่เหลยมองเขาด้วยสายตาขอบคุณจากนั้นจึงรับมันมาและดื่มลงไป พลังชีวิตที่เขาใช้ไปฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว และกลับมาดูอ่อนเยาว์อย่างเคย แม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูหยาบกร้านและค่อนข้างน่าเกลียดไม่ต่างไปมากก็ตาม
เมื่อพลังต้นกำเนิดส่วนสุดท้ายเข้าสู่ร่างของโม่เหลย ทะเลต้นกำเนิดของเขาก็เสร็จสมบูรณ์
จากประสบการณ์ครั้งนี้ ซูเฉินยังตระหนักได้อีกอย่าง พวกเขากำลังใช้พลังต้นกำเนิดในปริมาณคงที่กับต่างคน ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายตายตัวเกินไปและไม่ยืดหยุ่นพอ
ตัวอย่างเช่น ด้วยความสามารถของโม่เหลย เขายังสามารถพัฒนาไปได้อีกขั้น 2 ขั้น แต่เพราะพิธีกรรมของอารามศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงมาได้ไกลสุดเพียงเท่านี้
เขาจะต้องรอให้สภาพร่างกายของเขาดีพร้อมและเหมาะสมก่อนจะเข้าไปอีกครั้ง
โม่เหลยเดินออกจากสระและสวมเสื้อผ้า “พิธีเจิมน้ำมนต์เสร็จสิ้นแล้ว”
“อืม” ซูเฉินตอบอย่างแผ่วเบา
เนื่อง จากพิธี เจิมน้ำมนต์เสร็จสิ้นแล้ว มันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องออกไป
วิธีที่พวกเขาใช้ก่อนหน้านี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องลองอย่างอื่นแทน
พวกเขามองหน้ากัน ก่อนที่ซูเฉินจะเดินเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเงาที่มุมมืดแห่งหนึ่งของอาราม ปล่อยให้เงากลืนตัวเขาเข้าไป
แกร๊ก…
ประตูถูกเปิดออก ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาด้านในอาราม
ข้ารับใช้กลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามาเตรียมทำความสะอาดภายในอาราม
ข้ารับใช้สองสามคนมุ่งหน้าไปที่สระตรงกลางเพื่อทำความสะอาด ขณะที่คนอื่นทำความสะอาดกำแพงและบริเวณใกล้เคียง
คนรับใช้คนหนึ่งของคนเถื่อนเดินไปที่เสาต้นหนึ่งในอาราม ขณะที่เขากำลังจะเริ่มทำความสะอาด เขาก็สังเกตเห็นว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตรงนั้น เขาจึงตกใจและร้องออกมาตามสัญชาตญาณ “อ่า … ”
ก่อนที่เสียงตะโกนของเขาจะจบลง โม่เหลยก็เคลื่อนไหว เขาปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ข้ารับใช้ผู้นั้นราวกับภูตผีและใช้ฝ่ามือของเขาสังหารอีกฝ่ายไปทันที
เสียงร้องด้วยความตกใจถูกตัดขาดกะทันหัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของโม่เหลยนั้นเร็วมาก จึงไม่มีใครรับรู้สาเหตุจริงที่เกิดขึ้นเรื่องนี้ขึ้น พวกเขาทั้งหมดคิดว่าเสียงร้องนั้นเกิดขึ้นเพราะการโจมตีของอีกฝ่าย
ข้ารับใช้ทั้งหลายไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และหันมองโม่เหลยพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ
โม่เหลยดึงมือที่เปียกโชกไปด้วยเลือดกลับมา ทำตัวราวกับว่าเขากำลังมีความสุขและอิ่มอกอิ่มใจยิ่ง “ความรู้สึกนี้ …มันดีเกินไปแล้ว !”
ขณะที่เขาพูด ร่างของเขาก็แวบหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นข้าง ๆ ข้ารับใช้อีกคน โม่เหลยชกหมัดออกไปกระแทกใส่หลังของข้ารับใช้ผู้นั้น
หมัดนี้รุนแรงอย่างยิ่ง แม้จะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ข้ารับใช้คนเถื่อนก็ยังไม่อาจทนต่อแรงปะทะได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเถื่อนที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำที่สุด หมัดเดียวนี้มากเกินพอที่จะทำลายร่างของเขาให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
โม่เหลยเหลือบมองกำปั้นแล้วพูดว่า “ไม่เลว ไม่เลว ! สนุกดีจริง ๆ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าลองฝ่ามือและหมัดไปแล้ว บางทีข้าควรจะลองใช้พลังขาของข้าต่อ”
หลังพูดจบ เขาก็มองไปที่ข้ารับใช้คนอื่น ราวกับว่าเขากำลังจะลงมือฆ่าอีกครั้ง
เหล่าข้ารับใช้ตกใจหวาดกลัวอย่างมาก พวกเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง โยนเครื่องมือทิ้งและรีบวิ่งออกไปที่ประตูหน้าให้เร็วที่สุด เพราะเกรงว่าจะถูกโม่เหลยเลือกเป็นเป้าหมายต่อไป
ขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหนีไปทั่วด้วยความตื่นตระหนก ซูเฉินใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ปะปนไปกับคนเหล่านั้น เดิมทีเขาแฝงตัวเป็นข้ารับใช้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครตรวจพบหรือสังเกตเห็นสิ่งผิดปกตินี้แต่อย่างใด เมื่อพิจารณาถึงความหวาดกลัวในใจที่โม่เหลยได้สร้างแก่พวกเขา ทั้งยั้งฆ่าข้ารับใช้ไปถึง 2 คนแล้ว ยามนี้ย่อมไม่มีใครมานั่งจับตาว่ามีคนแอบออกมาพร้อมพวกเขา
ซูเฉินวิ่งออกจากอารามไปพร้อมกับกระแสของฝูงชน ในตอนนั้นเอง ผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ได้พุ่งเข้ามา และรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นศพที่นอนอยู่บนพื้น “เกิดอะไรขึ้น ?”
โม่เหลยขมวดคิ้ว “ข้าก็แค่ทดสอบความแข็งแกร่งของข้ากับทาสราคาถูกสองสามตัวเท่านั้นเอง”
“กล้าดียังไง !” บรรพชนที่ตามหลังเข้ามาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นร้องออกมาด้วยความโกรธ “ได้รับพลังเพิ่มมาเพียงน้อยนิด กลับกล้าสังหารข้ารับใช้ของอารามอย่างป่าเถื่อน ? จับมัน !”
“ใครมันกล้าจับข้า !” โม่เหลยตะโกนอย่างดุร้าย เขาเริ่มคิดอยากแลกหมัดกับผู้พิทักษ์ขึ้นมาจริง ๆ บ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ผู้พิทักษ์เหล่านี้เลย อีกฝ่ายจับตัวเขาเอาไว้และพาออกมาจากอารามพลังต้นกำเนิดได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่พวกเขาเดินออกมา ตานปาก็ตรงเข้ามาพูดกับพวกเขา “ท่านนักบวชฮันตู๋ ! โม่เหลยเพียงแค่ยังไม่อาจควบคุมพลังที่เพิ่งได้รับมาใหม่ได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก โปรดเมตตาด้วย”
นักบวชฮันตู๋ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ “มันสังหารข้ารับใช้ของอารามศักดิ์สิทธิ์ หากข้าปล่อยมันไปข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้อื่นในอารามศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ?”
“หลังจากรับการเจิมน้ำมนต์ของอารามแล้ว อาการวิกลจริตชั่วคราวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าคิดว่านั่นคงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับโม่เหลย” ตานปากล่าว
“แต่ในสายตาข้ามันไม่ได้ดูเหมือนคนบ้าเลยแม้แต่น้อย” ฮันตู๋ตอบ
ตานปาจับมือของฮันตู๋เอาไว้ ทันใดนั้นนักบวชฮันตู๋ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่างถูกยัดเข้ามาในมือของเขา
มันคือแหวนต้นกำเนิด
ตานปาพูดอย่างจริงใจ “ได้โปรด ท่านนักบวช โปรดคิดดูอีกครั้ง”
หลังจากตรวจสอบของในแหวนต้นกำเนิดแล้ว ฮันตู๋ก็เหลือบมองไปที่โม่เหลยอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “โอ้ มันก็ดูเหมือนคนวิกลจริตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนเสียเท่าไหร่”
ตานปาถอนหายใจและหยิบแหวนต้นกำเนิดอีกอันออกมาแล้วส่งให้อีกฝ่าย
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักบวชฮันตู๋ “อ่า ใช่แล้ว นี่เป็นสัญญาณของอาการวิกลจริตชั่วคราวหลังรับการเจิมน้ำมนต์จริง ๆ ถ้าเช่นนั้นก็ลืม ๆ มันไปเถิด เจ้าควรพาตัวมันกลับไปได้แล้ว และอย่าได้ลืมให้บทเรียนกับมัน พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายในส่วนของข้ารับใช้ที่ตายไปเสียล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านนักบวช !” ตานปาตอบกลับด้วยความเคารพ